คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 670 การแก้แค้นไม่สามารถปล่อยไว้ข้ามคืนได้
ตอนที่ 670 การแก้แค้นไม่สามารถปล่อยไว้ข้ามคืนได้
ฉินหลิวซีพาเถิงเจากับวั่งชวนขึ้นไปที่ชั้นห้าของหอเติงเซียนซึ่งไม่เปิดให้คนภายนอกเข้าไป หาหนังสือสมุนไพรให้วั่งชวนทำความรู้จักก่อน จากนั้นก็ให้เถิงเจาไปค้นบันทึกที่ไม่เป็นทางการ
“ตำราแถวนั้นค้นดูให้ครบทั้งแถว” ฉินหลิวซีชี้ไปที่แถวชั้นวางตำรา
เถิงเจามองนาง “ท่านจะไปไหน”
ฉินหลิวดึงผ้าพันศีรษะของเขาเล็กน้อย กล่าวว่า “จำที่อาจารย์เคยสอนได้หรือไม่ การแก้แค้นไม่ควรปล่อยไว้ข้ามคืน มีคนรนหาที่ตายมาทำร้ายอาจารย์ของข้า ในฐานะลูกศิษย์ต้องไปกู้หน้าคืนให้เขา จะปล่อยให้ถูกคนรังแกเปล่าๆ ไม่ได้”
เถิงเจา ‘ท่านจงใจพูดให้ข้าฟังเพื่อให้ข้าเรียนรู้ไว้!’
วั่งชวนเอ่ยแสดงความกตัญญูอย่างเสียงดังอยู่ด้านข้าง “ตั้งแต่นี้ไปข้าจะปกป้องท่านอาจารย์ หากใครมารังแกท่านอาจารย์ ข้าจะให้เขาต้องตาย!”
เถิงเจากดหัวของนางลง “เรียนรู้สมุนไพรของเจ้าต่อไปเถิด”
“อ้อ”
ฉินหลิวซีกลับภูมิใจเป็นอย่างมาก จึงเอ่ย “ต้องกตัญญูต่ออาจารย์เช่นนี้ ข้าไปล่ะ”
นางให้ทั้งสองคนอ่านตำราอย่างสงบ ในขณะที่ตัวเองเดินขึ้นบันไดไปข้างบน เถิงเจามองดูนางเดินหายไป ลดสายตาลง เปิดตำราในมือ
ชั้นบนสุดของหอเติงเซียนได้วางค่ายอาคมไว้ เพื่อไม่ให้มีคนบุกรุกเข้ามา ดูเหมือนบันไดธรรมดาทั่วไป แต่หากเดินไม่ถูก ก็จะเดินขึ้นบันไดอยู่อย่างนั้น
ฉินหลิวซีเดินขึ้นไปถึงชั้นบนสุด นั่งลงบนพื้นกระดาน ตรงหน้านางคือแผนภาพแปดทิศไท่จี๋
นางต้องการใช้วิชาต้าเหยี่ยนถามถึงร่องรอยของซาหยวนจื่อ
หลังจากจุดธูปบูชาเทพเจ้าและชำระมือให้สะอาด ฉินหลิวซีก็ใช้มือทั้งสองข้างร่ายอาคม ปากท่องคาถา หลังจากลืมตาก็หยิบหญ้าซือห้าสิบก้านที่เก็บไว้ในกล่องไม้ไผ่ กอบขึ้นมาด้วยมือทั้งสองข้าง ลมควันบนกระถางธูปพักหนึ่ง จากนั้นก็หยิบขึ้นมาหนึ่งก้านแล้วใส่กลับเข้าไปในกล่อง เหลือเพียงสี่สิบเก้าก้านเท่านั้น
เลขของต้าเหยี่ยนคือห้าสิบ เลขที่ใช้คือสี่สิบเก้า
สี่สิบเก้าก้านที่นางเหลือไว้นั้นหมายถึงกลยุทธ์สี่สิบเก้า ใช้ในการทำนาย จากนั้นก็แบ่งออกเป็นสองส่วน วางไว้ที่ด้านซ้ายและขวา
ใช้เลขสี่เป็นตัวแทนของสี่ชั่วยาม
ฉินหลิวซีหยิบหญ้าซือทางด้านซ้ายขึ้นมาก่อน ด้านขวามือจัดเป็นสี่คูณสี่ วางลงหลังจากจัดเป็นสี่คูณสี่เรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นมือขวาจับหญ้า แล้วใช้มือซ้ายจัดเรียงจำนวน
วิชาต้าเหยี่ยนต้องใช้สมาธิและพลังงานอย่างมาก การคำนวณจะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เมื่อสมาธิไม่คงที่จะนำไปสู่ความล้มเหลว ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับจิตวิญญาณ นักพรตเต๋าที่หวงแหนตบะของตัวเอง จะไม่ใช้วิชาต้าเหยี่ยนมาทำนายง่ายๆ เพราะมันใช้พลังงานอย่างมาก โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับบาดเจ็บอยู่แล้ว เพราะแม้ว่าจะประสบความสำเร็จก็จะสูญเสียการฝึกบำเพ็ญ
ดังนั้นฉินหลิวซีจึงไม่อนุญาตให้นักพรตชื่อหยวนที่ตบะถดถอยใช้วิชาต้าเหยี่ยน นางเกรงว่าตบะของเขาจะถดถอยลงเรื่อยๆ เมื่อถึงเวลานั้นแม้ว่านางจะรวบรวมวัตถุดิบทั้งหมดเพื่อหล่อหลอมยาสร้างรากฐานได้ แต่เขาก็จะไม่สามารถรับได้แล้ว
อายุขัยของคนมีจำกัด ผู้ที่ฝึกบำเพ็ญเต๋าอย่างนักพรตเฒ่าชื่อหยวนมีอายุยืนยาวกว่าคนธรรมดาเล็กน้อย เนื่องจากมีผลของการบำเพ็ญเต๋าบำรุงร่างกาย แต่อย่างไรเสียเขาก็เป็นเพียงแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง อายุร้อยปีก็นับว่ายืนยาวมากแล้ว หากจะให้ยืนยาวกว่านี้ มีเพียงต้องอาศัยความสำเร็จขั้นสร้างรากฐานเท่านั้น
ฉินหลิวซีหวังว่าเขาจะอยู่กับนางนานขึ้นสักหน่อย
นางมุ่งความสนใจไปที่การทำนาย เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว หญ้าซือสี่สิบเก้าก้านถูกแบ่งเป็นสองส่วน ห้อยไว้หนึ่งก้าน หักสี่ก้าน หนีบไว้ที่ระหว่างช่องนิ้ว เปลี่ยนสามครั้งกลายเป็นบรรทัดแรก ฉินหลิวซีมองดู ไม่ได้วาดผลทำนาย เพียงแต่จดจำไว้ ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้ทำนายบรรทัดนั้นอีก ทำซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่า หลังจากเปลี่ยนไปสามครั้งกลายเป็นบรรทัดที่สอง จนกระทั่งบรรทัดที่หกก็เสร็จสมบูรณ์
“ที่แท้เจ้าอยู่ที่แห่งนี้นี่เอง” ปลายนิ้วเรียวยาวของฉินหลิวซีแตะที่แผนภาพแปดทิศ ยกมุมปากขึ้น มีแสงเย็นเฉียบผ่านเข้ามาในดวงตา
ป่าวั่นไหวซึ่งอยู่ไม่ไกลจากอารามชิงผิงมีพื้นที่ขนาดใหญ่มาก และส่วนลึกที่สุดของป่าวั่นไหวก็คือเส้นทางไปสู่เมืองคังที่อยู่ใกล้เคียง
ในป่าวั่นไหวส่วนใหญ่เป็นต้นไหว ต้นไม้เขียวขจี แม้ว่าในช่วงบ่ายพระอาทิตย์จะส่องแสงเจิดจ้า แต่ส่วนลึกของป่าก็ยังคงถูกปกคลุมไปด้วยกิ่งก้านต้นไม้ ลำแสงไม่อาจลอดผ่านจึงมืดทึบเป็นพิเศษ มีความรู้สึกเหมือนมองไม่เห็นดวงตะวัน
และเนื่องด้วยเหตุนี้ ป่าวั่นไหวจึงเป็นดินแดนสำหรับวิญญาณเร่ร่อนสัมภเวสีในพื้นที่ใกล้เคียง เพราะต้นไหวสามารถหล่อเลี้ยงผีได้ แสงอาทิตย์ที่นี่ไม่ดีซึ่งเหมาะกับกิจกรรมของพวกมัน และต้นไหวเดิมทีก็เป็นหยิน มีวิญญาณเร่ร่อนสัมภเวสีนับไม่ถ้วนมารวมตัวกันที่นี่ ยิ่งทำให้พลังงานหยินของที่นี่รุนแรงขึ้น
ดังนั้นไม่ใช่เรื่องโกหกที่บอกว่าป่าวั่นไหวถูกเรียกว่าป่าหมื่นผี
ซาหยวนจื่อรู้สึกว่าสถานที่แห่งนี้เป็นดินแดนสำหรับหล่อหลอมอาวุธชั่วร้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานที่แห่งนี้มีวิญญาณเร่ร่อนสัมภเวสีมากมาย จึงเหมาะสำหรับการหล่อหลอมผีเป็นอย่างยิ่ง
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ที่ป่าวั่นไหวแห่งนี้ ซาหยวนจื่อรู้สึกราวกับได้กลับบ้าน
รอบตัวเขามีธงห้าผีปักอยู่ นั่งขัดสมาธิ มือทั้งสองข้างวางบนหน้าตัก ปรับลมหายใจเข้าออก
เมื่อครู่ไปยั่วยุนักพรตชื่อหยวนผู้นั้นมา ซ้ำยังถูกฟาดด้วยแส้หางม้าของเขา ทำให้พลังงานค่อนข้างยุ่งเหยิง
แต่เขาไม่ได้จากไป ยิ่งรู้สึกว่าสถานที่ที่อันตรายที่สุดคือสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด เขาพักฟื้นอยู่ในป่าวั่นไหวอันมืดมนแห่งนี้ และได้สำรวจว่าปีศาจโสมอยู่ที่นี่หรือไม่
แต่เขากลับคิดไม่ถึงว่าฉินหลิวซีจะมาเร็วเพียงนี้
ดวงอาทิตย์กำลังจะตกดิน บนท้องฟ้ามีเมฆดำก่อตัว ปกคลุมดวงอาทิตย์ ป่าที่มีอาณาเขตกว้างขวางมืดมนไปหมด ยิ่งทำให้ป่าหนาทึบแห่งนี้ราวกับยามกลางคืน
พายุกำลังก่อตัว
มีลมพัด ยอดไม้ส่งเสียงดัง เสียงลมร้องครวญครางราวกับเสียงผีคร่ำครวญ
ซาหยวนจื่อลืมตาขึ้นทันที มองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง รู้สึกถึงลางร้ายเล็กน้อย
แย่แล้ว
ฝ่ามือทั้งสองข้างของเขาตกลงบนพื้น บิดตัว ตีลังกาลอยขึ้นมากลางอากาศอย่างคล่องแคล่ว
ปัง
ยันต์ห้าสายฟ้าผ่าลงมาตรงตำแหน่งที่เขานั่งเมื่อครู่นี้
“ศิษย์น้องเล็ก เจ้าหาที่นี่พบจนได้” สีหน้าของซาหยวนจื่อสับสนเล็กน้อย
แม้ว่าในใจไม่อยากจะยอมรับ แต่ฉินหลิวซีเก่งกาจมากกว่าที่เขาคิดไว้จริงๆ ซ้ำยังมาฆ่าเขาถึงที่นี่
ฉินหลิวซีไม่เอ่ยคำพูดไร้สาระ โยนยันต์กักขังหนึ่งกองออกไปในทันที ล้อมรอบเขาไว้ตรงกลางไม่สามารถหลบหนีได้ ในมือถือกริชกิเลนพุ่งเข้าไปหา
กริชพุ่งตรงไปที่คอของเขา
รูม่านตาของซาหยวนจื่อหดลง นางต้องการฆ่าเขาจริงๆ ด้วย
ทำไมกัน เป็นเพราะเขาหาอารามชิงผิงพบแล้วลงมือกับอาจารย์ของนางหรือ
ซาหยวนจื่อไม่กล้าคิดอย่างละเอียด รีบถอยหลังอย่างรวดเร็ว หยิบดาบออกมาจากเอวเผชิญกับกริชของนางไว้
ตึง!
ดาบและกริชของทั้งสองกระเด็นออกทันทีที่สัมผัสกัน
ฉินหลิวซีย่อตัวลงเพื่อหลบดาบที่เต็มไปด้วยความชั่วร้ายเล่มนั้น ยกกริชกิเลนฟันที่ขาของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ซาหยวนจื่อเจ็บปวด ดาบในมือฟันลงไป มืออีกข้างหนึ่งหยิบขลุ่ยกระดูกขึ้นมาเป่า
เสียงขลุ่ยทะลุเข้าไปในแก้วหู ทำให้เกิดความเจ็บปวด ราวกับว่าฉินหลิวซีไม่ได้ยิน ใช้กริชกิเลนแทงขาอีกข้างของซาหยวนจื่ออีกครั้ง ในขณะเดียวกันยืนด้วยเท้าหนึ่งข้าง เท้าอีกข้างหนึ่งยกไปข้างหลังแล้วเตะไปที่ดาบเล่มนั้น
เสียงขลุ่ยของซาหยวนจื่อหยุดลงชั่วขณะ ถอยหลังอย่างต่อเนื่อง
ฉินหลิวซีโผล่ขึ้นมาจากหว่างขาของเขาราวกับงู ขาทั้งสองข้างชิดกัน ปีนขึ้นไปอย่างรวดเร็ว นั่งลงบนบ่าของเขาแล้วยกกริชขึ้นแทงลงไป
ชิ้ง
ซาหยวนจื่อใช้ดาบสะกัดกริชของนางอีกครั้ง ล้มลงไปกลับพื้น ดาบฟันไปข้างหลัง
ฉินหลิวซีกลิ้งออกไปด้านข้าง ใช้มือซ้ายออกแรงดึง
ซาหยวนจื่อตกตะลึง ก้มลงมอง ไม่รู้ว่าคอของตัวเองถูกพันด้วยเส้นใยบางๆ ที่เหนียวแน่นไร้เทียมทานตั้งแต่เมื่อไหร่
แย่แล้ว เขาจะตายแล้ว
ซาหยวนจื่อรู้สึกว่าคอของเขามีรอยแยก มีเลือดไหลออกมา แต่ในใจกลับรู้สึกสงบขึ้นมาเล็กน้อย ในทันที
ดูเหมือนว่าตายด้วยน้ำมือของนางก็ไม่มีอะไรต้องขุ่นเคือง
“เศษสวะ!”
มีเสียงตะโกนดังมาจากกลางอากาศ ทันใดนั้นพลันมีมือที่ถือกระบองทองโจมตีไปที่ฉินหลิวซี