คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 640 ทำงานได้แล้ว
ตอนที่ 640 ทำงานได้แล้ว
เรื่องราวของตระกูลเถิงโด่งดังไปทั่วเมืองหลวง ได้ยินว่าทำชั่วอะไรเข้าจนเห็นผีได้ ฝั่งจวนจวิ้นจู่ยิ่งหนักขึ้นไปอีก ทั้งบุตรชายกลายเป็นบ้า ทั้งโบยภรรยานอกสมรสจนตาย ทะเลาะกันเรื่องหย่าร้างมากมาย กลายเป็นหัวข้อสนทนาในวงน้ำชาและมื้ออาหารของผู้คนในเมืองหลวง
ส่วนบ้านใหญ่ตระกูลเถิง ได้ยินว่าป่วยเป็นโรคหลอดเลือดสมองเป็นอัมพาต พูดไม่ได้
แม้ว่าฉินหลิวซีจะเดินทางออกจากเมืองหลวงไปหลายวันแล้ว นางยังคงได้รับข่าวสารในเมืองหลวงที่เกี่ยวข้องกับพวกเขา อยากขอการรักษานางไม่อ่าน เรื่องที่เกี่ยวข้องกับตระกูลเถิง นางก็ไม่ให้เถิงเจาอ่าน โดยเฉพาะเบื้องหลังการคลอดยากของมารดาเขา
รู้ว่าหญิงชราผู้นั้นมีเวรกรรมติดตัวมากมาย แต่ไม่คิดว่าจะมีเรื่องเช่นนี้ วิญญาณมารดาของเถิงเจาไม่มีความโกรธแค้นและไปเกิดใหม่ในทันที คิดแล้วคงเป็นคนจิตใจดีงามอย่างยิ่ง
นางเผากระดาษเข้ากับเปลวไฟ คนใกล้ตาย ไม่มีสิ่งใดน่าสงสาร ล้วนเป็นเวรกรรมตามสนองทั้งสิ้น
ฉินหลิวซีพาเถิงเจาเดินทางมุ่งหน้าไปเมืองหลี สั่งสอนเขาด้านการแพทย์และวิชาแห่งเต๋าไปพร้อมๆ กัน การสอนพร้อมปฏิบัติจริงทำให้เขามีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว อาการป่วยไข้เล็กๆ น้อยๆ นั้นสามารถวินิจฉัยและเขียนใบสั่งยาเองได้แล้ว
นอกจากนี้ฉินหลิวซียังหากระต่ายมาสอนเขาฝังเข็ม ส่วนตำแหน่งฝังเข็มของคน กลับใช้ร่างกายตนเองมาเป็นตัวฝึกฝน
แรกเริ่มเถิงเจายังไม่กล้า แต่ภายใต้อำนาจของอาจารย์ผู้ไร้ความเมตตา เขาไม่กล้าไม่ได้ หลังจากที่เขาฝังเข็มผิดจุดทำให้ฉินหลิวซีเป็นลมไปแล้วหนึ่งครั้ง เขาก็ยิ่งระมัดระวังในการแยกแยะจุดฝังเข็มมากขึ้น
เพราะเขาเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่า เพียงเขาวินิจฉัยแยกแยะจุดฝังเข็มพลาด เขาก็อาจทำให้คนคนหนึ่งตายได้
การสั่งสอนแบบอัดแน่นราวกับฟองน้ำที่ดูดซึมอย่างบ้าคลั่ง เมื่อยามใกล้ถึงเดือนห้า ในที่สุดพวกเขาก็เดินทางกลับมาถึงเมืองฝู่ หนิงโจว
ฉินหลิวซีพาเถิงเจาเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ทว่ากลับถูกคนเรียกนางเอาไว้
“ท่านเจ้าอาวาสน้อย ใช่ท่านเจ้าอาวาสน้อยหรือไม่” น้ำเสียงมีความยินดีและประหลาดใจ จากนั้นก็มีคนพุ่งตัวเข้ามาอยู่ตรงหน้านางอย่างรวดเร็ว “เป็นท่านจริงด้วย ท่านเจ้าอาวาสน้อย ท่านยังจำข้าได้หรือไม่ ข้าคือเหนียนโหย่วเหวยอย่างไรเล่า”
เหนียนโหย่วเหวยอะไรกัน ไยจึงไม่บอกว่าผู้ประสบความสำเร็จเมื่ออายุยังน้อย[1]เล่า
ฉินหลิวซีเกือบโดนอีกฝ่ายชนเข้าให้ เถิงเจาดึงให้นางถอยหลังมาก่อนหนึ่งก้าว จากนั้นจึงค่อยเงยหน้ามองไปยังคนที่พุ่งเข้ามา
นางไม่รู้จักเหนียนโหย่วเหวย แต่นางกลับรู้จักเหนียนซิ่วไฉที่สอบได้ขุนนางผู้นั้น ทว่าไยร่างกายของคนผู้นี้จึงพัวพันไปด้วยพลังหยินมากมายเช่นนี้อีกแล้วเล่า มีมากกว่าครั้งที่แล้วที่เจอแล้วช่วยกำจัดออกให้เขาด้วยซ้ำ
มองดูโหงวเฮ้งของเขา ไม่รู้เพราะพลังหยินล้อมรอบตัวเขาหรือไม่ เมฆดำจึงลอยล่องอยู่บนหัวของเขา โชคลาภลดลง มีหายนะแทรกตัวอยู่ค่อนข้างชัดเจน หนักยิ่งนัก
โชคร้ายเพิ่มขึ้นทำให้โชคลาภลดลง
คนผู้นี้ทำอะไรกัน เพิ่งสอบได้ขุนนางมิใช่หรือ จะโชคร้ายแล้วหรือ
ฉินหลิวซีขมวดคิ้ว เอ่ย “เจ้าเองหรือ เจ้าเป็นจิ้นซื่อแล้วมิใช่หรือ ไยจึงกลับมาที่นี่เร็วเพียงนี้เล่า”
เหนียนโหย่วเหวยยกมือประสานหันมาหานางด้วยความตื่นเต้นยินดี เอ่ย “ท่านเจ้าอาวาสน้อยช่างเอ่ยได้แม่นยำนัก ท่านบอกว่าข้าจะมีชื่อในการประกาศรายชื่อ ข้าก็สอบได้แล้วจริงๆ”
ผู้คนรอบๆ ได้ยินคำนี้ อดไม่ได้ที่จะมองมา
ผู้นี้คือท่านจิ้นซื่อในการสอบขุนนางปีนี้ และเอ่ยได้แม่นยำที่เขาบอกหมายความว่าอย่างไร
มีคนศรัทธา ยิ่งมีคนสนใจ แน่นอนจึงเอ่ยถามออกมา
เหนียนโหย่วเหวยช่วยกระจายชื่อเสียงอารามชิงผิงด้วยความเต็มใจ แนะนำที่มาที่ไปของฉินหลิวซีในทันที รวมไปถึงเรื่องที่นางเคยทำนายดวงชะตาให้ตนและสหาย ไม่มีใครแม่นยำไปกว่านี้อีกแล้ว
เมืองฝู่ห่างจากเมืองหลีไม่ไกลนัก บังเอิญมีคนมาจากที่นั่น ได้ยินข่าวว่าตอนนี้ตะเกียงของอารามชิงผิงกำลังสว่างไสว ลัทธิเต๋ามีสง่าราศี นักพรตบางคนยังมีชื่อเสียงมากอีกด้วย
ไม่คิดว่าท่านเจ้าอาวาสน้อยผู้นั้นจะมาอยู่ที่นี่
เมื่อมีคนได้ยิน คนที่เชื่อก็อยากให้ฉินหลิวซีช่วยทำนายดวงชะตาให้ในตอนนั้น ส่วนคนที่ไม่เชื่อก็เอ่ยประโยคท้าทาย จะทำนายชีวิตพวกเขาได้อย่างไรบ้าง
ฉินหลิวซีทำนายดวงชะตาไปสองคน แล้วจึงส่งสัญญาณให้เหนียนโหย่วเหวยไปคุยกัน
เหนียนโหย่วเหวยรีบพานางและเถิงเจาไปยังห้องส่วนตัวของตน
รอพวกเขาไปแล้ว สองคนที่ถูกเปิดดวงชะตาชีวิตส่งเสียงโอ้ขึ้นมา “สวรรค์ สุดยอดจริงๆ”
“ทำไมหรือ เอ่ยถูกแล้วหรือ”
“ก็ใช่น่ะสิ” หนึ่งคนเอ่ย “ท่านพ่อข้าตายตอนข้าอายุได้สามขวบ ท่านแม่ข้าตายตอนข้าอายุสิบขวบ นางเอ่ยถูกทุกอย่างแล้ว”
ทุกคน “!”
บิดามารตายจากไป นี่ดูเหมือนไม่ใช่เรื่องน่ายินดีกระมัง เจ้าดีใจอะไรกัน
ห้องส่วนตัวชั้นบน
เหนียนโหย่วเหวยยกน้ำชาให้ฉินหลิวซีหนึ่งถ้วย น้ำเสียงตื่นเต้นโดยไม่อาจปิดบัง เอ่ยว่า “ท่านเจ้าอาวาสน้อย ได้เจอท่านที่นี่นับเป็นวาสนาแล้ว”
“ไยเจ้าจึงกลับมาเร็วเพียงนี้ ได้ยินว่าผ่านการสอบคัดเลือกขุนนางแล้ว ไม่รอนัดเข้ารับตำแหน่งอยู่ที่เมืองหลวงหรือ” ฉินหลิวซีแปลกใจที่เขารีบกลับมาเมืองหลีเร็วเพียงนี้
เหนียนโหย่วเหวยตอบกลับ “เพราะมีงานพระราชสมภพของฝ่าบาทในเดือนห้า หลังจากสอบจิ้นซื่อแล้วจึงมีวันหยุดสามเดือน หนึ่งได้เฉลิมฉลองวันพระราชสมภพร่วมกันกับเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ สองได้กลับบ้านมาแจ้งข่าวน่ายินดีกราบไหว้ขอบคุณอาจารย์รอเข้ารับตำแหน่ง และที่ข้ากลับมาเร็วเช่นนี้ เพราะสหายร่วมชั้นของข้ามีอาการป่วยแปลกประหลาด ข้าคิดว่าในเมื่อต้องกลับบ้าน และชื่อเสียงของท่านเจ้าอาวาสน้อยยังโด่งดังไปไกล จึงอยากกลับมาโดยเร็วเพื่อให้ท่านดูว่าพอจะรู้สาเหตุหรือไม่”
“อ้อ มีอาการแปลกอย่างไรหรือ” ฉินหลิวซีมองพิจารณาเขา คนผู้นี้ไม่ได้มีความชั่วร้ายใดๆ ดังนั้นแม้จะมีพลังหยินล้อมรอบตัว แต่กลับไม่มีวิญญาณหรือเวรกรรมใดๆ คอยติดตาม ดังนั้นพลังหยินที่ว่านี้มาจากสหายร่วมชั้นที่ว่านั่นหรอกหรือ
เหนียนโหย่วเหวยขมวดคิ้ว ท่าทางราวกับเขินอายเล็กน้อย ลดเสียงเบาลง เอ่ย “ความจริงจะบอกว่าเป็นโรคแปลกประหลาด มิสู้บอกว่าถูกวิญญาณร้ายเข้าสิงจะดีกว่า”
เขามองฉินหลิวซีพลางขมวดคิ้ว กัดฟันเอ่ย “ข้ารู้สึกว่าหลังจากการสอบหน้าพระที่นั่ง ท่าทางของเขาก็แปลกไป แรกเริ่มมีความแปลกประหลาดเพียงเล็กน้อย เพียงเปลี่ยนนิสัยเล็กๆ น้อยๆ เป็นครั้งคราวเท่านั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไป เขาก็ยิ่งแตกต่างจากเดิมไปอย่างสิ้นเชิง ราวกับ ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคนอย่างไรอย่างนั้น”
ยึดครองรางกาย สิงร่างหรือ
ฉินหลิวซีเอ่ยถาม “ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนไปมีสิ่งใดแปลกๆ หรือไม่”
เหนียนโหย่วเหวยถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ท่านอาจไม่รู้ พี่เหลยของข้าผู้นี้ ปีนี้อายุสามสิบห้าแล้ว เข้าสอบเป็นครั้งที่สี่แล้ว สามครั้งก่อนหน้าล้วนล้มเหลว ก่อนหน้านี้ช่างน่าเสียดายเพราะเขาพลาดไปเพียงอันดับเดียวเท่านั้น”
“โชคร้ายเพียงนี้ ไม่ตีอกชกหัวกลัดกลุ้มอัดแน่นอยู่ในใจหรือ” โชคชะตาที่พลาดหนึ่งอันดับนั่น เห็นได้ชัดว่าเทพเจ้าแห่งความซวยเข้าสิงร่างแล้ว
เหนียนโหย่วเหวย “…”
น่าหดหู่มากจริงๆ แต่ฟังน้ำเสียงของท่าน ให้ความรู้สึกอยู่ต่อไปอีกไม่ได้แล้ว
“มีความกลัดกลุ้มอยู่ในใจจริงๆ แต่เส้นทางของการสอบขุนนางเดิมก็เปรียบเหมือนผู้คนนับร้อยนับพันก้าวข้ามสะพานไม้กระดานแผ่นเดียว มีคนสอบจนแก่เฒ่าก็ยังเป็นได้เพียงถงเซิงทว่ายังตั้งหน้าตั้งตาเข้าร่วมการสอบอยู่อย่างนั้น” เหนียนโหย่วเหวยถอนหายใจ “พี่เหลยเองก็เป็นเช่นนั้น สอบสามครั้งล้วนตกอันดับ ดังนั้นก่อนการสอบครั้งนี้จึงไม่สงบนัก ยากที่จะนอนหลับ ข้ามักเห็นเขาพูดคุยอยู่คนเดียว คล้ายกับกำลังพูดคุยอยู่กับใคร แต่เมื่อมองให้ดี ในห้องกลับมีเขาเพียงคนเดียว พอข้าถามเขา เขาบอกเพียงว่าเขากำลังท่องหนังสือเพื่อการกล่าวบังคมทูล”
ฉินหลิวซีฟังเข้าใจแล้ว นี่คือความวิตกกังวลจากความเครียด สภาพจิตใจพังทลายแล้ว
“บางทีเขาอาจจะคุยกับใครอยู่จริงๆ เพียงแต่เจ้ามองไม่เห็นก็เท่านั้น”
สีหน้าของเหนียนโหย่วเหวยพลันเปลี่ยน เอ่อ นี่หมายความว่าพี่เหลยโดนผีเข้าจริงๆ หรือ
[1]ผู้ประสบความสำเร็จเมื่ออายุยังน้อย ภาษาจีนคือ เหนียนเส่าโหย่วเหวย (年少有为) ซึ่งพ้องกับชื่อของเขาที่ชื่อเหนียนโหย่วเหวย (年有为)