คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 660 ตีงูต้องตีให้หลังหัก
ตอนที่ 660 ตีงูต้องตีให้หลังหัก
วันต่อมาหลังกินอาหารเช้าเสร็จ ฉินหลิวซีก็พาศิษย์ทั้งสองออกไปข้างนอก มุ่งหน้าไปยังร้านเฟยฉางเต๋าเป็นที่แรก แล้วสั่งให้วั่นเช่อวิ่งไปยังบ้านเช่าเล็กๆ ที่พวกตู้เหมี่ยนเช่าไว้ชั่วคราวเพื่อแจ้งให้เตรียมเปิดแผล
เพียงฉินหลิวซีก้าวเท้าออกไป หวังอวี้เชียนก็นำคุณชายเฉวียนจิ่งผู้สูงศักดิ์จากตระกูลเฉวียนเข้ามาในบ้านฉิน เมื่อก้าวเข้าประตูมาก็ได้รับการบอกกล่าวว่าฉินหลิวซีออกไปข้างนอกแล้ว ทำได้เพียงรอเท่านั้น
หวังอวี้เชียนหน้าเปลี่ยนเป็นสีเขียวแล้ว น้องสาวคนนี้เรียกได้ว่าเดินทางไปนั่นมานี่ตลอดเวลา ทำตัวลึกลับไม่เปิดเผยตัว เป็นเทพมังกรเห็นหัวไม่เห็นหาง
เขาหันไปมองคุณชายจากตระกูลเฉวียนโดยไม่รู้ตัว
คนของตระกูลเฉวียนที่คุ้มกันเฉวียนจิ่งมาขอรับการรักษาอย่างน้อยมีกว่าร้อยคน เป็นกองกำลังเล็กๆ ได้เลย เห็นได้ว่าเฉวียนจิ่งเป็นคนสำคัญของตระกูลเฉวียน อีกทั้งอาการของเขาน่าเป็นห่วง กลัวว่าระหว่างทางเกิดเหตุไม่คาดฝัน
คนที่ติดตามมาร้อยกว่าคนนั้นนอกจากเป็นคนคุ้มกัน ยังมีหมออีกสองคนติดตามมาด้วย คนหนึ่งเป็นหมอทหาร ส่วนอีกคนเป็นหมอหญิงพื้นเมืองลูกศิษย์ของเหนียงจื่อผู้มีพิษที่มีชื่อเสียง นามหว่านไป๋ ซึ่งเป็นคนที่ตระกูลเฉวียนจ้างมาดูแลความปลอดภัยในชีวิตของเฉวียนจิ่งด้วยทองจำนวนมาก
การมาจวนตระกูลฉินครั้งนี้ นอกจากมีบ่าวชายคนสนิทที่คอยรับใช้ข้างกาย จัดการเรื่องต่างๆ ให้เฉวียนจิ่งแล้ว ยังมีหมอทั้งสองมาด้วย ขบวนเดินทางยิ่งใหญ่พอสมควร ไม่คิดกลับไปมือเปล่า
หว่านไป๋เดิมเป็นคนภูเขา นิสัยหยิ่งยโส เฉยชา ไม่แยแสใคร เดิมทีไม่ได้พอใจกับการมาในขบวนขอรับการรักษานี้ มาถึงแล้วยังต้องรออีกเป็นเวลานาน ความอดทนถึงจุดระเบิดแล้ว
หากไม่ใช่นางสนใจในตัวเฉวียนจิ่ง ป่านนี้สะบัดแขนเสื้อจากไปนานแล้ว จะมานั่งทำตัวเรียบร้อยไม่ออกฤทธิ์เดชเป็นเพื่อนเขาอยู่ทำไม
รอตั้งนานกว่าหมอนักพรตปู้ฉิวจะกลับมา แล้วยังรีบมาหาตั้งแต่เช้าตรู่ ทว่าสหายเอ๋ย คนกลับไม่อยู่แล้ว
นี่ทำให้สีหน้าของหว่านไป๋เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด นางกล่าวอย่างไม่เกรงใจ “ท่านหญิงผู้นี้วางมาดถือตนเป็นใหญ่ จะให้คุณชายเฉวียนลดตัวไปเชื้อเชิญถึงสามครั้งจึงจะยอมมารักษาอย่างนั้นหรือ”
หวังอวี้เชียนรู้สึกไม่สบายใจ อดเอ่ยแก้แทนฉินหลิวซีไม่ได้ “เป็นเพราะข้าเอง ไม่ได้บอกกับนางล่วงหน้าว่าเฮ่อฉีจะมา ถึงได้มาไม่เจอใคร”
เฮ่อฉีก็คือนามเล่นของคุณชายเฉวียนจิ่ง
เขาในตอนนี้ห่มเสื้อคลุมไหล่กันลม กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเก้าอี้เอน ใบหน้าที่มีเค้าความหล่อเหลา สง่างาม บัดนี้ผ่ายผอมจนคางแหลม แก้มทั้งสองข้างตอบจนเห็นกระดูกโหนกแก้มนูนขึ้น ทำให้ดวงตาที่งดงามยิ่งดูเรียวเล็กขึ้น สีหน้าที่ปรากฏเรียกว่าซีดขาวยังน้อยไป
เขาสวมเสื้อคลุมห่อร่างกายเอาไว้ไม่ให้คนเห็นรูปร่างของเขา แต่เสื้อที่โดนลมพัดเลิกขึ้นทำให้เห็นว่าร่างกายเขาผ่ายผอมอ่อนแอ
เฉวียนจิ่งฝืนยกมุมปากขึ้น เอ่ยด้วยเสียงแหบแห้ง “เป็นพวกเราที่พรวดพราดเข้ามา เสียมารยาทแล้ว”
“ท่านยังไม่แข็งแรง พูดน้อยรักษาพลังชีวิตดีกว่า” หว่านไป๋ขมวดคิ้วมองเขา สายตาเต็มไปด้วยความรักสุดหัวใจและมีรอยขุ่นเคืองพาดผ่าน พิษที่เฉวียนจิ่งได้รับ ตัวนางเองไม่ต้องพูดถึง แม้แต่อาจารย์ของนางยังจนปัญญาหาวิธีกำจัดพิษ ได้แต่กดมันเอาไว้ไม่ให้ออกฤทธิ์ แต่ความร้ายกาจของมันยังมากมายถึงเพียงนี้ เฉวียนจิ่งนับวันยิ่งอ่อนแอลงเรื่อยๆ พิษกำเริบขึ้นมาเมื่อใดก็เจ็บปวดทรมานจนพูดไม่ออก เจ็บจนแทบมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ไหว เจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนร่างกายกลายเป็นหนังหุ้มกระดูก รอวันตายอย่างช้าๆ
นางย่อมสงสัยว่าพิษที่อาจารย์ยังแก้ไม่ได้ แม้แต่หมอมีชื่อทั้งหลายยังหมดปัญญา แล้วหมอหญิงลัทธิเต๋าคนนี้จะแก้ไขได้หรือ
ตระกูลเฉวียนค่อนข้างเชื่อนักพรตจิ่วเหมยอะไรนั่น การเดินทางไกลโพ้นมาขอรับการรักษานี้ยิ่งทำให้เขาอ่อนแอลงไปอีก
“หากพวกท่านไม่รอที่จวน ไม่สู้ไปถนนหงไป๋ที่ตรอกโซ่วสี่ ที่นั่นมีร้านเฟยฉางเต๋า ไปดูที่ร้านนั้นก็ได้ว่านางอยู่หรือไม่” สะใภ้หวังเห็นท่าทางเฉวียนจิ่งอ่อนแอแทบทนไม่ไหว ใจไม่แข็งพอจึงบอกที่อยู่ของฉินหลิวซี
หวังอวี้เชียนถาม “เฟยฉางเต๋า เป็นสถานที่อะไรหรือขอรับ”
“เป็นที่ขอรับการรักษาโรค นางเปิดร้านนี้ขึ้นมาด้วยตัวเอง” สะใภ้หวังเอ่ยตอบเรียบๆ
หว่านไป๋ได้ยินแล้วยิ้มเยาะ ไม่ใช่นักพรตหรอกหรือ ยังเปิดร้านค้าขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าเป็นช่องทางเสาะแสวงหาชื่อเสียง
“อย่างนั้นพวกเราเสี่ยงโชคไปที่นั่นดูสักหน่อยเถิด” เฉวียนจิ่งพยักหน้าให้สะใภ้หวัง คณะเดินทางจึงถอยจากจวนตระกูลฉินไป
สะใภ้เซี่ยมองพวกเขาจากไป เอ่ยอย่างร้อนใจ “พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านโง่หรือไม่ ทำไมไม่ให้พวกเขารออยู่ที่บ้าน นั่นเป็นคนตระกูลเฉวียนเชียวนะ แล้วซีเอ๋อร์เปิดร้านเมื่อไหร่กัน ทำการค้าอะไร ทำไมพวกเราไม่รู้เรื่อง”
สะใภ้หวังมองนางด้วยสายตาเฉยเมย “ร้านโรงศพร้านเดียว ต้องบอกเจ้าทำไมกัน?”
“อะไรนะ ร้านโรงศพ ไม่ใช่สิ ท่านเพิ่งพูดหยกๆ ว่าเป็นร้านหมอ”
“รับรักษาโรคได้ ขับไล่ภูติผีปีศาจได้ และยังขายโลงศพ เจ้าอยากไปดูขนาดโลงสักหน่อยหรือไม่เล่า”
สะใภ้เซี่ยถอยหลังไปสองสามก้าว เฮอะ ใครอยากไปดูขนาดโลงศพกัน ซวยจริง นางกลอกตา แล้วถามอีก “ค้าขายมีกำไรหรือไม่”
“มีกำไรหรือไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้าเล่า นั่นเป็นกิจการส่วนตัวของนาง ข้าไม่เคยเอ่ยปากถาม ทางที่ดีน้องสะใภ้รองก็อย่าได้ไปถาม ไม่อย่างนั้นใครจะรู้ว่านางเกิดโมโหขึ้นมาจะออกฤทธิ์เดชอย่างไรบ้าง” สะใภ้หวังทำหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มมองนาง “มีเวลาว่างทำตัวเอ้อระเหยเช่นนี้ ไม่สู้จับพวกหมิงเย่ว์มาดัดนิสัย คัมภีร์สอนหญิงที่ร่ำเรียนมาสมัยก่อน ไม่ลงท้องสุนัขไปแล้วหรือ ไปไหนมาไหนสองต่อสองกับบุรุษที่ยังไม่ได้หมั้นหมายแต่งงาน หากเรื่องนี้แพร่ออกไป หากนางอยากแต่งงานกับคนดีๆ ข้าว่ายาก”
สะใภ้เซี่ยหน้าเขียว เม้มปากแน่น
นางเอาเรื่องนี้มาเอ่ยอีกแล้ว เมื่อคืนหมิงหมิงโมโหไปทีหนึ่งแล้ว วันนี้ยังจะเอ่ยขึ้นมาอีก ไม่ใช่อยากเอ่ยกระทบนางหรอกหรือ แถมเงินเดือนก็ไม่ให้ ให้พวกนางไปเป็นคนเย็บผ้า นี่เท่ากับให้พวกเด็กผู้หญิงในบ้านไปใช้แรงงานเป็นวัวเป็นควาย!
“พี่สะใภ้ใหญ่ ให้พวกเด็กสาวทำงานเย็บปักเป็นค่าเครื่องประดับได้ แต่ไม่ให้เงินเดือนเช่นนี้ไม่มากไปหน่อยหรือ” สะใภ้เซี่ยกัดฟันกรอด
สะใภ้หวังเอ่ยอย่างเย็นชา “เกินไปหรือ เจ้ายังจำได้หรือไม่ เมื่อปีที่แล้วถูกค้นบ้านยึดทรัพย์ ทั้งเนื้อทั้งตัวเหลือเงินอยู่ไม่เท่าไหร่ แต่ต้องดูแลทุกอย่าง ไม่มีเงินเดือนให้ก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดามากแล้ว แค่ทุกวันนี้อยู่อย่างมั่งคงสงบสุข กิจการที่ร้านไปได้ดีถึงจะจ่ายค่าขนมให้พวกเด็กๆ ทำไมเจ้าไม่คิดบ้างว่าพวกท่านปู่อยู่ที่ซีเป่ยลำบากนอนกลางดินกินกลางทราย”
“ไม่เป็นคนจัดการบ้านคงไม่รู้ ข้าวปลาอาหารฟืนไฟแพงแค่ไหน เจ้าว่าไม่ให้เงินเดือนคือทำเกินไป ไม่คิดบ้างว่าพวกเราทุกวันนี้ยังมีคนรับใช้รองมือรองเท้า แล้วยังค่าเล่าเรียนของเด็กๆ มีตรงไหนบ้างไม่ใช้เงิน? ทั้งบ้านหวังแต่รายได้จากร้านผลไม้เชื่อมมาใช้ชีวิต ส่วนประกอบทำผลไม้เชื่อมก็เป็นซีเอ๋อร์เขียนให้ ทางบ้านข้าให้เงินมาใช้เฉพาะหน้า ถึงจะค่อยๆ ทำร้านขึ้นมาได้ เจ้าไม่ได้รับผิดชอบดูแลการค้า ไม่รู้หรอกว่ากิจการหนึ่งเปิดตลาดยากเพียงใด ตอนนี้เจ้าอ้าปากปิดปากก็พูดถึงแต่ไม่จ่ายเงินเดือนทำเกินไป ข้ารู้สึกหนาวเหน็บยิ่งนัก ในสายตาของน้องสะใภ้รองลมมันพัดเงินเดือนมาให้หรืออย่างไรกัน”
ยิ่งพูดน้ำเสียงสะใภ้หวังยิ่งร้ายกาจเยียบเย็น “อีกอย่างเงินเดือนพวกนี้เพียงแต่เก็บไว้ในส่วนกลางเท่านั้น ต่อไปก็คืนให้ทุกคนเป็นสินเดิมก่อนแต่งงาน มีอะไรที่เกินไปงั้นหรือ เจ้าอยากให้จ่าย อย่างนั้นก็ได้ ค่าของขวัญ ของกำนัล ค่าครูที่หมิงฉีใช้ที่สถานศึกษาตัดทิ้งไปก็แล้วกัน เสื้อกางเกงสำหรับใส่ไปเรียนก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เด็กที่บ้านยากจนล้วนเป็นเช่นนี้ บ้านเราที่จริงแล้วลำบากมาก เลี้ยงดูคนมากมายเพียงนี้ข้ามีใจแต่ไร้กำลัง อีกอย่างเงินช่วยเหลือจากทางบ้านข้า ข้าคิดว่าจะคืนกลับไป”
ตีงูต้องตีให้หลังหัก ดังนั้นบุตรชายหรือบุตรสาวสำคัญ เลือกเอาเองเถิด
คำว่ากล่าวของสะใภ้หวังเหมือนโยนประทัดใส่ลูกแล้วลูกเล่าเสียงดังตูมตาม ด่าสะใภ้เซี่ยไม่ไว้หน้าสักนิด ด่าจนนางมึนงง สมองเห็นดาวกระจาย ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไร ได้ยินว่าจะตัดค่าใช้จ่ายของบุตรชาย ขณะนั้นก็ตกใจจนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง
บุตรสาวอยู่บ้านสวมเสื้อผ้าอะไรก็ได้ แต่บุตรชายหัวแก้วหัวแหวนไปร่ำเรียนข้างนอก เสื้อผ้าที่ใส่จะต้องถูกคนมองอย่างดูถูกไม่ใช่หรือ
“ท่านเป็นนายหญิงของบ้าน ก็เอาตามที่ท่านว่าแล้วกัน” สะใภ้เซี่ยกัดฟันเอ่ยอย่างคับข้องใจ
สะใภ้หวังส่งเสียงฮึอย่างเย็นชา “ต่อไปอย่าให้ข้าได้ยินว่าหมิงเย่ว์พาบุรุษเดินไปทั่ว ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ นางไม่ห่วงชื่อเสียงตนเอง แต่ลูกหลานคนอื่นๆ ไม่ใช่”
สะใภ้หวังทิ้งประโยคสุดท้ายไว้แล้วสะบัดหน้าเดินออกไป ทิ้งสะใภ้เซี่ยไว้ข้างหลัง นางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน โกรธจนกระทืบเท้าไม่หยุด