คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 635 ดูความสนุกจนมาถึงครอบครัวตนเอง
ตอนที่ 635 ดูความสนุกจนมาถึงครอบครัวตนเอง
เมื่อฟ้าสว่างขึ้นก็มาถึงเมืองอู่ ลมที่พัดปะทะใบหน้าปะปนมาด้วยฝุ่นผง ทำให้คนต้องหรี่ตาลงโดยไม่รู้ตัว ชาวเมืองที่เดินอยู่บนถนนมีความแตกต่างจากคนในเมืองหลวงอยู่บ้าง รูปแบบยังล้าสมัย แต่ใบหน้าผู้คนเต็มไปด้วยรอยยิ้มร่าเริง
“นักพรตน้อย พวกเรามีสมาคมบ้านเดียวกันอยู่ที่นี่ หากท่านไม่มีที่พัก จะพักกับเราที่สมาคมบ้านเดียวกันหรือไม่”
เมื่อเข้ามาในเมือง หลู่ซิง ผู้คุมขบวนพ่อค้าก็เข้ามาเชิญฉินหลิวซีด้วยรอยยิ้มตาหยี
ฉินหลิวซีเข้าเมืองมาพร้อมกับคาราวานพ่อค้าของพวกเขา ทว่าไม่ได้นั่งรถมาเปล่าประโยชน์ ระหว่างทางที่มาที่นี่ มีผู้คุมถูกงูพิษกัดโดยไม่ทันระวัง ฉินหลิวซีได้ช่วยรักษาบาดแผลให้เขา ขณะเดียวกันนั้นยังได้ปรุงยาสมุนไพรให้ด้วย มิเช่นนั้นความเจ็บปวดจากการถูกงูห้าก้าว[1]กัด ผู้คุมที่เพิ่งแต่งงานเตรียมเป็นบิดาผู้นี้ก็คงไม่ได้เห็นตุ๊กตาน้อยของเขาแล้ว
นอกจากนี้ในระหว่างการเดินทางของคาราวาน ผู้คนในคาราวานมากน้อยต่างก็มีอาการเจ็บป่วย อาการเล็กๆ น้อยๆ อีกฝ่ายก็รักษาได้ในทันที ถึงขั้นฝังเข็มก็หาย เก่งกาจเกินไปแล้ว
แม้แต่ตนเอง เดินทางทำการค้าอยู่มานานหลายที่เป็นเวลาหลายปี กระเพาะและขากับเท้าล้วนอาการไม่ดีนัก อีกฝ่ายช่วยฝังเข็มด้วยความร้อนให้หนึ่งครั้ง อีกทั้งยังจัดใบสั่งยาให้
ดังนั้นหลู่ซิงจึงมาเชื้อเชิญอีกฝ่ายด้วยความกระตือรือร้น หากฉินหลิวซีไม่เรียกตนเองว่าเป็นนักพรตน้อยที่เดินทางท่องยุทธภพไปเรื่อย เขาก็มีใจอยากดึงเข้ามาร่วมขบวน อย่างไรหากขบวนมีผู้มากความสามารถด้านการแพทย์ก็คงดีมากจริงๆ
ฉินหลิวซีปฏิเสธด้วยรอยยิ้ม “ข้ามีที่พักแล้ว ต้องขอบคุณแล้ว”
หลู่ซิงรู้สึกเสียดายเล็กน้อยทว่าไม่ได้ดึงดัน เพียงหยิบกระเป๋าติดตัวใบเล็กส่งให้ “ข้าไม่รู้ว่านักพรตเต๋าบนเขาอย่างพวกท่านต้องอดข้าวเหมือนกันหมดหรือไม่ แต่ในเมื่อเข้าเมืองมาแล้ว เกิดมีเรื่องจำเป็นต้องใช้เงิน ท่านจะไปมือเปล่าก็คงไม่ได้ ที่นี่จะกินจะดื่มต้องใช้เงิน ที่นี่มีเศษเงินอยู่ไม่กี่ตำลึง ท่านเก็บเอาไว้ เผื่อมีเวลาที่จำเป็นต้องใช้”
ฉินหลิวซีไม่ได้รับ เอ่ยตอบว่า “ไม่ต้องหรอก เข้ามาพร้อมกับคณะพ่อค้าข้าเองก็ยังไม่ได้จ่ายค่าเดินทางเลย จะเอาเงินท่านได้อย่างไร”
“เก็บเอาไว้เถิด” หลู่ซิงยัดกระเป๋าใบเล็กใส่มืออีกฝ่าย เอ่ยด้วยรอยยิ้มร่าเริง “หลานที่บ้านข้าโตพอๆ กับท่าน ถือเสียว่าข้าให้เงินเล็กๆ น้อยๆ แก่ลูกหลานได้หรือไม่”
“เช่นนั้นก็ได้” ฉินหลิวซีหยิบยันต์คุ้มกันภัยออกมาจากแขนเสื้อยื่นไปให้ “ยันต์คุ้มภัยนี้ถือว่ามอบให้แก่คนดีเช่นท่าน เทียนจุนอวยพรท่าน”
หลู่ซิงชะงัก รับมาพร้อมกับเอ่ยตอบว่าเทียนจุนอวยพรท่านเช่นกกัน
“ท่านมีโชคลาภทางการเงิน หลังเดินทางเที่ยวนี้ให้มุ่งหน้าเดินทางทิศตะวันออกจะได้รับเงินทองของล้ำค่า” ฉินหลิวซีเอ่ยขึ้นมาหนึ่งประโยค จากนั้นถือกระเป๋าไปพลางโบกมือให้เขา ไม่นานก็หายไปกับตลาดที่คึกคัก
หลู่ซิงมองอีกฝ่ายเดินห่างไปไกลจึงมีสติกลับคืนมา มองดูยันต์คุ้มภัยในมือ สายตาแวววาว “มุ่งหน้าทางตะวันออกอย่างนั้นหรือ”
…
ฉินหลิวซีเดินเรื่อยเปื่อยอยู่ในตลาดคึกคัก จนกระทั่งถึงยามเที่ยง ผู้คนบนถนนมีไม่น้อย พ่อค้าหาบเร่บางคนกำลังกวักมือเรียกขายของ มีกลิ่นน้ำมันเผ็ดลอยมากับสายลมทำให้คนรู้สึกท้องหิว
ฉินหลิวซีมองตามกลิ่นไป มาถึงแผงขายบะหมี่เย็นเล็กๆ ร้านหนึ่ง เอ่ยขึ้นว่า “ขอบะหมี่เย็นหนึ่งที่ น้ำมันเผ็ดหนึ่งช้อน โรยผงงาและถั่วลิสงเล็กน้อย โรยผักชีมากสักหน่อย”
“ได้เลย ลูกค้าท่านรอสักครู่” พ่อค้าเอ่ยตอบร่าเริง
ฉินหลิวซีกอดอกมองท่าทางหั่นเส้นคล่องแคล่วของเขา ใส่เครื่องปรุง คลุกเคล้า ไม่นานก็ส่งบะหมี่เย็นส่งกลิ่นหอมสดใหม่หนึ่งถ้วยมาตรงหน้านาง ส่งสัญญาณว่าด้านหลังมีโต๊ะและเก้าอี้เล็กๆ อยู่
แม้จะอยู่ข้างถนน ฉินหลิวซีก็ไม่ได้สนใจ นั่งกินอยู่บนตั่งเล็กๆ นั่น กำลังกินอย่างเอร็ดอร่อย มุมหนึ่งกลับมีเด็กหญิงตัวเล็กสกปรกมอมแมมยืนกลืนน้ำลาย เลียริมฝีปากมองนางอยู่ที่มุมหนึ่ง
ฉินหลิวซีจึงสั่งบะหมี่เย็นมาอีกถ้วย ก่อนจะเรียกเด็กคนนั้นมา ให้นางกิน
พ่อค้ามองเล็กน้อย ขมวดคิ้ว อดทนเอาไว้ไม่เอ่ยสิ่งใด
เด็กหญิงตัวน้อยผู้นั้นกลับปราดเปรียว วิ่งไปหยิบถ้วยเก่าๆ ยังมุมที่ตนนั่งอยู่เมื่อครู่ เทบะหมี่เย็นลงไป จากนั้นคืนถ้วยให้พ่อค้า
สีหน้าของพ่อค้าดีขึ้นมาก
เด็กหญิงคุกเข่าให้ฉินหลิวซี โขกศีรษะหนึ่งครั้ง ถือถ้วยเก่าๆ เดินกลับไปด้วยความระมัดระวัง
“ท่านใจดี มิสู้ให้นางกินต่อหน้า มิเช่นนั้นหากเอากลับไป ไม่รู้ด้วยซ้ำว่านางจะได้กินหรือไม่” พ่อค้าบอก
ฉินหลิวซีเลิกคิ้ว เอ่ย “เจ้าช่างเข้าใจนัก”
“ไม่จำเป็นต้องเข้าใจอะไรนัก ขอทานตัวน้อยเช่นนี้ไหนเลยจะปกป้องของของตนเองเอาไว้ได้ ซ้ำยังเป็นเด็กหญิงตัวเล็กอีกด้วย” พ่อค้าเห็นว่าไม่มีลูกค้า ก็เก็บของไปพร้อมเอ่ย “ขอทานในเมืองนี้ต่างก็แบ่งพรรคพวก นางเป็นสตรีเพียงคนเดียว ยังตัวเล็กเพียงเท่านี้ ถือของกินหนึ่งถ้วยไป ไหนเลยจะไม่ดึงดูดสายตา หากเจอคนที่มาแย่ง หากให้ไปก็ดี แต่หากปกป้องไม่ยอมให้ เกรงว่าคงต้องซวยแล้ว”
ฉินหลิวซีวางตะเกียบลง เอ่ยว่า “เช่นนี้แล้วดูเหมือนความใจดีของข้าจะเกิดเรื่องร้ายแล้ว”
พ่อค้าถอนหายใจหนึ่งเฮือก “เป็นโชคชะตาทั้งนั้น”
ฉินหลิวซีจ่ายเงิน นางครุ่นคิดพลางเดินตรงไปทางที่เด็กหญิงเดินไป
ฉินหลิวซีเดินผ่านซอยเล็กๆ หลายซอยก่อนจะได้ยินเสียงร้องไห้ นางเดินเข้าไปรวดเร็ว เห็นเด็กหญิงตัวน้อยกอดเด็กชายที่ตัวเล็กกว่านางกำลังร้องไห้ ข้างๆ นางเป็นถ้วยเก่าที่แตกแล้ว บะหมี่เย็นหกกระจายเต็มพื้น
และห่างจากเด็กทั้งสองไม่ไกล มีเด็กหนุ่มแต่งตัวดีหลายคนกำลังเตะต่อยเด็กคนหนึ่งที่อยู่บนพื้น
หนึ่งในนั้นดวงตามีรอยเขียวคล้ำ แม้ขายังยืนได้ไม่มั่นคงแต่กลับเอ่ยขึ้นอย่างโอหัง “คุณชายข้าจะสั่งสอนขอทานสองคนนั้น ยังต้องให้เจ้านักโทษเนรเทศคนหนึ่งมาทำตัวเป็นวีรบุรุษหรือ ถุย ไม่ดูว่าตนเองไร้ค่าอย่างไร ยังคิดว่าตนเองเป็นคุณชายสูงส่งอย่างที่เคยเป็นอยู่หรือ”
ระหว่างที่เอ่ยยังเตะคนคนนั้นหนึ่งครั้ง เตะจนเขาพลิกคว่ำ
เดิมทีฉินหลิวซียังพิงกำแงชมความครื้นเครง กระทั่งคนที่นอนอยู่บนพื้นถูกเตะพลิกหน้าขึ้นมา ใบหน้าใบหนึ่งเข้าสู่สายตาของนาง นางจึงยืดตัวยืนตัวตรง
บังเอิญเกินไปแล้ว ชมความสนุกจนมาถึงครอบครัวตนเองแล้ว
ใบหน้าที่คล้ายกับสะใภ้หวัง บวกกับสิ่งที่คนนั้นเอ่ย นี่ไม่ใช่ฉินหมิงเยี่ยนแล้วจะเป็นใครได้อีก
“ไม่มีความสามารถแล้วยังกล้าเข้ามายุ่งเรื่องของคนอื่น ดูเจ้าคงจะว่างเกิน เขียนจดหมายให้คนจนโง่ไปแล้วกระมัง” เด็กหนุ่มมองต่ำมายังฉินหมิงเยี่ยน มองนิ้วมือเรียวยาวของเขา รู้สึกริษยา เอ่ย “นักโทษเนรเทศคนหนึ่ง ดูคงจะไม่มีอนาคตแล้ว มือนี้ก็ไม่ต้องจับพู่กันแล้ว”
เขาเหยียบลงไปบนมือนั้น น้ำเสียงเต็มไปด้วยเจตนาร้าย เอ่ย “ขอเพียงเจ้าตะเกียกตะกายหนีออกไปได้ เรียกบิดาสักครั้ง ข้าก็จะปล่อยเจ้าไป”
ฉินหมิงเยี่ยนเงยหน้า กัดฟัน “เจ้าฝันไปเถิด จะฆ่าก็ฆ่า เชิญตามสบาย”
“นายน้อยโจว เจ้านักโทษนี่กำลังท้าทายท่าน”
“รนหาที่ตาย ให้นายน้อยโจวของเราสั่งสอนเขาให้รู้จักเป็นคน”
“ไว้หน้าเจ้าแล้ว” นายน้อยโจวนั่นถูกลูกสมุนยุยงก็ฮึกเหิมขึ้นมา ใช้เท้าถูไปกับใบหน้าของฉินหมิงเยี่ยน ก่อนจะหรี่ตาลง เอ่ย “ข้าเปลี่ยนความคิดแล้ว ใบหน้านี้ของเจ้างดงามไปสักหน่อย คิดว่าไปอยู่ในร้านอาหาร[2]คงเป็นที่ชื่นชอบ พวกเจ้า ถอดกางเกงเขาออก ให้ข้าสอนเขาต้องปรนนิบัติคนอย่างไร”
ทุกคนหัวเราะสนุกสนานขึ้นมา
ใบหน้าฉินหมิงเยี่ยนเปลี่ยนไป แววตามีความหวาดกลัวในแบบที่คนอายุเท่าเขาพึงมี
“เจ้า เจ้ากล้า”
“เบิกตาของเจ้าดูว่าข้ากล้าหรือไม่ นิ่งรออะไรอยู่ ยังไม่ลงมืออีก” นายน้อยโจวเห็นว่าในที่สุดเขาก็เผยความหวาดกลัวขึ้นมา รู้สึกสนุกขึ้นมาโดยไม่อาจห้ามได้
ผู้คนรุมล้อมเข้าไป
“คนมากรังแกคนน้อย มากเกินไปหรือไม่” ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงราบเรียบขึ้นมาหนึ่งประโยค
[1] งูห้าก้าว เป็นงูที่จัดอยู่ในสายพันธุ์เดียวกันกับงูหางกระดิ่ง
[2] ร้านอาหาร (馆子) เป็นร้านที่มีห้องนอนด้วย เป็นร้านอาหารที่มีที่พักและคนคอยปรนนิบัติ