คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 667 ข้าชอบแย่งคนมาจากยมทูต
ตอนที่ 667 ข้าชอบแย่งคนมาจากยมทูต
การรับเฉวียนจิ่งเป็นคนไข้ ใบสั่งยาของฉินหลิวซี ละเอียดลออและระมัดระวังเป็นอย่างมาก อย่างไรเสียร่างกายของอีกฝ่ายก็ทรุดโทรมและอ่อนแอมาก ไม่หวังที่จะบำรุงร่างกายให้แข็งแรงได้ในขณะที่ยังไม่ถอนพิษ แต่อย่างน้อยก็ต้องแข็งแรงกว่าตอนนี้ ดังนั้นใบสั่งยาปรับสภาพนี้ต้องให้เหมาะสมกับร่างกายที่ถูกทรมานซ้ำแล้วซ้ำเล่าของเขา
ในขณะที่ทิ้งเข็มไว้ ฉินหลิวซีก็ได้พบกับแพทย์ทหารแซ่เซี่ยที่มาด้วยผู้นั้น สอบถามเกี่ยวกับยาที่เฉวียนจิ่งกินหลังจากถูกพิษอย่างละเอียด รวมถึงยาที่ระงับอยู่ตอนนี้ จากที่ดูแล้วส่วนใหญ่เป็นยาระงับอาการปวดชนิดแรง
“ล้วนเป็นยาชนิดแรง ไม่แปลกใจเลยที่ร่างกายของเขาทรุดโทรมเช่นนี้” ฉินหลิวซีดูใบสั่งยาพลางส่ายหน้า
หลังจากสนทนา แพทย์ทหารเซี่ยรู้สึกประทับใจทักษะวิชาแพทย์ของฉินหลิวซีเป็นอย่างมาก เขาคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายอายุยังน้อยเช่นนี้ แต่วิชาแพทย์กลับยอดเยี่ยมเพียงนี้ มียาบางชนิดที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับสูตรยา
แพทย์ทหารเซี่ยเผยให้เห็นรอยยิ้มที่ขมขื่นตอบสนองการไม่เห็นด้วยของฉินหลิวซี กล่าวว่า “ไม่มีทางเลือกอื่น อัคคีเยือกแข็งกร่อนกระดูกนั้นรุนแรงมาก เมื่ออาการกำเริบ ก็แทบอยากจะใช้มีดกรีดบนร่างกาย หากไม่ใช้ยาชนิดแรง คุณชายก็ทนไม่ไหว”
ฉินหลิวซีมองดูใบสั่งยาที่ทายาทเหนียงจื่อผู้มีพิษมอบให้ ซ้ำยังเคยใช้ชวนอูที่มีฤทธิ์รุนแรงเป็นอย่างมาก ชวนอูเป็นทั้งยาพิษแต่ก็เป็นยารักษา แต่ก็ไม่ได้สูญเสีย
“เมื่อลูกธนูพิษเข้าสู่ร่างกาย ได้จัดการบาดแผลอย่างละเอียดหรือไม่”
แพทย์ทหารเซี่ยนึกถึงเหตุการณ์วันนั้น กล่าวว่า “แน่นอนว่าจัดการเรียบร้อยแล้ว สิ่งเดียวที่โชคดีในตอนนั้นคือลูกธนูเพียงแค่ทะลุผ่านร่าง ไม่ได้ฝังอยู่ในเนื้อหรือกระดูก แต่พิษยังคงอยู่ในไขกระดูก ตอนนั้นกระดูกกลายเป็นสีเขียว แม้ว่าจะขูดกระดูกเอาพิษออก รักษาบาดแผล และกินยาแก้พิษในทันที แต่ก็…เฮ้อ”
“นับว่าจัดการได้พอเหมาะแล้ว มิเช่นนั้นเกรงว่าอาจถูกพิษลุกลามจนเสียชีวิตไปแล้ว” ฉินหลิวซีเอ่ยชื่นชม
แม้จะเอ่ยเช่นนี้ แต่ตั้งแต่ได้รับบาดเจ็บไปจนถึงการจัดการลูกธนูพิษ กินยาแก้พิษ ในระหว่างกระบวนการนี้ อัคคีเยือกแข็งได้เริ่มลุกลามแล้ว การกินยาแก้พิษก็ทำได้เพียงยื้อชีวิตเท่านั้น ไม่สามารถถอนพิษได้
“ท่านเจ้าอาวาสน้อยวางแผนจะให้ยาอย่างไรหรือ” แพทย์ทหารเซี่ยอดถามไม่ได้ “คุณชายของข้าจะผ่านอุปสรรคนี้ไปได้หรือไม่”
“ขึ้นอยู่กับโชค” ฉินหลิวซีอธิบายแผนการรักษาอย่างคร่าวๆ ก็คือบำรุงร่างกาย แล้วค่อยหาตัวปราบที่จะใช้ในหลักการพิษโจมตีพิษ
แพทย์ทหารเซี่ยติดตามอยู่ข้างกายเฉวียนจิ่งมาโดยตลอด เขารู้สภาพร่างกายของเฉวียนจิ่งดีที่สุด ถามคำถามเพิ่มเติมอีกสองสามข้อ ฉินหลิวซีตอบคำถามเหล่านั้นอย่างแม่นยำ ในใจรู้ว่าสิ่งที่เลวร้ายที่สุดก็เพียงแค่มีจุดจบเช่นนั้น
ส่วนแผนการรักษาของฉินหลิวซีก็เหมาะสมที่สุดเช่นกัน หากเป็นเขาคงไม่ละเอียดรอบคอบและคำนึงถึงทุกด้านขนาดนี้
“รบกวนท่านเจ้าอาวาสน้อยแล้ว พวกข้าจะให้ความร่วมมือกับแผนการรักษาของท่านอย่างแน่นอน” แพทย์ทหารเซี่ยคำนับฉินหลิวซีอย่างเคร่งขรึม
ฉินหลิวซีเขียนใบสั่งยาและการรักษาด้วยอาหารบำรุงแล้วยื่นให้ กำชับเรื่องต่างๆ แล้วจึงให้พวกเขากลับไป
เฉวียนจิ่งและคนอื่นๆ จากไปแล้ว แต่หวังอวี้เชียนกลับหาข้ออ้างเพื่ออยู่ต่อ เอ่ยกับฉินหลิวซีว่า “ความจริงแล้วหากเจ้าไม่ได้มั่นใจมากนัก ก็ไม่ต้องรับผู้ป่วยรายนี้ก็ได้”
“กลัวว่าข้าจะถูกตระกูลเฉวียนแก้แค้นหรือ” ฉินหลิวซีเลิกคิ้วพลางเหลือบมองเขา “ข้ากับท่านก็ไม่ได้สนิทกัน ไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับข้าหรอกกระมัง”
“ใครกังวลเกี่ยวกับเจ้า ข้ากลัวว่าท่านอากับบรรดาน้องชายลูกพี่ลูกน้องจะเดือดร้อนต่างหาก” หวังอวี้เชียนดีดตัวขึ้นมา เขินอายเล็กน้อย เกาจมูก เอ่ยว่า “ตระกูลเฉวียนมีอำนาจอยู่ที่ซีเป่ย เฉวียนจิ่งเป็นต้นกล้าเพียงหนึ่งเดียวที่บ้านใหญ่เหลือไว้ แต่ก็ยังมีพี่น้องคนอื่นๆ อีกสองบ้าน หากเฉวียนจิ่งมาเสียชีวิตเพราะเจ้า แล้วพวกเขาต้องการคิดบัญชีในภายหลังจะทำอย่างไร พวกแม่ทัพไม่มาพูดคุยเหตุผลกับเจ้าหรอกนะ มีแต่พูดคุยด้วยพละกำลัง”
ฉินหลิวซีแสยะยิ้ม “หากตระกูลเฉวียนมีนิสัยเช่นนี้ แล้วหมอคนไหนจะกล้ารับใช้พวกเขา ไม่กลัวว่าหากทำได้ไม่ดีก็จะถูกถีบหัวส่งหรือ ท่านคิดมากไปแล้ว”
“ไม่รำคาญที่พวกเขาจะมาลอบทำร้ายเจ้าหรือ”
ฉินหลิวซีหัวเราะ “ท่านเติบโตมาพร้อมกับการถูกลอบทำร้ายหรือ จึงได้คิดแต่ว่าคนอื่นจะทำร้ายท่าน”
หวังอวี้เชียนโกรธมาก “เจ้าไม่รู้จักรับความหวังดีจากผู้อื่นเอาเสียเลย หากไม่ใช่เพราะข้ากลัวว่าเจ้าจะเสียเปรียบก็คงไม่ลำบากมาเอ่ยเกลี้ยกล่อมเช่นนี้”
“เหตุใดท่านจึงกลัวว่าข้าจะเสียเปรียบ พวกเราก็ไม่ได้สนิทกันเสียหน่อย!”
หวังอวี้เชียน “!”
ให้ตายเถิด ข้าอยากจะตีนางจริงๆ วอนเกินไปแล้ว!
“จะทำอะไรก็แล้วแต่เจ้า ถือเสียว่าข้าเข้าไปยุ่งมากเกินไป” เขาสะบัดแขนเสื้อแล้วจากไป
เว่ยเสียโบกพัดพลางเอ่ย “สิ่งที่เขาเอ่ยมานั้นก็ค่อนข้างสมเหตุสมผล แม่ทัพส่วนใหญ่เป็นคนป่าเถื่อน ไร้เหตุผล”
“พวกเขาไม่มีเหตุผล แต่ผู้บัญชาการทหารล้วนมีคุณธรรมมากกว่าใคร ไม่มีทางเกิดเรื่องอย่างที่เขากล่าว เพราะว่าเฉวียนจิ่งถูกกำหนดให้ตายมานานแล้ว เพียงแค่รอเวลาเท่านั้น” ฉินหลิวซีเอ่ยต่อว่า “แม้ว่าจะมีเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้น เจ้าคิดว่าข้าจะกลัวหรือ”
เว่ยเสียอยากรู้เล็กน้อย “เรื่องที่ไม่แน่ใจเช่นนี้ ไยท่านจึงได้รับ ไม่กลัวจะทำลายชื่อเสียงของตัวเองหรือ”
“สำหรับข้าแล้วชื่อเสียงไม่สำคัญ มันกินไม่ได้แล้วก็เปลี่ยนเป็นเงินค่าน้ำมันตะเกียงไม่ได้ด้วย จะดีหรือไม่ดี ข้าก็ไม่สน ข้าไม่เคยเห็นอัคคีเยือกแข็งกร่อนกระดูกเช่นนี้ ตอนนี้ได้พบแล้ว ยาถอนพิษของมันหรือสิ่งที่ปราบมันได้คืออะไร ข้าอยากรู้นัก หากข้าสามารถพัฒนาพิษที่รุนแรงกว่ามันได้ ก็จะเก่งยิ่งกว่าอาถูผู่อะไรนั่นไม่ใช่หรือ”
เข้าใจแล้ว ผู้ที่เป็นนักบวชผู้นี้แหละที่กระตุ้นความปรารถนาที่อยากจะเอาชนะของเจ้า!
“และอีกอย่าง ข้าชอบแย่งคนมาจากพวกเหล่าเฮย ข้าจะยื้อชีวิตเฉวียนจิ่งไว้จนกว่าจะพัฒนายาพิษที่สามารถปราบอัคคีเยือกแข็งกร่อนกระดูกได้” ฉินหลิวซีเอ่ยพลางขยิบตา
เฮยอู๋ฉังที่กำลังเดินทางมาจู่ๆ ก็สะดุ้งอย่างไร้สาเหตุ รู้สึกเหมือนถูกนึกถึง
เว่ยเสียพูดอะไรไม่ออกเล็กน้อย ในเมื่อเจ้ามีแผนอยู่แล้ว เหตุใดจึงบอกคนแซ่เฉวียนว่าเขาต้องเดิมพันชีวิตอย่างร้ายแรงขนาดนั้น แค่บอกไปว่าต่อให้ลำไส้ของเขาเน่าผุพังก็ไม่ถึงขั้นเสียชีวิตก็จบเรื่อง เพราะเจ้าจะไม่ยอมให้ใครมาเอาวิญญาณของเขาไป
“นี่คือวิธีที่ท่านช่วยชีวิตผู้คนหรือ หากท่านปกป้องคนที่ป่วยหนักเช่นนี้ วงจรการเวียนว่ายตายเกิดจะไม่วุ่นวายหรือ”
“จะเป็นไปได้อย่างไร ข้าช่วยชีวิตคนด้วยการใช้ยาอย่างถูกต้องตามหลักการ แต่หากเกินเวลาไปเล็กน้อย ก็หาเส้นสายมาช่วยยื้อเวลาให้ก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือ ในโลกความเป็นมีการใช้เส้นสาย ในโลกความตายก็มีเส้นสายเช่นกัน…”
“เรียกว่าเส้นสายผีต่างหาก”
ฉินหลิวซีจ้องเขา “เป็นฝ่ายค้านจนติดเป็นนิสัยแล้วกระมัง กล่าวง่ายๆ ก็คือ คนผู้นี้ได้ต่อแถวลงทะเบียนกับข้าแล้ว หาเส้นสายเข้าทางประตูหลัง เป็นเรื่องปกตินัก ข้าไม่อายอยู่แล้ว”
เว่ยเสีย ‘ข้าว่าเจ้าต่างหากที่เป็นฝ่ายค้าน เจ้าเถียงข้างๆ คูๆ หน้าด้านไร้ยาง!’
ฉินหลิวซีลุกขึ้นเดินไปที่ลานด้านหลัง ก่อนจะเอ่ย “มาสิ เส้นสายผีของข้ามาแล้ว จะหาตำแหน่งให้เจ้าสักหนึ่งตำแหน่ง”
เว่ยเสียไม่เข้าใจ จนกระทั่งตามนางไปที่ลานด้านหลัง เห็นเฮยอู๋ฉังที่โผล่มาจากความว่างเปล่า ปรากฏสีดำพร้อมตัวอักษรที่เขียนด้วยลายมือว่าใต้หล้าสันติสุข จึงได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
หลังจากรับโซ่ตรวนวิญญาณกับป้ายแขวนแสดงตัวตนจากเฮยอู๋ฉังมาแขวนไว้ที่เอว เว่ยเสียก็เล่นโซ่ตรวนอย่างมีความสุข เมื่อมีของเหล่านี้ก็สามารถเดินทางในโลกมนุษย์ได้โดยไม่มีอุปสรรค แม้ว่าจะได้พบกับปรมาจารย์ก็ไม่ต้องหวาดหวั่นแล้ว
เนื่องจากเขาลงทะเบียนตำแหน่งในยมโลกเป็นยมทูตชั่วคราว!
อืม เส้นสายผีนี่มันดีจริงๆ เชียว!
แต่เฮยอู๋ฉังกลับมีสีหน้าลำบากใจ มาส่งเครื่องมือจับวิญญาณ เหตุใดจึงถูกนายท่านน้อยฉินหลิวซีผู้นี้สั่งการให้ปล่อยให้เฉวียนจิ่งอะไรนั่นมีชีวิตอยู่รอด
“นายท่าน ชะตากรรมของตระกูลเฉวียน…”
“ยังมีโอกาสอันริบหรี่มิใช่หรือ เมื่อถึงเวลานั้นให้ตาเฒ่าผู้พิพากษาถ่วงเวลาไว้สักหน่อย” ฉินหลิวซีเอ่ยว่า “ข้าก็แค่บอกไว้ พวกเจ้าจะไม่ถ่วงเวลาก็ไม่เป็นไร หากผู้ที่สามารถปกป้องบ้านเมืองมีบุญกุศลติดตัวอย่างเขาตายไป ในภายภาคหน้าก็ไม่รู้ว่าจะมีทหารและราษฎรตายไปอีกกี่คน ข้าก็แค่กลัวว่าพวกเจ้าจะยุ่งจนหัวหมุน…”
“ข้าจะไปถ่ายทอดเจตนาของท่านกับท่านผู้พิพากษาเดี๋ยวนี้” เฮยอู๋ฉังหนังศีรษะชา หายแวบไปทันที
เว่ยเสีย ‘เฮยอู๋ฉังผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่ก็เพียงเท่านี้ นางไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย!’