คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 638 ไม่คิดทำความรู้จัก
ตอนที่ 638 ไม่คิดทำความรู้จัก
นับว่าเป็นครั้งแรกที่ฉินหลิวซีได้เห็นท่านปู่ผู้นี้ เพียงมองก็ส่ายหน้า
ถูกยึดทรัพย์สินเนรเทศ สร้างสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อตระกูลฉินของพวกเขา และยิ่งสร้างความเสียหายให้กับชายชราที่ไม่ง่ายกว่าจะขึ้นมาเป็นขุนนางใหญ่ขั้นสาม ดวงตาคู่นั้นมัวหมอง ภพกรรมะมืดมนและมัวหมอง หมายความว่าเขาไร้วาสนากับการเป็นข้าราชการอีกแล้ว
มองดูลมหายใจของเขา สีหน้าคล้ำเล็กน้อย เมื่อเขาพูดจา มีเสียงจากในปอด เกรงว่าจะมีน้ำคั่งในปอด
กำลังวังชาของฉินหยวนซานไม่นับว่าดีนัก แต่ยังโชคดีกว่านักโทษที่ตายระหว่างการเนรเทศ อย่างน้อยก็มาถึงที่นี่ได้อย่างปลอดภัย
“ท่านปู่ ไยพี่หญิงใหญ่ต้องไปฝึกฝนอยู่ที่อารามเต๋าหรือขอรับ” ฉินหมิงเยี่ยนนั่งลงเอ่ยถาม
ฉินหยวนซานตกใจ “ไยจู่ๆ จึงเอ่ยถามเรื่องนี้เล่า”
“ข้าเพียงอยากรู้ขอรับ”
ฉินหยวนซานเอ่ย “ตอนเด็กพี่หญิงใหญ่ของเจ้าร่างกายไม่แข็งแรง ล้มป่วยบ่อยครั้ง เพราะมีดวงชงกับตระกูลฉิน และในตอนที่นางอายุห้าขวบ อาจารย์ในตอนนี้ของนางก็ปรากฏตัวในตระกูลเรา บอกว่าชะตาชีวิตของนางแปลกประหลาด หากไม่ห่างจากบ้านจะตายจากไปตั้งแต่เด็ก จึงบันทึกชื่อนางเอาไว้ภายใต้มารดาของเจ้า อาศัยความใสสะอาดและสูงส่งกดนางเอาไว้ และนักพรตผู้นั้นบอกกับข้าว่าอีกสิบปีข้างหน้าตระกูลฉินของเราจะประสบกับภัยพิบัติ มีเพียงพี่หญิงใหญ่ของเจ้าเข้าสู่เต๋า ชะตาของตระกูลเราจึงจะได้รับการช่วยเหลือ มิเช่นนั้นตระกูลฉินจะล่มสลาย ด้วยเหตุผลเห็นแก่ตัว ปู่จึงส่งนางกลับไปยังบ้านเดิม เข้าสู่เต๋ากับนักพรตชื่อหยวนผู้นั้น”
เขาเอ่ยพร้อมถอนลมหายใจ “นักพรตชรานั่นไม่ได้โกหก ตระกูลฉินของเราประสบภัยพิบัติครั้งใหญ่จริงๆ โชคดีที่มีเพียงบุรุษอายุเกินสิบสองปีเท่านั้นที่ถูกเนรเทศ สตรีในครอบครัวยังคงสามารถกลับไปบ้านเกิดได้ มิเช่นนั้นหากสตรีต้องถูกเนรเทศมาด้วย สถานการณ์จะเป็นอย่างไรกัน”
พวกเขาที่เป็นบุรุษยังไม่อาจรับได้ถึงความยากลำบากของการเนรเทศได้ และสตรีจะรับได้เช่นไร ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง หญิงงามที่ทหารลวนลามในระหว่างทางถูกเนรเทศ พวกเขาต่างก็เห็นมากับตา ไม่มีความยินดีกับมัน
ฉินหมิงเยี่ยนฟังเหตุผลนี้ เอ่ย “แต่ตอนนั้นนางเพิ่งห้าขวบ ก็ต้องไปจากบ้าน โหดร้ายเกินไปหรือไม่ขอรับ”
“โหดร้าย แต่เกิดในตระกูลขุนนาง นี่คือโชคชะตา ข้ารู้ว่าไม่ยุติธรรมกับนาง แต่ข้าเป็นหัวหน้าตระกูลฉิน ข้าต้องคำนึงถึงคนทั้งตระกูล เยี่ยนเอ๋อร์ คนเป็นผู้นำมักมีช่วงเวลาที่ตามใจตนเองไม่ได้” ดวงตาของฉินหยวนซานมีความขุ่นมัว มองไปยังความว่างเปล่า เอ่ยว่า “ปู่มี หัวหน้าตระกูลในเมืองหลวงมากมายต่างก็มี ถึงจะรู้สึกผิดต่อนาง แต่ไม่เสียใจกับการตัดสินใจในครั้งนั้น”
ฉินหมิงเยี่ยนอ้าปาก เกิดว่านี่เป็นเพียงคำโกหกของนักพรตผู้นั้นเล่า จะไม่เป็นการทำร้ายพี่หญิงใหญ่หรอกหรือ
แต่มองใบหน้าชราที่ซีดเซียว เขาก็เอ่ยไม่ออกแม้เพียงคำเดียว
ฉินหลิวซีมองไปที่ชายชราตรงหน้าอย่างเย็นชา หันหลังกลับแล้วเดินออกไป กระโดดขึ้นไปบนหลังคาแล้วนั่งลง เท้าคางมองหลังคาที่เรียงราย
ในฐานะหัวหน้าครอบครัว ควรคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวมและไม่ใช่แค่อนาคตของหลานผู้หนึ่ง แต่พิจารณาทั้งครอบครัว
หากตอนนั้นชายชราบอกว่าต้องการเอาฉินหมิงเยี่ยนไป เขาก็จะมีคุณธรรมเช่นนี้หรือไม่
ฉินหลิวซีเผยรอยยิ้มหยันออกมา
ดวงอาทิตย์ค่อยๆ ลาลับไปทางตะวันตก
บุรุษในตระกูลฉินที่ออกไปหาเงินกลับมาที่รังทีละคน นางเห็นพ่อจอมเจ้าเล่ห์ อาทั้งสองคน ญาติผู้พี่ ไม่มีใครอื่นนอกจากนี้ พวกเขาต่างก็มีร่องรอยความผันผวนของชีวิต แต่งกายด้วยชุดสามัญชน แต่พวกเขาดูมีชีวิตชีวากว่ามากเมื่อเทียบกับฉินหยวนซาน
ฉินหลิวซีมองฉินปั๋วชิงที่แขนขาดไปหนึ่งข้างกำลังพูดคุยถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้กับอีกสองสามคน ยังหยิบเงินรางวัลของวันนี้ออกมาด้วย
ดูเหมือนกงปั๋วเฉิงจะดูแลพวกเขาตามที่นางสั่งจริงๆ ทำให้ชีวิตของพวกเขาดีกว่านักโทษเนรเทศคนอื่นๆ อยู่มาก
ฉินหลิวซีมองไปที่บุรุษเหล่านี้ แม้ว่าใบหน้าของพวกเขาจะเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและหดหู่ แต่พวกเขาก็ไม่หดหู่ใจ และดูเหมือนว่าพวกเขาจะปรับตัวได้แล้ว นางจึงจากไป
นางไม่คิดทำความรู้จักกับคนเหล่านี้
เดินออกมาจากบ้านตระกูลฉิน นางก็มองเห็นรถม้าหนึ่งคันจอดห่างจากบ้านตระกูลฉินไม่ไกล ด้านข้างรถม้า มีพ่อบ้านคนหนึ่งยืนเฝ้าอยู่
ฉินหลิวซีเลิกคิ้วขึ้นเบาๆ
“ใช่เสี่ยวซีหรือไม่”
ด้านในรถม้ามีชายวัยกลางคนนั่งอยู่ หัวใจเต้นระรัว มองไปในทิศทางหนึ่งราวกับสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง ขยับจานขนมเมฆาไปให้
“ก็มิใช่ข้าหรือ” ฉินหลิวซีถอนยันต์พรางตัวและปรากฏตัวขึ้น แสดงตัวออกมา มองคนตรงหน้าคลี่ยิ้มออกมา “พี่ชาย ไม่เจอกันนานทีเดียว”
หน้าผากกงปั๋วเฉิงกระตุก ถลึงตามองนาง เอ่ย “ไม่ต้องมาซุกซน ข้าอายุเป็นบิดาเจ้าได้แล้ว”
“เป็นพ่อข้าน่าเวทนาเกินไป กำลังจุดไฟอยู่นั่นไง” ฉินหลิวซีชี้ไปทางบ้านตระกูลฉิน เอ่ยขึ้นอีก “ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ข้านึกว่าท่านเดินทางไปเขตตะวันตกแล้ว”
“ยังไม่ได้ออกเดินทาง” กงปั๋วเฉิงเอ่ย “หากไม่ใช่เพราะเจ้าให้ยันต์คุ้มภัยกับขอทานน้อยสองคนนั่น ข้าคงไม่รู้ว่าเจ้าอยู่ที่นี่”
“มีเรื่องต้องทำที่นี่ เลยแวะมาดูคนเหล่านั้น” ฉินหลิวซีบิขนมเมฆายัดเข้าปากพลางเคี้ยวเบาๆ ความหวานนั้นละลายในปาก ทำให้นางพึงพอใจยิ้มตาหยีราวกับลูกแมวตัวหนึ่ง
กงปั๋วเฉิงส่ายศีรษะ ขยับจานขนมอันประณีตอีกสองสามชิ้นในจานไปให้
“ได้เจอพวกเขาแล้วหรือ” เขารินน้ำชาให้นางพร้อมเอ่ยถาม
ฉินหลิวซีกลืนขนม รับชาที่เขาส่งมาแล้วดื่มลงไป เอ่ย “ไม่เจอ ไม่จำเป็นต้องเจอ”
กงปั๋วเฉิงได้ยินเช่นนั้น เอ่ยถาม “เช่นนั้นอยู่ที่นี่ต่อกี่วัน”
“เดี๋ยวก็ไปแล้ว” ฉินหลิวซีแตะขนมอีกหนึ่งชิ้น เอ่ย “ข้าไม่ได้เป็นอิสระและร่ำรวยเช่นพี่ชาย ยังต้องรีบกลับไปหาเงินค่าน้ำมันตะเกียงอีก ทำอย่างไรได้เล่า ตอนนี้ข้าเป็นเจ้าอาวาสน้อย มีภาระใหญ่หลวง”
กงปั๋วเฉิงมองมือที่ยื่นออกมาของนาง ปัดออกเบาๆ “ไม่มีเงิน”
เจอหนึ่งครั้งปอกลอกเอาเงินแล้วจากไป ไหนเลยจะมีเรื่องดีๆ เช่นนี้
ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงแผ่ว “พี่ชาย ร่ำรวยมีเกียรติแล้วอย่าลืมกันสิ ตอนนั้นข้าช่วยล้างพิษและจับชีพจรรวมถึงทำนายโชคชะตาให้ท่าน ได้จ่ายเงินจ่ายทองหรือไม่ ตอนนี้ข้าขอเศษเงินเล็กๆ น้อยๆ ยังไม่ได้หรือ”
กงปั๋วเฉิงยิ้นเย็น “ตราประทับของเจ้ายังไม่เคยใช้ที่ร้านรับฝากเงินของสมาคมเลยสักครั้ง ข้าเอามีดจ่อคอเจ้าไม่ให้เจ้าไปเบิกหรือ”
ฉินหลิวซีหัวเราะ “ไม่สามารถรับเงินได้หากไม่มีผลงาน”
นางเอ่ยพร้อมยกมือของเขาขึ้นมา ตรวจชีพจรโดยละเอียด เนิ่นนานจึงเอ่ย “ไฟในหัวใจค่อนข้างรุนแรง หยางในตับมีมากเกินไป ใต้ตาคล้ำ ม้ามและกระเพาะเย็นพร่อง ช่วงนี้ท่านนอนไม่หลับหรือ”
กงปั๋วเฉิงพยักหน้า
ฉินหลิวซีหยิบห่อเข็มในถุงผ้าออกมา เปิดออก เอ่ย “นอนลง ข้าจะฝังเข็มให้ท่านสักเข็มสองเข็ม”
กงปั๋วเฉิงนอนลงในรถม้ากว้างตามคำสั่งนาง ปล่อยให้นางฝังเข็มให้ ยังได้ยินบทสวดพระสูตรที่ไม่ได้ยินมานานนั่น มุมปากยกยิ้ม ดวงตาค่อยๆ ปิดลง
กระทั่งเขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็ไม่เห็นเงาฉินหลิวซีแล้ว มีเพียงพ่อบ้านอยู่ข้างๆ ถอนหายใจออกมาอย่างอดไม่ได้ เจ้าเด็กผู้นั้นรั้งเอาไว้ไม่ได้จริงๆ
“นายท่าน คุณหนูใหญ่ทิ้งใบสั่งยาและยาเม็ดบำรุงร่างกายเอาไว้ให้ขอรับ” พ่อบ้านเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
กงปั๋วเฉิงพยักหน้า เอ่ย “ใกล้เข้าฤดูร้อนแล้ว ให้โรงตัดเย็บทำชุดเพิ่มอีกสองสามชุดส่งไปให้ ข้าดูแล้วนางสูงกว่าเดิมเล็กน้อย”
“ท่านวางใจ บ่าวจดเอาไว้แล้วขอรับ”
กงปั๋วเฉิงเอ่ยขึ้นอีก “คนตระกูลฉินเหล่านั้นไม่ต้องดูแลอย่างละเอียดแล้ว ฝั่งเมืองหลวงคล้ายกับมีความเคลื่อนไหวตรวจสอบคดีอย่างเงียบๆ อีกครั้ง ดูแล้วพวกเขาคงอยู่ที่นี่อีกไม่นาน”
พ่อบ้านถอนหายใจ “พวกเขาโชคดีจริงๆ ขอรับ”
กงปั๋วเฉิงหลุบตาลง ส่งเสียงหยันในลำคอ “สิ่งที่พวกเขาโชคดีที่สุดคือให้กำเนิดเสี่ยวซี”
พ่อบ้านไม่กล้ารับคำ เพราะกลัวนายท่านผู้นี้จะอิจฉาจนจิ๊กโฉ่ว[1]ที่เก็บไว้นานยังสู้ไม่ได้
ส่วนฉินหมิงเยี่ยน จู่ๆ ก็มีใบสั่งยาสำหรับรักษาอาการไอและโรคหอบหืดปรากฏที่ข้างหมอนเขาท่ามกลางความว่างเปล่าในรุ่งเช้าวันต่อมา เขากรีดร้องเสียงดัง นี่มัน บ้านมีผีหรือ
[1] จิ๊กโฉ่วยิ่งเก็บไว้นานจะยิ่งเปรี้ยว คำว่าเปรี้ยวในภาษาจีนมีความหมายแฝงแปลว่าอิจฉา ประโยคนี้จึงมีความหมายว่า กลัวเขาจะเปรี้ยว (อิจฉา) แม้แต่จิ๊กโฉ่วเก่าที่เปรี้ยวมากๆ ยังสู้ไม่ได้