คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 646 พวกเจ้าวินิจฉัยว่าเป็นโรคอะไร
ตอนที่ 646 พวกเจ้าวินิจฉัยว่าเป็นโรคอะไร
โรงหมอในเมืองฝู่มีไม่น้อย และโรงหมอตระกูลหลินเรียกได้ว่าจัดอยู่อันดับหนึ่งในสาม ตระกูลหลินสืบทอดวิชาการแพทย์มาหลายชั่วอายุคน และคนที่ก่อตั้งโรงหมอแห่งนี้คือหมอหลวงของอดีตฮ่องเต้ผู้ล่วงลับ มีนามว่าหลินหยวน เขาได้รับการขนานนามว่าเป็นหมอผู้ให้ชีวิตผู้คนกลับมาอีกครั้ง และนับตั้งแต่หลินหยวนถอนตัวออกมาจากสำนักหมอหลวงในปีนั้น ตระกูลหลินก็ไม่มีลูกหลานเข้าไปอยู่ในสำนักหมอหลวงอีกเลย เพียงตั้งใจมุ่งมั่นทำกิจการโรงหมอตระกูลหลิน ปัจจุบันผู้ดูแลเป็นเจ้าของโรงหมอตระกูลหลินในยามนี้คือหลินจื่อถง บุตรชายของหลินหยวน
เพราะขึ้นชื่อว่าเป็นหมอหลวงในราชสำนัก สกุลหลินยังมีวิชาฝังเข็มที่เป็นแบบฉบับดั้งเดิมของตระกูล รักษาโรคแปลกประหลาดหายากมาไม่น้อย ทำให้ชื่อเสียงของโรงหมอรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ แน่นอนว่าโรงหมอตระกูลหลินเก็บค่ารักษาแพงกว่าโรงหมอทั่วไป ประชาชนคนธรรมดาทั่วไปต่อให้มีอาการเจ็บไข้ได้ป่วยมากเพียงใดก็ไม่กล้ามาขอรับการรักษาที่นี่ เพราะจ่ายค่ารักษาไม่ไหว นอกเสียจากป่วยจนไร้หนทางแล้ว ที่อื่นๆ รักษาไม่ได้แล้ว จึงมาที่นี่โดยไม่มีเงิน
ดังนั้นเส้นทางที่โรงหมอตระกูลหลินเดินส่วนใหญ่เน้นไปที่ชนชั้นสูงมีเงิน โดยทั่วไปคือคนฐานะร่ำรวยมีเงิน จึงไม่เป็นปัญหากับโรงหมอธรรมดาทั่วไป เพราะกลุ่มเป้าหมายไม่เหมือนกัน
ตอนนี้มีคนไข้ถูกโรงหมอตระกูลหลินโยนออกมากำลังโวยวายเรื่องการรักษา
ฉินหลิวซีกอดอก ฟังสตรีผู้นั้นกรีดร้องโวยวาย สายตากลับหยุดอยู่ที่ชายข้างกายของนาง
ใบหน้าของชายผู้นั้นเปลี่ยนจากขาวเป็นเทา ขมับเต็มไปด้วยเหงื่อ มือข้างหนึ่งกุมท้องบริเวณล่างขวา ใบหน้าแสดงออกถึงความเจ็บปวด มีเสียงร้องครวญครางจากริมฝีปากเบาๆ
และสตรีผู้นั้นกลับบอกว่าโรงหมอตระกูลหลินจ่ายยาไม่ตรงกับอาการ กินยาแล้วไม่เป็นผล กลับทำให้อาการหนักขึ้น นี่ไม่ใช่การรักษาคนแต่เป็นการสังหารคน
ผู้คนที่มารุมล้อมมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ต่างชี้ไม้ชี้มือพูดคุยกัน
ชื่อเสียงสกุลหลินกว้างขวางเพียงนี้ รักษาไม่หายกลับยิ่งเป็นหนักขึ้น นี่เป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว
อาจเพราะสตรีผู้นั้นเสียงดังโวยวายจึงดึงดูดความสนใจผู้คนมากมาย ด้านในโรงหมอมีชายอายุราวๆ สามสิบคนหนึ่งเดินออกมาด้วยสีหน้าตำหนิ เอ่ยว่า “โรงหมอตระกูลหลินเรามีมานานหลายปี ท่านปู่ของข้ายิ่งเป็นหมอหลวงประจำพระองค์ของอดีตฮ่องเต้ ไม่เคยจ่ายยาไม่ตรงอาการมาก่อน เช่นเดียวกัน การใช้ยาโดยทั่วไปไม่มียาที่กินแล้วหายในทันที หากมีก็คงไม่ใช่ยาธรรมดาทั่วไป นั่นคือยาวิเศษแล้ว บนโลกใบนี้ไหนเลยจะมียาวิเศษเล่า การใช้ยาจำเป็นต้องมีระยะเวลาและขั้นตอน แต่ต้องกินอย่างระมัดระวัง ผู้ใดจะรู้ได้ว่าเขาไม่ปฏิบัติตามหรือไม่ กินไปเสียทุกอย่างทำให้อาการไม่ดีขึ้น”
ผู้คนที่มาชมความครึกครื้นพยักหน้า
“เอ่ยไม่ผิดเลย ต้องดื่มยา ใช่ว่าจะกินได้ทุกอย่าง”
“เกรงว่าคงไม่มีเงินจ่ายค่ารักษา คิดร้ายต่อโรงหมอกระมัง”
“ข้าว่าแปดเก้าส่วน คนเช่นนี้สกุลหลินไม่แม้แต่จะชายตาแล”
หลินซื่อเฉวียนย่อมได้ยินวาจาเหล่านี้ ความโกรธยังปรากฏขึ้นบนใบหน้า
ความยุติธรรมมีอยู่ในใจคน คิดให้ร้ายสกุลหลิน ต้องคำนึงถึงชื่อเสียงของสกุลหลินพวกเขาด้วย
สตรีผู้นั้นท่าทางร้อนใจขึ้นมา เอ่ยเสียงดัง “ห้าวันก่อน พวกเรามาด้วยอาการปวดท้อง เจ้าบอกว่าท่านพี่ข้าโดนพิษเพราะกินเห็ดพิษ จึงเขียนใบสั่งยาน้ำแกงถั่วเขียวเพื่อล้างพิษ แต่ไม่ถึงสองวัน เขาไม่ดีขึ้นท้องยังเจ็บมากขึ้นเรื่อยๆ เจ้ายังบอกว่าพิษกำจัดไม่หมดทำให้กระเพาะไม่สบาย จ่ายใบสั่งยาต้มรักษากระเพาะอาหาร นึกว่าเขาดื่มแล้วจะดีขึ้น เพียงเจ็บปวดเล็กๆ น้อยๆ แต่วันนี้เขาปวดจนไม่อาจยืดตัวให้ตรงได้ เจ้ายังมาบอกว่ายาไม่ใช่ยาวิเศษ ไม่สามารถรักษาให้หายได้ในระยะเวลาสั้นๆ ยาพวกเจ้าไม่ถูกอาการยังมาบอกว่าไม่ใช่ยาวิเศษ ไหนเลยจะมีหลักการเช่นนี้ พวกเรามาด้วยอาการปวดท้อง เอาเงินทั้งหมดในบ้านมารักษา อาการกลับไม่ดีขึ้น เจ้ากลับบอกว่าไม่ใช่ยาวิเศษเพียงประโยคเดียวก็พอแล้วอย่างนั้นหรือ”
“พี่สาว หมอก็ไม่ใช่เทพเซียน ไม่ใช่รักษาแล้วจะหายทันที ต้องมีขั้นตอน”
“เจ้าหุบปากไปเสีย ยืนพูดอยู่นั่นไม่ได้มาปวดเอวด้วย” สตรีผู้นั้นเถียงกลับไป เอ่ย “มารักษาอาการปวดท้อง ยาต้มไม่กี่อย่างใช้เงินไปกว่าสิบตำลึงเงิน รักษาไม่หายกลับเป็นหนักยิ่งกว่าเดิม สกุลหลินของพวกเขาเป็นหมอต้มตุ๋น รังแกพวกเราคนจนเท่านั้น”
“เอาแล้วๆ ให้ร้ายไม่ผิด เพราะเงินสิบตำลึงนั่นแน่ๆ”
สตรีผู้นั้นถุยน้ำลาย “หากรักษาหาย อย่าว่าแต่สิบตำลึง หนึ่งร้อยตำลึงเราขายนาขายที่ดินขายบุตรชายบุตรสาวก็ยังรักษา แต่พวกเขารักษาไม่หายยังทำให้อาการหนักขึ้นไปอีก”
เว่ยเสียส่ายศีรษะ “สตรีผู้นี้คงอยากให้ชายผู้นั้นตายกระมัง บุรุษของนางปวดจนแทบเป็นลมอยู่แล้ว นางยังโต้เถียงอยู่ได้ โง่หรือไม่ ไม่แยกแยะหนักเบา”
ฉินหลิวซีกลับไม่เห็นด้วย “หากไม่โต้เถียง ผู้ใดจะรักษาให้นางเล่า แม้แต่ตระกูลหลินยังรักษาไม่ได้ โรงหมอเล็กๆ สักกี่ที่จะกล้ารับต่อ ไม่กลัวเสียชื่อเสียงของตน หรืออาจล่วงเกินสกุลหลินหรือ”
เว่ยเสียเหลือบมองนาง “เจ้าถูกขนานนามว่าเหลือเพียงเฮือกสุดท้ายก็ช่วยกลับมาได้มิใช่หรือ เจ้ามองว่าอย่างไร”
“นั่นสำหรับเจ้า เฉือนเนื้อของเจ้าเป็นแผ่นๆ เหลือหนึ่งเฮือกลมหายใจ ข้ายังช่วยกลับมาแล้วหั่นกระดูกต่อได้”
เว่ยเสีย เนื้อกับกระดูกไม่อาจเฉือนได้แล้ว เฉือนวิญญาณเถิด
หลินซื่อเฉวียนให้ผู้ช่วยไปหยิบเงินสิบตำลึงมา เอ่ย “นี่คือเงินสิบตำลึง ในเมื่อพวกเรารักษาไม่หาย คืนให้เจ้า ค่ายาก่อนหน้านี้สกุลหลินของเราไม่รับแม้เพียงอีแปะเดียว”
สตรีผู้นั้นหน้าแดงขึ้นมา เอ่ย “ตอนนี้เป็นเวลาคืนเงินหรือ เป็นพวกเจ้าที่รักษาท่านพี่ข้าไม่หาย สวรรค์ นี่คือกระดูกสันหลังของครอบครัวของเรา โปรดเมตตาด้วยเถิด”
หลินซื่อเฉวียนมีความไม่พอใจบนใบหน้า เอ่ย “สตรีท่านนี้ การรักษามีขั้นตอน หากเจ้ายินยอม พวกเรารักษาพี่ชายท่านนี้ต่อได้ แต่หากเจ้าเอาแต่โวยวายไม่หยุด คิดทำลายชื่อเสียงสกุลหลินของเรา เช่นนั้นพวกเราสกุลหลินก็คงไม่ทำตามเพียงเพราะคำพูดของเจ้าหรอก”
สตรีผู้นั้นฟังคำนี้แล้วตื่นตระหนกขึ้นมา เอ่ย “พวกเจ้า พวกเจ้าอาศัยชื่อเสียงรังแกคนอย่างนั้นหรือ”
ฉินหลิวซีก้าวเข้าไป เอ่ย “ท่านน้าท่านนี้ หากท่านยังเอ่ยต่อไป สามีของท่านคงต้องปวดจนตายแล้ว”
สตรีผู้นั้นตกใจก่อนจะก้มลงไปมอง เห็นว่าใบหน้าของสามีตนเองขาวราวกับกระดาษจริงๆ หัวใจกระตุกวูบขึ้นมา เอ่ย “ท่านพี่ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง อย่าทำให้ข้าตกใจสิ ฮือๆ”
ฉินหลิวซีมองหลินซื่อเฉวียนเล็กน้อย เอ่ย “ไม่ว่าอย่างไร คนป่วยอยู่ตรงหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนไข้เคยมารักษาที่นี่กับพวกท่าน ปวดขนาดนี้แล้ว พวกท่านไม่พาคนเข้าไปตรวจให้แน่ชัด กลับมาโต้เถียงเรื่องชื่อเสียงอยู่ที่นี่ หมอหลวงหลินผู้เก่งกาจและมีจิตใจเมตตาสั่งสอนพวกท่านมาเช่นนี้หรือ คนมาขอการรักษา กินยาแล้วอาการกลับไม่ดีขึ้น ยังเป็นหนักขึ้นเรื่อยๆ ต้องมีสิ่งใดผิดพลาดอย่างแน่นอน ไม่ไตร่ตรอง ไม่ตรวจซ้ำ รอให้คนตายหน้าโรงหมอของพวกท่าน ไม่ใช่ความผิดของพวกท่านก็เป็นความผิดของพวกท่านแล้ว”
หลินซื่อเฉวียนสีหน้าพลันเปลี่ยน
ฉินหลิวซีเอ่ยจบ ย่อตัวลงด้านข้างชายผู้นั้น ยกมือเขาขึ้นมาตรวจชีพจร
สตรีผู้นั้นชะงัก “เจ้า เจ้าเป็นหมอหรือ”
“อืม” ฉินหลิวซีตรวจชีพจร คิ้วขมวด วางมือของอีกฝ่ายลง กดลงไปยังท้องส่วนล่างขวาของเขา ชายผู้นั้นตัวแข็งเล็กน้อย เจ็บจนส่งเสียงออกมา เหงื่อเม็ดใหญ่ซึมไหลลงมา
“พวกท่านวินิจฉัยว่าเป็นอะไรหรือ ไยข้าจึงได้ยินท่านน้าท่านนี้บอกว่าพวกท่านคิดว่าเป็นเพราะเขากินเห็ดพิษทำให้ปวดท้องงั้นหรือ” ฉินหลิวซีมองไปยังหลินซื่อเฉวียน เอ่ยถามคล้ายจะยิ้มทว่าไม่ยิ้ม