คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 634 สู้ไม่ได้ ทำได้เพียงเอาตัวรอด
ตอนที่ 634 สู้ไม่ได้ ทำได้เพียงเอาตัวรอด
ซาหยวนจื่อต่อสู้อยู่ในค่ายดูดวิญญาณหมื่นกระดูกจนสุดกำลัง กระทั่งใช้กำลังเฮือกสุดท้ายไปจนหมด เขาทิ้งตัวนอนลงไปบนพื้น มองดูพลังชั่วร้ายความโกรธแค้นที่ดำทะมึน ดวงตาคู่นั้นก็ถูกย้อมกลายเป็นสีดำ
ท้องฟ้าที่อยู่บนศีรษะนี้ไม่เคยมีสีฟ้ามาก่อน
เขาหลับตาลง
พลังหยินสลายไป
ชื่อเจินจื่อเก็บค่ายอาคมคืนไป ย่อตัวลงมาลูบศีรษะของเขา ถอนหายใจพลางเอ่ย “เจ้าอย่าได้โทษอาจารย์ที่โหดร้าย อาจารย์ทำเพื่อเจ้า บนโลกนี้มีสรรพสิ่งมากมาย เดิมก็เป็นผู้แข็งเกร่งอยู่เหนือสุด ผู้อ่อนแอเป็นอาหาร ไม่ว่าจะเป็นโลกทั่วไปหรือการบำเพ็ญเพียร เป็นหลักการที่เป็นนิรันดร์ เจ้าอ่อนแอก็จะถูกตี ถูกดูถูก หากเจ้าแข็งแกร่ง ก็สามารถควบคุมทุกสิ่งอย่าง เข้าใจหรือไม่”
ซาหยวนจื่อตะเกียกตะกายขึ้นมาจากพื้น คุกเข่าให้ดีอีกครั้ง น้ำเสียงคล้ายแฝงไปด้วยพลังอันหนาวเหน็บ “ศิษย์น้อมรับคำสั่งสอนขอรับ”
ชื่อเจินจื่อถอนหายใจหนึ่งเฮือก “เจ้ายังโทษอาจารย์อยู่”
“ศิษย์มิกล้า” ซาหยวนจื่อเงยหน้า ในดวงตาเต็มไปด้วยความเคารพนับถือ เอ่ย “อาจารย์เป็นดั่งบิดาของศิษย์ ผู้เป็นลูกจะโทษบิดาได้อย่างไรกัน ครั้งนี้เพราะศิษย์เรียนรู้ได้ไม่ชำนาญ จึงได้พ่ายแพ้ต่อคนผู้นั้นอยู่บ่อยครั้ง กระทั่งถูกนางร่ายคาถาใส่ก็ยังไม่รู้ตัว ยังเกือบเปิดเผยตัวตนของอาจารย์ ทำให้ท่านต้องตกอยู่ในอันตราย ท่านลงโทษข้าก็ถูกแล้วขอรับ”
ชื่อเจินจื่อมองพลังหยินที่ลอยวนอยู่บนตัวของเขา ใบหน้าที่ถูกทำลายเห็นได้ว่ามืดมนยิ่งขึ้น จึงเอ่ย “เจ้ารู้ซึ้งก็ดีแล้ว เข้าไป อาจารย์จะทายาให้เจ้า”
ซาหยวนจื่อเผยรอยยิ้มดีใจขึ้นมา
ชื่อเจินจื่อหันมา เดินนำเข้าไปในบ้าน ซาหยวนจื่อรีบลุกขึ้น ทว่าเพราะลุกเร็วเกินไป ร่างกายที่บาดเจ็บจากค่ายดูดวิญญาณหมื่นกระดูกโซเซเล็กน้อย
เขาลากขาทั้งสองข้างเดินตามไป
ชื่อเจินจื่อหยิบยาออกมา ให้เขานอนราบไปบนเตียง ทายาขี้ผึ้งพร้อมเอ่ย “เจ้าเล่าให้อาจารย์ฟังอีกรอบเถิด ที่เจ้าเจอคือลูกศิษย์ของชื่อหยวนจริงหรือ”
“ใช่ขอรับ ไปเมืองหลวงครั้งนี้ เดิมเพราะสืบรู้ที่อยู่ของไข่มุกมังกรวารี…” ซาหยวนจื่อเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในระยะที่ผ่านมานี้ไปหนึ่งรอบ
ดวงตาของชื่อเจินจื่อหรี่ลง “ชื่อหยวนรับลูกศิษย์เป็นสตรีอย่างนั้นหรือ”
“เป็นนักพรตหญิงอย่างไม่ต้องสงสัยขอรับ อีกทั้งยังมีความสามารถลึกล้ำ…” ซาหยวนจื่อลอบส่งเสียงหยัน สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่บาดแผลที่ถูกอาจารย์เพิ่มน้ำหนัก รีบเอ่ย “ศิษย์สำนึกผิดแล้ว ไม่ควรยกย่องผู้อื่นทำลายอำนาจของตนเองขอรับ”
ชื่อเจินจื่อเอ่ย “อาจารย์เพียงกำลังบอกเจ้า อย่าได้มีความคิดว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่าตนเอง มิเช่นนั้นนี่จะกลายเป้นปีศาจในใจเจ้า ยากที่จะฝ่าฟันเมื่อบำเพ็ญเพียร”
“อาจารย์สั่งสอนได้ถูกแล้วขอรับ” ซาหยวนจื่อเอ่ยอย่างระมัดระวัง “แต่ว่าอาจารย์ขอรับ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไยเราต้องหนีเล่า”
มือของชื่อเจินจื่อลงน้ำหนักอีกครั้ง สายตาราวกับมีด
หนีคำนี้ เขาไม่ชอบเลยจริงๆ
“อาจารย์ปิดบังชื่อแซ่มาสามสิบปี ไม่เคยไปหาเรื่องชื่อหยวน เจ้าคิดว่าข้ายังเห็นแก่มิตรภาพสำนักเดียวกันหรือ มิใช่เลย เพราะรักในตน เป็นคนต้องรู้แน่ชัดจึงเป็นสิ่งสำคัญ ผู้ดีแก้แค้นสิบปีก็ไม่สาย มีพลังงานยิ่งใหญ่ยามใดแก้แค้นไม่ได้บ้างเล่า ให้เขาอยู่อีกสักสองสามปีเถิด” ชื่อเจินจื่อส่งเสียงหยันหนักๆ “สำหรับอาจารย์แล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือการฟื้นฟูตบะบำเพ็ญเพียรให้กลับมาแข็งแกร่ง มิเช่นนั้นจะเอ่ยถึงอายุยืนยาวได้อย่างไร ไม่มีอายุยืนยาว แก้แค้นมีความสุขเพียงชั่วคราวจะมีความหมายอะไร”
สิ่งที่เขาเสาะแสวงหามาทั้งชีวิตก็คือเส้นทางอายุวัฒนะ เพื่อสิ่งนี้เขายอมแลกทุกสิ่งอย่าง
ซาหยวนจื่อกลับฟังแล้วได้รับความหมายที่แตกต่างออกไป สู้ไม่ได้ ทำได้เพียงเอาตัวรอด
ก็ใช่น่ะสิ เขาก็เหมือนจะสู้ฉินหลิวซีไม่ได้
“อย่างที่เห็น ยังไม่ใช่เวลาเผชิญหน้ากับชื่อหยวน” ชื่อเจินจื่อหรี่ตาพลางเอ่ย “เพียงแต่ไข่มุกมังกรวารีตกอยู่ในมือของพวกเขา เป็นเช่นนั้นไม่ได้ ดูเหมือนว่าการบำเพ็ญของเจ้านั่นเองก็คงถดถอยยังไม่ฟื้นคืนกลับมาถึงรากฐานเช่นกัน พวกเขาต้องการไข่มุกมังกรวารี แน่นอนว่าต้องการปรุงยารากฐานปราณ”
นี่จะให้เกิดขึ้นไม่ได้ เพียงชื่อหยวนปรุงเม็ดยาขึ้นมาได้ หลังจากกินแล้วสร้างรากฐานได้สำเร็จ เขาจะแก้แค้นได้อย่างไร
สายตาของชื่อเจินจื่อมองมาที่สองขาของเขา มองเห็นรอยแผลน่ากลัวจากกริชนั่น คิ้วขมวดโดยไม่อาจห้ามได้ เขาวางมือบนมันเบาๆ ก่อนจะรีบดึงกลับคืนมาอย่างรวดเร็วด้วยความตกใจ
“ไยจึงร้อนเช่นนี้ นางใช้อะไรทำร้ายเจ้า”
ซาหยวนจื่อเอ่ย “เป็นกริชหนึ่งเล่มที่มีเกล็ด คมมาก อีกทั้งตอนถูกมันฟัน ยังเหมือนมีไฟกำลังแผดเผาขอรับ”
เขามองบาดแผลสองแห่งนั้น ที่น่าแปลกมากก็คือแม้จะร้อนดั่งไฟ แต่การเข้าไปในค่ายหมื่นกระดูกในครั้งนี้กลับไม่ได้รู้สึกทรมานเหมือนเมื่อก่อน แม้พลังหยินด้านในจะทำลายภายในร่างกายของเขา แต่ความหนาวเหน็บของหยินกลับยังพอทนได้
ซาหยวนจื่อเงยหน้ามองอาจารย์เล็กน้อย เห็นเขาราวกับกำลังครุ่นคิดสิ่งใดอยู่ ไม่ได้เอ่ยสิ่งที่ตนเองค้นพบออกมา
เขาเหนื่อยแล้ว ไม่อยากเข้าไปในค่ายกระดูกนั่นอีก และไม่อยากอยู่ในโลกที่มืดมิด มีเพียงแสงสีขาวของกระดูกขาวเท่านั้น
ชื่อเจินจื่อกลับนึกถึงว่าเบื้องลึกของอารามชิงผิงดูเหมือนจะลึกเสียยิ่งกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้ ตอนนั้นท่านอาจารย์เองก็คงแอบมอบสิ่งของและอาวุธให้กับชื่อหยวนไม่น้อย
นึกถึงประโยคที่ท่านอาจารย์เอ่ยกับเขาในตอนนั้น บอกว่าเขาอุทิศตนเพื่อแสวงหาความเป็นอมตะ ทว่าลืมความตั้งใจเดิมเมื่อครั้งแรกเข้ามาในเต๋า ไม่จัดลำดับความสำคัญ เป็นบ่อเกิดแห่งหายนะ สายตาเหยียดหยามและซับซ้อนคู่นั้นทำให้หัวใจของเขาเจ็บปวด
แสวงหาเส้นทางอมตะ ไยจึงไม่นับว่าเป็นเต๋าแท้เล่า
ชื่อเจินจื่อนึกย้อนถึงอดีตที่ผ่านมา ใบหน้าดุร้ายบิดเบี้ยว สูดหายใจลึกอย่างอดไม่ได้
“ร่ายคาถาตามรอยเพันลี้แล้วเจ้ายังไม่รู้ตัว และยังทำร้ายเจ้าบาดเจ็บได้ มีความสามารถจริงแท้ อาจารย์มีเจ้าเป็นลูกศิษย์เพียงคนเดียว เจ้าอย่าได้ทำให้อาจารย์ผิดหวัง” ชื่อเจินจื่อมองเขา เอ่ย “ในเมื่อหุบเขาถูกพบเข้าแล้ว ก็คงกลับไปไม่ได้อีกแล้ว”
“นางจะไปหรือขอรับ”
“โง่เง่า” ชื่อเจินจื่อจ้องเขาเขม็ง “ในเมื่อเจ้าเอ่ยบอกตัวตนของตนเองไปแล้ว ยังให้นางรู้ที่อยู่ของเรา ชื่อหยวนจะไม่รู้หรือ เขาจะไม่ตามมาหรือ พวกเรากลับไปก็เป็นเหมือนปลาติดแหยังไม่รู้อีกหรือ”
ซาหยวนจื่อไม่กล้าเอ่ยปาก
“เจ้ากักตัวสักระยะ จากนั้นไปตามหาร่างกายสักร่างมา ร่างกายนี้ไม่ไหวแล้ว” ชื่อเจินจื่อรู้สึกโกรธเมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้
เขาเกลียดการเปลี่ยนร่างกายเพื่อมีชีวิตอยู่ต่อเป็นที่สุด
ชีวิตอมตะเอ๋ย เขาจะต้องเอามันมาให้ได้
“ไข่มุกมังกรวารีนั่นละขอรับ” ซาหยวนจื่อหยั่งเชิงเอ่ยถาม
ชื่อเจินจื่อหน้าตึง เอ่ย “อาจารย์จะคิดหาวิธีเอง”
ได้ไข่มุกมังกรวารีมาแล้วต้องปรุงยา ชิงไข่มุกมังกรวารี มิสู้แย่งชิงยามาดีกว่า เพียงแต่จะอันตรายมากสักหน่อย
ยังคงต้องไตร่ตรองให้ดี
ฉินหลิวซีกลับไม่รู้ว่าไข่มุกมังกรวารีของตนถูกคนหมายมั่นเอาไว้แล้ว จัดการทำความสะอาดหุบเขานั่นหนึ่งรอบ จากนั้นวางค่ายอาคมสังหารขนาดใหญ่ก่อนจะจากไป
เมื่อออกมาจากหุบเขา นางพลันเห็นคาราวานพ่อค้ากำลังพักผ่อน มองการแต่งกายของคนเหล่านั้น ฉินหลิวซีก็ชะงักไปเล็กน้อย
คนรับผิดชอบและผู้คุ้มกันคณะคาราวานมองเห็นฉินหลิวซีออกมาจากหุบเขาเองก็ชะงักไปเช่นกัน ทว่ามีท่าทีระแวดระวัง
ที่แห่งนี้คือยอดเขาเทียนเซียน ไยจึงมีคนเดินลงมาจากบนเขา ทั้งยังงดงามเพียงนี้ แต่การแต่งกายเช่นนี้ เป็นนักพรตเต๋าหรือ
ฉินหลิวซียิ้มและอ้างว่าตนเองเป็นนักพรตน้อยที่ลงมาจากเขาเพื่อฝึกฝน ถามพวกเขาว่าจะไปที่ใด
คำถามนี้จึงได้รู้ว่าเข้ามาในพื้นที่ซีเป่ยแล้ว เดินไปอีกไม่กี่สิบลี้ก็เป็นด่านหยางนั่นแล้ว
“ที่แท้ก็มาถึงซีเป่ยแล้วหรือเนี่ย” ฉินหลิวซีครุ่นคิด อย่างไรก็ไม่มีธุระ ในเมื่อมาแล้วมิสู้แอบไปดูบุรุษไม่กี่คนนั่นที่กำลังดิ้นรนลำบากเพื่อเอาชีวิตรอดดีหรือไม่