คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 671 กระดูกพุทธะชิ้นที่สาม
ตอนที่ 671 กระดูกพุทธะชิ้นที่สาม
หนึ่งต่อสอง
ฉินหลิวซีเห็นกระบองทองฟาดเข้ามา มือก็ออกแรงดึง ก่อนจะดีดตัวออกไปอย่างรวดเร็ว แล้วพลิกตัวอย่างคล่องแคล่ว
ฟู่ๆ
เลือดบนคอของซาหยวนจื่อไหลออกมา เท้ากระตุกเล็กน้อย
ชื่อเจินจื่อเห็นดังนั้นก็โมโหเป็นอย่างมาก เจ้าคนขี้แพ้เกือบจะทำตัวเองตายแล้ว เหตุใดเขาจึงได้ช่วยคนขี้แพ้เช่นนี้
เขารีบท่องคาถาห้ามเลือด เสกไปที่บนคอของซาหยวนจื่อ
เลือดหยุดไหลทันที
ฉินหลิวซีเหลือบมองไปยังคนที่อยู่ตรงข้ามผู้นั้น สบถอย่างเย็นชา “คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าจะล่อเจ้าออกมาได้ง่ายๆ เช่นนี้ คิดว่าเจ้าจะหดหัวอยู่ในกระดองไม่ออกมาตลอดไปเสียอีก ชื่อเจินจื่อ!”
“เจ้าเด็กสามหาว!” ชื่อเจินจื่อร่ายคาถา กระบองทองในมือยาวขึ้นกว่าเดิม โจมตีไปยังฉินหลิวซี “อาจารย์อาจะสอนเจ้าแทนอาจารย์เจ้าว่าการให้ความเคารพอาจารย์คืออะไร”
“อาจารย์อา? ถุย! สารเลวอย่างเจ้าคู่ควรเป็นอาจารย์อาข้าด้วยหรือ เจ้าเป็นอาจารย์อาที่ไร้ประโยชน์ เป็นความอัปยศของอารามชิงผิงของข้า คนทรยศ คนขี้แพ้” ฉินหลิวซีหลบกระบองทองนั่น ไม่ลืมที่จะเอ่ยทิ่มแทงอีกหนึ่งประโยค “ซ้ำยังเป็นโจรกระจอก”
ชื่อเจินจื่อโกรธมาก ลงมือโหดเหี้ยมยิ่งกว่าเดิม
กระบองทองนี้เป็นอาวุธวิเศษของอารามชิงผิง เป็นอาวุธวิเศษที่พุทธศาสนานิกายตันตระในอดีตมอบให้กับบรรพชนผู้บุกเบิก ไม่เพียงแต่สามารถปราบปีศาจสยบมารร้าย ซ้ำยังทำให้จิตวิญญาณของคนอ่อนกำลังลง เพราะเมื่ออีกฝ่ายโจมตีก็จะปรากฏแสงสีทองราวกับสายฟ้า ทำให้รู้สึกเวียนหัว
ฉินหลิวซีแปะยันต์ลงบนร่างกายของตัวเอง เขย่งปลายเท้า พุ่งไปหาเขา “ไม่เพียงแต่ขโมยของ ซ้ำยังขโมยร่างของคนอื่น บาปเต็มตัว ตายไปก็ไม่น่าเสียดาย เจ้าคนต่ำช้า”
ฉึก
มือของชื่อเจินจื่อถูกกริชกิเลนแทงเข้าใส่ เจ็บปวดจนร้องออกมาเบาๆ มองดูแขนของตัวเองตามสัญชาตญาณ
ดูเหมือนเขาจะได้ยินเสียงเนื้อร้อนฉ่า
เป็นไปได้อย่างไร
ในเวลานี้เขาก็ไม่กล้าตรวจสอบ เพียงแต่มีสีหน้าเคร่งขรึม
คิดไม่ถึงว่าคนหน้าซื่ออย่างชื่อหยวนจะรับลูกศิษย์ที่จัดการได้ยากเช่นนี้ ซ้ำยังไม่มีความอ่อนแอ
ดีกว่าคนขี้แพ้ที่เขาเก็บมาเสียอีก
ชื่อเจินจื่อชอบประลองกับศิษย์พี่ชื่อหยวนมาโดยตลอด เมื่อหลายสิบปีก่อนถูกเขาสังหาร เหลือเพียงแค่เศษเสี้ยววิญญาณ ไม่ง่ายเลยที่จะรอดมาได้ รับลูกศิษย์มาก็ยังเทียบเขาไม่ได้
น่าอับอายขายหน้า
ทำไมโชคของเขาจึงดีกว่าตัวเอง
ชื่อเจินจื่ออิจฉาตาร้อน ลงมืออย่างไม่มีขอบเขตอีกต่อไป
ฉินหลิวซีหยิบยันต์ห้าสายฟ้าออกมาหลายแผ่น แสยะยิ้มพลางเอ่ย “ไม่เพียงแต่ร่างกายนี้ไม่ใช่ร่างที่แท้จริงของเจ้า ซ้ำเจ้ายังฆ่าคนขโมยร่าง เดิมทีก็น่ารังเกียจอยู่แล้ว สวรรค์ปล่อยเจ้า แต่ข้าไม่ปล่อยเจ้า ทำลายทิ้งซะ”
ปังๆๆ
มือทั้งสองข้าของชื่อเจินจื่อร่ายคาถาใช้ม่านอาคมเล็กปกป้องตัวเอง ตะโกนร้องขึ้นว่า “บัดซบ!”
เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่สามารถต้านทานการทำลายอย่างรวดเร็วของยันต์ได้ ยังคงได้รับผลกระทบทำให้จิตวิญญาณไม่มั่นคงเล็กน้อย
ฉินหลิวซีพูดถูก แม้ว่าเขาจะหาร่างที่วันเดือนปีเกิดเดียวกัน และวิญญาณของเจ้าของร่างเดิมนั้นก็ได้ถูกเขาหล่อหลอมแล้ว แต่สุดท้ายก็เทียบไม่ได้กับร่างของตัวเอง ร่างกายและวิญญาณประสานกันได้ไม่ดีนัก
ตามหลักทั่วไปแล้ว เขานับว่าเป็นวิญญาณเร่ร่อน ถูกยันต์ห้าสายฟ้าที่มีพลังสังหารปราบสิ่งชั่วร้ายโจมตี วิญญาณย่อมได้รับความเสียหาย
เจ้าเด็กเมื่อวานซืนนี้ใช้ยันต์มาต่อกรกับเขาได้สมเหตุสมผลเป็นอย่างมาก
ชื่อเจินจื่อร่ายค่ายอาคมหมื่นโครงกะโหลกโดยไม่แม้แต่จะคิด
พลังงานหยินจากท้องฟ้าอันมืดมิดกับดวงวิญญาณอยุติธรรมจำนวนนับไม่ถ้วน สิ่งที่เห็นล้วนเป็นกระดูก มีกระดูกรวมตัวเป็นโครงกระดูกคนพุ่งมาที่นาง และมีกะโหลกที่อ้าปากกว้างเตรียมจะกลืนกินนาง
ซ้ำยังมีดวงวิญญาณร้ายเหล่านั้นที่เห็นนางราวกับเห็นอาหารบำรุงกำลังอันโอชะ
“แสงทองแห่งบุญกุศล บุญกุศลเต็มไปหมด” วิญญาณร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนกรีดร้องพุ่งเข้ามา ตราบใดที่ขโมยร่างของนางมาได้ ก็จะได้นิพพานเกิดใหม่ ไปจากทุ่งกระดูกอันมืดมนแห่งนี้
วิญญาณร้ายเคลื่อนไหว พลังงานหยินหมุนวนราวกับพายุ
เสียงกระดูกดังกึกก้อง มุ่งไปหาฉินหลิวซี
นางยืนอยู่ท่ามกลางกระดูก ราวกับเรือลำเล็กที่ล้อมรอบด้วยคลื่นลูกใหญ่ที่กำลังซัดเข้ามาหานาง พยายามจะกลืนกิน
“ของข้า ให้ข้า”
“เป็นสตรีหรือนี่ ร่างกายนี้ต่อให้เป็นสตรีข้าก็ยอม”
วิญญาณร้ายกำลังบ้าคลั่ง
“อยากได้ร่างของข้า ฝันไปเถิด!” ฉินหลิวซีมองดูทุ่งกระดูกหมื่นชิ้น มีแสงอันเย็นชาในดวงตา
เมื่อนางคิดขึ้นมา
พรึบ
เปลวไฟสีแดงราวกับเลือดลุกโชนขึ้นมาจากร่างของนาง
“อ๊ากกก!”
วิญญาณหยินที่กระโดดเข้ามาหาหลบไม่ทัน พากันกรีดร้องโหยหวน ถูกเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่านในทันที
วิญญาณร้ายและกระดูกราวกับคลื่นน้ำถอยกลับไป ตัวสั่นเทา
“มันคือไฟนรก บนตัวนางมีไฟนรก หนี รีบหนีเร็ว” ไม่รู้ว่าใครร้องตะโกน
ฉินหลิวซีแสยะยิ้ม “หนีไม่พ้นหรอก”
ทุกย่างก้าวของนางได้กำจัดวิญญาณร้ายและแผดเผาโครงกระดูกไปทีละตน กระทั่งเดินไปจนถึงกลางค่ายอาคม ยกเท้าขึ้นแล้วเหยียบลงบนกระดูกสีขาวเล็กๆ ที่งอกขึ้นมาจากพื้นดินอย่างรุนแรง
ฟู่
ไฟนรกลุกลามไปทุกทิศทาง เปลวไฟราวกับงูกลืนกินบาปกรรมทั้งปวง
ชื่อเจินจื่อพึ่งจะดึงลูกศิษย์ขี้แพ้ของตัวเองขึ้นมา ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงบางอย่าง เมื่อหันกลับไปมองพบว่าแผ่นค่ายอาคมหมื่นโครงกระดูกที่เขาหล่อหลอมนั้นเริ่มแตกร้าวแล้ว
เป็นไปได้อย่างไร เหตุใดจึงเร็วเช่นนี้ เกิดอะไรขึ้นข้างใน
กึก
แผ่นค่ายอาคมแยกออกเป็นสองซีกอย่างสมบูรณ์และเริ่มเผาไหม้
ดวงตาของชื่อเจินจื่อหรี่ลง เพราะเขาเห็นไฟสีแดงพุ่งมาที่เขา แล้วล้อมรอบเขาเอาไว้
“อ๊าก” ชื่อเจินจื่อกรีดร้อง สามจิตเจ็ดวิญญาณของเขาเจ็บปวดอย่างรุนแรง ไม่มีกะจิตกะใจมาสนใจซาหยวนจื่อที่อยู่บนพื้น ท่องคาถาถอดวิญญาณออกจากร่าง หายตัวหนีไปอย่างรวดเร็ว
ฉินหลิวซีเก็บไฟแล้วไล่ตามไป ยังไม่ทันได้ไล่ตามออกไปจากป่าวั่นไหว กลิ่นอายของชื่อเจินจื่อก็ไม่เหลือร่องรอยแล้วแม้แต่นิดเดียว
นางสีหน้ามืดมน
ในที่สุดนางก็รู้แล้วว่าเหตุใดชื่อเจินจื่อจึงตายแล้วฟื้นกลับคืนมาได้ ปรากฏว่าเขาได้กระดูกพุทธะมาหนึ่งชิ้น เมื่อครู่ตอนที่วิญญาณของเขาหนีไป นางรู้สึกถึงพลังงานของกระดูกพุทธะนั่น เหมือนกับที่นางได้รับมาก่อนหน้านี้ ต้องเป็นกระดูกจากร่างเดียวกันอย่างแน่นอน
ไม่แปลกใจเลยที่มีชีวิตรอด นี่คือโอกาสของเขา
นี่มันโชคขี้หมาอะไรกัน
ฉินหลิวซียืนอยู่ที่เดิม กัดฟันด้วยความโกรธ
นางกลับไปยังสถานที่ที่ซาหยวนจื่ออยู่ อีกฝ่ายลมหายใจรวยริน แต่กลับไม่ได้หนี
“อาจารย์ของเจ้าไม่ต้องการเจ้าแล้ว ข้าใจดีจะช่วยส่งเจ้าให้!” ฉินหลิวซียกกริชกิเลนขึ้นมา แล้วแทงลงไปที่หัวใจของเขา
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนปรากฏตัวทันเวลา “นังหนู ไม่ได้นะ”
ปลายกริชของฉินหลิวซีหยุดอยู่บนหน้าอกของเขา หันกลับไปมอง นักพรตเฒ่าชื่อหยวนรีบมาหา เอ่ยว่า “อย่าสร้างบาปชีวิต เขาไม่คู่ควร”
“เขาสมควรตาย” ฉินหลิวซีสีหน้าเย็นชา ปลายกริชจมลึกลงไปอีกเล็กน้อย
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนเข้าไปดึงมือนางไว้ เอ่ย “เขาเป็นคน เจ้าฆ่าเขาไม่ได้ บาปกรรมทั้งหมดที่เขาทำย่อมต้องให้เขาชดใช้ในภายหลัง แต่ไม่ควรตายด้วยน้ำมือเจ้า เขาไม่คู่ควร อย่าเพิ่มบาปชีวิตเพราะคนเช่นนี้”
ฉินหลิวซีเม้มริมฝีปาก “ข้าฆ่าเฉพาะคนที่สมควรถูกฆ่า ข้าไม่ผิด”
“เชื่อฟังอาจารย์” นักพรตเฒ่าชื่อหยวนไม่กล้าปล่อยมือ “พวกเราสามารถทำลายตบะของเขาได้ ให้เขาไม่สามารถทำร้ายผู้อื่นได้อีก”
ฉินหลิวซีก้มลงมองซาหยวนจื่อ อีกฝ่ายกลับฉีกยิ้มให้นาง เป็นรอยยิ้มชั่วร้ายบนกากบาทรูปใหญ่ ทำให้ดูน่าเกลียดและร้ายกาจยิ่งขึ้น
“เจ้ายิ้มอะไร คนอัปลักษณ์!” ฉินหลิวซีตัดเอ็นข้อมือและเอ็นข้อเท้าของเขา
ในป่าแห่งนี้ มีเสียงกรีดร้องโหยหวนทำให้วิญญาณร้ายที่อยู่ห่างไกลออกไปสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
ไฟนรกได้ปรากฏขึ้นที่นี่ ดินแดนหล่อเลี้ยงวิญญาณกลายเป็นดินแดนหายนะ อยู่ต่อไม่ได้แล้ว ต้องย้ายบ้านเดี๋ยวนี้