คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 655 ไม่ถกเรื่องถูกผิดกับคนโง่
ตอนที่ 655 ไม่ถกเรื่องถูกผิดกับคนโง่
ฉินหลิวซีกลับจวนมา นางเดินเข้าประตูเล็กทางด้านข้าง ไม่ได้รบกวนคนในจวน และไม่ได้ประกาศเสียงดัง แต่แขกที่มาบ้านฉินก็ตามติดฉินหลิวซีเข้ามาอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าต้องมีคนคอยจับตามองการเคลื่อนไหวภายในเรือนหลังเล็ก ไม่อย่างนั้นทันทีที่นางเข้าจวนมาได้ไม่ถึงครึ่งยามจะมีคนตามมาถึงได้อย่างไร
คนที่มาคือฉินหมิงเย่ว์ลูกพี่ลูกน้อง และหวังอวี้เชียน หลานชายฝ่ายบิดาของสะใภ้หวังแม่ใหญ่ของฉินหลิวซี เขาเป็นชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบ
หวังอวี้เชียนรู้จักนิสัยใจคอ รวมทั้งวิถีของฉินหลิวซีจากปากของป้าจังบ่าวรับใช้ และถูกท่านย่าคอยกระซิบข้างหูสั่งสอน ดังนั้นในใจจึงคิดภาพลูกพี่ลูกน้องหญิงที่เข้าลัทธิเต๋าไปก่อนหน้านี้ว่าเป็นคนเย่อหยิ่งและเย็นชา เข้ากับคนอื่นไม่ได้ ยึดถือความคิดเห็นของตัวเองเป็นใหญ่
สำหรับความสามารถทางด้านการแพทย์ของนาง เขายังคงเก็บความสงสัยเอาไว้ก่อน ถึงอย่างไรฉินหลิวซีก็อายุยังน้อย เพิ่งจะสิบหกปี เกรงว่าการแพทย์ที่ว่าล้ำเลิศ ก็เรียนมาอย่างจำกัดเท่านั้น?
แต่เมื่อคนในบ้านได้ยินข่าวว่าพวกเขากลับมาแล้ว ต่างก็รีบเก็บข้าวของออกเดินทาง เขาได้แต่ตามน้ำ ร่วมเดินทางไกลพันลี้มาที่บ้านของท่านอาหญิงที่เมืองหลี และไม่เข้าใจว่าทำไมคนทั้งบ้านถึงดูกระตือรือร้นอย่างนี้
เมื่อหวังอวี้เชียนได้พบกับฉินหลิวซี เขาตกตะลึงไปครู่หนึ่ง
ลูกพี่ลูกน้องสาวคนนี้เทียบกับหญิงสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกันแล้ว นับว่าตัวสูงกว่ามากจริงๆ ใบหน้าที่แม้จะดูไม่นุ่มนวลน่ารัก แต่กลับดูเป็นผู้มากความรู้และประสบการณ์ยิ่งนัก ยิ่งใหญ่เหนือใคร
เมื่อเทียบกับหญิงสาวทั่วๆ ไปยังรูปร่างสูงโปร่ง บวกกับเสื้อผ้าที่สวมใส่แล้ว หากเดินเจอข้างนอก อาจนึกว่านางเป็นบุรุษ
สายตาหวังอวี้เชียนตกอยู่ที่เสื้อผ้าที่นางสวมใส่ ตัวเสื้อสีเขียว หากมองไม่ผิดนั่นน่าจะเป็นผ้าไหมเทียนรุ่ยที่ปักดิ้นทองเป็นรูปอักขระโบราณ เมื่อเสื้อผ้าขยับเล็กน้อยก็ราวกับมีลำแสงสีทองพาดผ่าน
เส้นผมอ่อนนุ่มดำขลับบนศีรษะเพียงใช้ปิ่นหยกสีเขียวปักมวยผมไว้เท่านั้น เผยให้เห็นหน้าผากกลมมน และใบหน้ากระจ่างใส ใต้คิ้วดกหนาอย่างวีรบุรุษ ดวงตาสีดำเป็นประกาย
เมื่อเห็นว่าฉินหลิวซีมองมา หวังอวี้เชียนยืนตัวตรงโดยไม่รู้ตัว ใบหน้าเขาไม่ได้ปรากฏความอ่อนโยนและรอยยิ้มให้อย่างตอนที่พบลูกพี่ลูกน้องหญิงคนอื่นๆ ในบ้านฉิน เขาเต็มไปด้วยความระมัดระวังตัว และไม่เป็นธรรมชาติ
ราวกับพบผีเข้าแล้ว
เขาเผชิญหน้ากับฉินหลิวซี ทั้งยังเกิดความรู้สึกไปเองว่าถูกจับปอกเปลือกนอกออกจนมองทะลุเข้าไปถึงภูมิหลัง ทำให้เขาไม่กล้าแสดงท่าทางไม่สุภาพต่อหน้านาง
“พี่ใหญ่ท่านกลับมาแล้ว ท่านนี้คือลูกพี่ลูกน้องบ้านหวังที่มาจากซานตง หลานชายของบ้านแม่ใหญ่ เขามาเป็นแขกพิเศษของบ้านเราได้หลายวันแล้วเจ้าค่ะ” ฉินหมิงเย่ว์ก้าวมาข้างหน้า แกล้งแนะนำอย่างใจกว้าง และเอ่ยกับหวังอวี้เชียนว่า “พี่ชาย นี่คือพี่สาวคนโตของบ้านเรา เข้าลัทธิเต๋าตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เป็นนักพรตเต๋า”
หวังอวี้เชียนก้าวไปข้างหน้า สองมือประสานแสดงมารยาททักทาย “ได้พบกันแล้วน้องสาว”
ฉินหมิงเย่ว์ได้ยินเสียงเรียก ‘น้องสาว’ ก็กำผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในมือจนแน่น แม้นางเรียกหวังอวี้เชียนเป็นพี่ชาย ก็เพียงแต่เรียกอย่างให้ความเคารพตามฉินหลิวซี หากดูความใกล้ชิด นางย่อมสู้ฉินหลิวซีคนที่เป็นลูกพี่ลูกน้องฝ่ายแม่ตัวจริงไม่ได้ ดังนั้นหวังอวี้เชียนจึงทำได้เพียงเรียก ‘น้องสาว’ แล้วตามด้วยชื่อ ไม่เหมือนอย่างฉินหลิวซีนี้ที่เพียงแค่เรียก ‘น้องสาว’ สองคำ
ฉินหลิวซีส่งเสียงรับคำหนึ่ง นางมองไปยังฉินหมิงเย่ว์ “ในเมื่อแขกเดินทางมาไกล ไยพาเขาเดินไปทั่ว เมื่อพวกผู้ใหญ่ในบ้านไม่อยู่ ควรให้แขกรอในโถงบุปผา”
นำบุรุษจากภายนอกเดินมาถึงห้องนอนของตัวเอง คัมภีร์สอนหญิงที่ร่ำเรียนมาสมัยก่อน ลงท้องสุนัขไปแล้วหรืออย่างไรกัน
แม้จะต้องการแนะนำทั้งสองฝ่ายให้รู้จัก ต้องให้นางผู้เป็นสตรีคนหนึ่งเป็นคนทำงั้นหรือ ผู้ใหญ่ในบ้านไม่มีแล้วหรือ หากเรื่องนี้แพร่ออกไป สำหรับฉินหลิวซีที่เป็นนักพรตถือว่าไม่เป็นไร แต่ชื่อเสียงของสตรีบ้านฉินคนอื่นๆ เล่า ไม่ต้องเหลือแล้วงั้นหรือ
นางฟังน้ำเสียงตำหนิของฉินหลิวซีออก ฉินหมิงเย่ว์รู้สึกร้อนไปทั้งหน้า หน้าแดงทันที นางให้รู้สึกอับอายขายหน้า
หวังอวี้เชียนไม่คิดว่าเจอหน้าฉินหลิวซีครั้งแรกจะเป็นการตำหนิ แม้ว่าคนที่ถูกตำหนิจะเป็นฉินหมิงเย่ว์ แต่ในคำพูดนั้นก็ชี้ให้เห็นถึงการไร้มารยาทของเขาเช่นกัน ใบหน้าเขาแสดงความละอายอย่างสุดจะทนได้
“พี่หญิงใหญ่ พวกเราแค่ได้ยินว่าท่านกลับมาแล้ว จึงได้ออกมาถามไถ่ทุกข์สุขเจ้าค่ะ” ฉินหมิงเย่ว์อธิบายอย่างโกรธเคือง
ฉินหลิวซีกล่าวเรียบๆ ว่า “อย่างนั้นพวกเจ้าก็รู้ข่าวได้รวดเร็วนัก ข้าเข้าประตูมาไม่ทันไร พวกเจ้าก็ได้ยินแล้ว? เพียงแต่หากเป็นการไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบก็ไม่ต้องให้เจ้าเสนอหน้านำบุรุษคนนอกมา พวกบุรุษอย่างฉินหมิงฉีกับฉินหมิงฉุนไม่มีใครอยู่เลย อย่างนั้นก็ให้รออยู่ในห้องของผู้ใหญ่ ตระกูลฉินเกิดพลาดพลั้งไป แต่ก็ไม่ใช่ข้ออ้างให้เจ้ามองข้ามไม่สนใจกฎระเบียบประเพณีที่ยึดถือกันมา”
“ท่าน!”
ฉินหมิงเย่ว์ขวางฉินหมิงซินเอาไว้ กล่าวขออภัยว่า “พี่หญิงใหญ่ท่านอย่าได้โกรธเคืองไป เป็นความผิดของข้าเอง ลืมไปว่าไม่สมควรเข้าออกที่นี่ตามอำเภอใจ
หวังอวี้เชียนขมวดคิ้ว
ฉินหลิวซีเหลือบตาไปมอง “เก็บความคิดบางอย่างของเจ้าไว้เถิด ความคิดเช่นนี้ไม่เป็นผลดีต่อเจ้าเองและไม่อาจทำร้ายข้าได้ หากเจ้าคิดว่าสตรีที่ยังไม่ได้มีการหมั้นหมายแต่งงานเช่นเจ้าสามารถพาบุรุษคนนอกเดินไปทั่วได้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ก็แล้วแต่เจ้า อย่าให้เดือดร้อนไปถึงพี่น้องผู้หญิงคนอื่นๆ ของเจ้าถึงจะดี”
เล่นอะไร ในเวลาแบบนี้ยังคิดได้ว่าจะทำให้นางลำบาก โง่หรือเปล่า?
สีหน้าฉันหมิงเย่ว์ขาวเผือด รู้สึกอึดอัดกดดันจนแทบยืนไม่อยู่ ผ้าเช็ดหน้าในมือถูกขยำจนเป็นผักดองเค็ม นางโต้กลับ “ข้า ข้าก็เพียงคิดว่าพี่ชายไม่ใช่คนนอก”
“ไม่ใช่คนนอก แต่ถึงอย่างไรก็เป็นบุรุษ พวกเจ้าเข้าออกได้ตามอำเภอใจงั้นหรือ” ฉินหลิวซีตำหนิเสียงเย็น “ข้าแม้เป็นคนนอกไม่เกี่ยวกับทางโลก ยังรู้จักกฎเกณฑ์ลำดับศักดิ์ของคนในตระกูล เจ้าล่ะ” คำพูดนี้เกือบจะกล่าวว่าหวังอวี้เชียนมองข้ามไม่สนใจระยะห่างระหว่างชายหญิงแล้ว
หวังอวี้เชียนรู้สึกอึดอัดเก้อเขินวางตัวไม่ถูก
ฉินหลิวซีมองฉันหมิงเย่ว์อีกครั้ง แล้วจึงเอ่ยกับหวังอวี้เชียนว่า “ไปพูดกันที่ต่อหน้าท่านแม่เถิด” นางไม่สนใจว่าพวกเขาจะคิดอย่างไร ออกเดินไปก่อนก้าวหนึ่ง
ฉินหมิงเย่ว์เดินมาที่ข้างหวังอวี้เชียน ร้องไห้สะอึกสะอื้นพลางกล่าว “พี่ชายหวัง พี่หญิงใหญ่อารมณ์ไม่ค่อยดีนัก ท่านอย่าถือสานางเลยนะเจ้าคะ”
หวังอวี้เชียนมองนางทีหนึ่ง เลี่ยงออกไปก้าวหนึ่ง กล่าวว่า “นางเอ่ยมาก็ถูก เพราะข้าไร้มารยาท ที่ถูกคือข้าควรรออยู่กับท่านอาหญิง”
ฉินหมิงเย่ว์ร้อนรน “ท่านก็เพียงใจร้อนเรื่องอาการป่วยของคุณชายเฉวียน ถึงได้เผลอไผลไปครู่หนึ่ง จะโทษท่านได้อย่างไร”
หวังอวี้เชียนคิดในใจ คำพูดนี้แท้จริงแล้วเอ่ยเพื่อให้ข้าหลุดพ้นข้อกล่าวหา หรือให้ข้าต้องโทษกันแน่?
จะว่าไปเขาเดินมาทางนี้เป็นเพราะนางคะยั้นคะยอเชิญมา ที่จริงเขาอยากจะกลับไปรออยู่กับท่านอาหญิง แต่กลับไม่อาจต้านทานคำพูดอ่อนหวานของนางได้จึงได้ตามมา ผลสุดท้ายถูกลูกพี่ลูกน้องหญิงตำหนิเอาได้
หวังอวี้เชียนรู้สึกกลัดกลุ้ม เดิมทีเขาไม่ใช่คนไร้มารยาทเช่นนี้ อยู่ๆ ทำอะไรโง่ๆ ไปได้อย่างไร สงสัยติดมาจากฉินหมิงเย่ว์หรือไม่
หวังอวี้เชียนเดินห่างออกมาอีกสองก้าว “ข้าไปอยู่กับท่านอาหญิงทางนั้นก่อน”
ฉินหมิงเย่ว์เห็นเขารีบหนีไปทันใด นางโกรธจนกระทืบเท้าเร่าๆ ทีแรกพี่ชายบ้านหวังอ่อนโยนกับนางมาก เมื่อพบหน้าฉินหลิวซีเท่านั้น เขาเห็นข้าเป็นโรคระบาดไปแล้ว!
ฉินหลิวซี เจ้าขวางทางเส้นทางความสุขของข้า
สายตาฉินหมิงเย่ว์เต็มไปด้วยความคับแค้นใจและความโกรธเคืองจนน้ำตาคลอสองเบ้าตา
“ครั้งนี้พี่หญิงใหญ่จองหองลำพองเกินไปแล้ว ไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตาสักนิด แล้วยังตำหนิพวกเราต่อหน้าพี่ชาย ไม่นึกถึงความเป็นพี่สาวน้องสาว เกินไปแล้ว” ฉินหมิงซินเป็นเดือดเป็นแค้น
ฉินหมิงเย่ว์กำลังจะเอ่ยอะไรออกมา พลันได้ยินเสียงสนทนาดังมาจากประตูหลังบ้าน
“ศิษย์พี่ทำไมพวกเขาถึงด่าว่าอาจารย์” น้ำเสียงอ่อนเยาว์ของเด็กหญิงถามขึ้น
เถิงเจาตอบอย่างเย็นชา “อาจเป็นเพราะโง่เง่ากระมัง”
“อ้อ แล้วทำไมพวกนางถึงโง่เง่าอย่างนี้เจ้าคะ”
“เพราะความริษยาทำให้คนเราเปลี่ยนโฉมหน้าไป สมองก็ผิดรูปผิดร่าง ทำให้กลายเป็นคนโง่”
ฉินหมิงเย่ว์โกรธถึงขีดสุดนางหมุนตัวไปอย่างรวดเร็ว
ปัง! ประตูบ้านถูกปิดอย่างแรงต่อหน้าพวกนาง ไม่คิดจะถกเรื่องถูกผิดกับคนโง่