คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 636 โปรดเรียกข้าว่าเฉิงเย่าจิน
ตอนที่ 636 โปรดเรียกข้าว่าเฉิงเย่าจิน
คนมากรังแกคนน้อยงั้นหรือ
นี่ไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดาที่ลูกหลานผู้ดีทำกันหรอกหรือ มีสิ่งไปน่าประหลาดใจกับเรื่องนี้บ้าง ยิ่งไปกว่านั้น เกี่ยวอะไรกับคนเดินผ่านไปผ่านมากัน เป็นวีรบุรุษจนติดใจแล้วอย่างนั้นหรือ
นายน้อยโจวที่ถูกขัดจังหวะเช่นนี้จึงแสดงออกมาว่าไม่พอใจเท่าใดนัก และผลที่ตามมาของการไม่พอใจคือต้องมีคนถูกตี
ความผิดคือปากไม่ดีและชั่วช้า ทั้งยังคิดจะให้ฉินหลิวซีเป็นกระต่ายให้นายน้อยได้เล่น ดังนั้นพวกเขาทั้งกลุ่มต้องถูกตีแล้ว
ส่วนที่ไร้ยางอายที่สุดก็คือ เจ้าหน้าขาวนี่โจมตีสกัดจุดพวกเขาโดยเฉพาะ แม้ลงมือทว่ากลับไม่ปรากฏร่องรอยบาดแผล ทว่าสามารถทำให้พวกเขาเจ็บปวดแสนสาหัสได้
ร้ายกาจยิ่งนัก
แต่นายน้อยโจวไม่กล้าตอบโต้ เพราะอีกฝ่ายยืนอยู่บนกระดูกสันหลังของเขา เพียงออกแรงอีกสักนิด ตนเองก็พิการแล้ว
ให้ตายเถอะ ไม่สามารถเอาชนะเจ้าหน้าขาวคนนี้ได้เลย
“วีรบุรุษ พวกเราไม่กล้าแล้ว พวกเราจะไปเดี๋ยวนี้” เหล่าลูกสมุนคุกเข่าเรียงแถวอยู่มุมหนึ่งเอ่ยร้องขอความเมตตาจากฉินหลิวซี
คอยดูเถอะ หากหนีไปได้แล้ว จะมาจัดการเจ้านักโทษเนรเทศนั่นให้ตายเสีย
ฉินหลิวซีถือน่องไก่พลางแทะมัน ส่ายศีรษะแล้วจึงเอ่ย “ไม่ รอข้าไปแล้ว พวกเจ้ายังจะทำร้ายแก้แค้น อย่างเช่นทุบให้เด็กคนนั้นตาย”
ทุกคน “…”
พวกเขาเอ่ยสิ่งนี้ออกมาโดยไม่รู้ตัวตั้งแต่เมื่อใดหรือไม่
“แต่ไม่สำคัญ ข้าจะให้พวกเจ้าได้เห็นอะไรดีๆ” ฉินหลิวซีแทะน่องไก่จนหมด กระดูกโยนลงบนพื้น จากนั้นค้นหาของในถุงผ้าใบใหญ่ หยิบขวดเล็กๆ หนึ่งขวดออกมา เทของเหลวด้านในลงบนกระดูก
ฉ่า ฉ่า ฉ่า
ทุกคนเฝ้าดูกระดูกที่ถูกละลายโดยไม่เหลือทิ้งอะไรเอาไว้ด้วยความสยดสยอง
นี่ นี่คือน้ำละลายร่างกายในตำนานที่เอ่ยถึงกันน่ะหรือ
คนผู้นี้เป็นใครกัน
“เห็นหรือไม่” ฉินหลิวซีมองทุกคน เอ่ย “พวกเจ้าว่าข้าจะฆ่าปิดปากหรือไม่ ข้ากลัวจริงๆ ว่าเดี๋ยวพวกเจ้าจะกลับมาหาเรื่องอีก เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาเหล่านี้ มิสู้ข้าชิงจัดการ ละลายพวกเจ้าเลยดีหรือไม่”
ทุกคนอยากร้องไห้
พวกเขาทำอะไรถึงถูกข่มขู่เช่นนี้ พวกเขายังเป็นเด็กอยู่นะ
“ข้า ท่านน้าเขยของข้าเป็นเจ้าเมืองประจำเมืองอู่ เจ้ากล้าทำเช่นนี้ ท่านน้าเขยของข้าไม่ปล่อยเจ้าเอาไว้แน่” นายน้อยโจวเอ่ยเสียงดังข่มขู่
“ดังนั้นจึงต้องทำลายศพอย่างไรเล่า ละลายให้หมดไม่เหลือร่องรอย ไหนเลยจะมีหลักฐาน แล้วมีผู้ใดรู้หรือว่าข้าเป็นคนทำ” ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเย็นชา
นายน้อยโจวผู้นั้นตัวสั่นขึ้นมา
“พวกข้าสาบาน จะไม่มาหาเรื่องอีกแล้ว” ทุกคนยกมือขึ้นมา “มิเช่นนั้นขอให้ฟ้าร้องฟ้าผ่าได้เลย บุรุษหนุ่ม ปล่อยพวกเราไปเถิด”
“ไม่ได้สิ พวกเจ้าไม่กล้ามาหาเรื่องข้า เช่นนั้นพวกเขาเล่า” ฉินหลิวซีชี้ไปยังพวกฉินหมิงเยี่ยน “ข้าจะทำให้พวกเขามีปัญหาไม่ได้ นี่เป็นบาป พวกเจ้าทำให้พวกเขาลำบากไม่ได้”
บรรพบุรุษ เจ้าต้องการอะไรกันแน่
“พวกเราจะไม่หาเรื่องใครทั้งนั้น เดิมก็ไม่ใช่คนในเส้นทางเดียวกัน เพียงหยอกเขาเล่นสักครั้งเท่านั้น ต่อไปพวกเราเดินเลี่ยงหนีจากเขาก็ได้กระมัง พวกเราสาบาน”
ฉินหลิวซีเอ่ยอย่างไม่เต็มใจนัก “เช่นนั้นก็ได้ แต่ข้ากลัวว่าพวกเจ้าจะโกหกข้า นั่นผู้ใด ช่วยจับตาดูพวกเขาให้ข้า หากใครกล้ากลับมาเอาคืน ข้าจะฆ่ามันให้ตาย”
ทุกคนหันมองไปตามสายตาของอีกฝ่าย อีกฝ่ายกำลังเอ่ยกับใครอยู่หรือ
ฉินหลิวซียิ้ม “พี่ผีตนหนึ่งน่ะ ผู้ใดไม่เชื่อฟัง ข้าจะให้เขาเล่นเป็นเพื่อนพวกเจ้า”
เอ่ยถึงผู้ใดกัน
“ไป ดึงผมของเขามา” ฉินหลิวซีเสกคาถา ดึงผมของคนหนึ่งคนขึ้นมา
ทุกคน “!”
อ๊ากกก มีผี ท่านแม่ ข้าอยากกลับบ้าน
หลังจากถูกฉินหลิวซีหลอกให้กลัว ทุกคนก็ทิ้งเงินชดใช้เอาไว้ วิ่งหนีไปด้วยความตื่นตระหนก ไม่กล้ามองฉินหมิงเยี่ยนแม้เพียงเล็กน้อย
ฉินหลิวซีให้เงินจำนวนหนึ่งแก่เด็กหญิงตัวน้อยผู้นั้น ก่อนจะถอนหายใจออกมา แล้วส่งยันต์คุ้มภัยไปให้หนึ่งแผ่น “พาน้องของเจ้าไปยังหอเสียนในเมือง จะมีคนพาพวกเจ้าไปยังสำนักการกุศล”
เด็กหญิงรับมาอย่างงุนงง โขกศีรษะให้นางอีกครั้ง หันไปโขกศีรษะให้ฉินหมิงเยี่ยนหนึ่งครั้ง จูงมือน้องชายที่ดูไม่รู้เรื่องรู้ราวคนนั้นออกไป
ฉินหลิวซีหันมา ฉินหมิงเยี่ยนย่นคิ้วมองมา ดวงตามีความหวาดระแวงเล็กน้อย และมีความสงสัยอยู่บ้าง ที่น่าแปลกก็คือเขามองใบหน้าของอีกฝ่ายแล้วพลันเกิดความรู้สึกน้อยอกน้อยใจขึ้นมาอย่างไร้เหตุผลชั่วครู่
คนเห็นผีผู้นี้
ฉินหมิงเยี่ยนสูดหายใจเข้าลึก เอ่ย “ท่านเป็นใคร”
“ข้าแซ่เฉิง”
อ้อ
“นามว่าเย่าจิน”
ฉินหมิงเยี่ยนชะงักชั่วครู่ รู้สึกว่าตนเองถูกหลอกขึ้นมา จ้องเขม็งกลับไป แต่อีกฝ่ายก็เป็นคนช่วยเขาเอาไว้
“ขอบคุณที่ท่านช่วยข้า”
“อย่าได้ส่องแสงให้ใบหน้าตนเอง ข้าเพียงช่วยเหลือเมื่อไม่มีความยุติธรรมเท่านั้น” ฉินหลิวซีเอ่ยเย็นชา “แต่ว่าเจ้า หยิ่งในศักดิ์ศรีมากหรือ ถูกตีขนาดนั้นแล้ว เกือบจะโดนขืนใจอยู่แล้ว ยังไม่ยอมก้มหัว”
ฉินหมิงเยี่ยนโกรธ บัณทิตฆ่าได้หยามไม่ได้ ไม่อาจทนต่อความอัปยศอดสูและความอับอายได้
“ทนความอัปยศอดสูและความอับอายไม่ได้ ความอัปยศอดสูของเรือนหลังบ้านกลับทนได้อย่างนั้นหรือ”
คนผู้นี้หยาบคาบเกินไปแล้ว
ใบหน้าเล็กของฉินหมิงเยี่ยนแดงก่ำขึ้นมา “หากพวกเขาทำเช่นนี้จริงๆ ข้ายอมตายดีกว่าจะให้พวกเขาทำสำเร็จ”
ฉินหลิวซีใบหน้าทะมึน “วาจานี้ เจ้ากล้าเอ่ยต่อหน้ามารดาเจ้าหรือไม่”
ฉินหมิงเยี่ยนได้ยินเช่นนี้ สีหน้าพลันเปลี่ยน เม้มริมฝีปากก้มหน้าลง
“หานซิ่นยังต้องทนความอัปยศในตอนที่เขายังเด็ก แต่ก็ไม่ได้ขัดขวางต่อการกลายเป็นบุคคลที่โดดเด่นและถูกจดจดไปตลอด และเจ้าก็เป็นเด็กโตขนาดนี้แล้ว ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับหานซิ่น ต้องโดดเดี่ยว ยังกล้าหยิ่งในศักดิ์ศรีเช่นนี้อยู่อีกหรือ สมองเจ้ามีปัญหาหรือไม่”
ฉินหมิงเยี่ยนโกรธจนตาแดงก่ำ จ้องมองด้วยความโกรธ คนผู้นี้มีสิทธิ์อะไรมาด่าเขา
“ยังเอ่ยอะไรยอมตายไม่ยอมรับความอับอาย ทำไมหรือ ชีวิตของเจ้าเป็นของเจ้าเพียงคนเดียวหรือ เจ้าบอกจะตายก็ตาย เป็นมดที่อยู่โดยไร้ประโยชน์ เจ้ายังได้รับการศึกษาเคยได้รับการสั่งสอนมารยาท ยังกล้าเอ่ยถึงความตายหรือ ก่อนจะตาย ไตร่ตรองดูสักนิดว่าเจ้าคู่ควรหรือไม่ ชดใช้ให้มารดาเจ้าแล้วหรือ”
ฉินหมิงเยี่ยนเม้มริมฝีปาก กำหมัดแน่น เอ่ย “เช่นนั้นถ้าหากเป็นท่าน ท่านก็จะก้มหน้าก้มตายินยอมไปอย่างนั้นหรือ”
“สำหรับข้าไม่มีถ้าหาก ข้าสู้ได้” ฉินหลิวซีเหลือบมองเขา “ดังนั้นไม่มีทางก้มหน้าก้มตายินยอมเด็ดขาด ชาตินี้ทั้งชาติก็เป็นไปไม่ได้”
นางจะเตะมันเข้าให้
ฉินหมิงเยี่ยนสะอึก
“อยู่ตัวคนเดียวยังสู้ไม่เป็น เช่นนั้นก็อยู่เงียบๆ ไปเถิด ชีวิตของเจ้าไม่ได้เป็นของเจ้าเพียงผู้เดียว อย่างไรก็ต้องเก็บเอาไว้เจอหน้าคนที่รอคอยเจ้า”
ฉินหมิงเยี่ยนรู้สึกแปลกประหลาดขึ้นมาอีกครั้ง ปรายตามองอีกฝ่าย กำลังอยากเอ่ยอะไรบางอย่าง
“ข้ามีคัมภีร์เคล็ดลับวิชาที่ไม่ถ่ายทอดให้ผู้ใด จะเรียนหรือไม่” ฉินหลิวซีคว้าหนังสือจากกลางอากาศหนึ่งเล่มยื่นให้เขา “เพียงหนึ่งตำลึงเงินเท่านั้น ฝึกกระบวนท่าเหล่านี้ได้แล้ว เจ้าก็จะไม่ต้องถูกตีอีกแล้ว”
หนึ่งตำลึงเงินหรือ
ไยจึงไม่ขโมยเอาไปเลยเล่า!
ฉินหมิงเยี่ยนยิ้มหยัน “แม้ข้าจะเป็นนักโทษเนรเทศ แต่ก็ร่ำเรียนมาไม่น้อย ท่านอย่าได้คิดมาหลอกข้า”
“ข้าแนะนำเจ้าให้คิดดีๆ เมื่อครู่ฝีมือของข้าเจ้าก็เห็นแล้วหรือไม่ ข้าหนึ่งต่อห้า ไม่เป็นอะไรเลยสักนิด ก็เพราะว่าเรียนสิ่งนี้ หากไม่ใช่เพราะมีวาสนากับเจ้า ข้าจะมอบให้เจ้าหรือ ไม่รู้คุณค่าอีก”
ฉินหมิงเยี่ยนรู้สึกใจเต้นขึ้นมาเล็กน้อย
“เดิมเจ้าก็เป็นนักโทษเนรเทศ หากไม่เรียนป้องกันตัว เกรงว่าคงมีชีวิตอยู่จนเจอมารดาเจ้าไม่ได้”
“ท่านเอาแต่เอ่ยถึงท่านแม่ของข้า หรือว่าท่านเป็นคนที่ท่านแม่ข้าส่งมาหรือ” ฉินหมิงเยี่ยนเอ่ยถามหยั่งเชิง สายตามีความคาดหวัง
ฉินหลิวซีมองเขาเหมือนคนโง่ เอ่ย “สมองของเจ้าโง่เขลาแล้วจริงๆ เลอะเลือนหมดแล้ว ฝันเฟื่องไปเรื่อย”
ฉินหมิงเยี่ยน “!”
คนผู้นี้มาจากที่ใดกัน ไยจึงน่าโมโหเช่นนี้