คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 679 เรื่องตบหน้าข้าถนัด
ตอนที่ 679 เรื่องตบหน้าข้าถนัด
สหายเก่าของเหยียนฉีซานก็เป็นปัญญาชนผู้ยิ่งใหญ่ ที่สอนวิชาความรู้แก่ผู้คน เขาคือเจ้าสำนักศึกษาอวี๋หังที่มีชื่อเสียงที่สุดในอวี๋หังนามว่าเหวินฝู่หลิน
เหวินฝู่หลินกับภรรยารักใคร่กลมเกลียว หลายปีมานี้มีบุตรสาวเพียงคนเดียวนามว่าเหวินจิ่นซู เลี้ยงดูดั่งบุตรชายมาตั้งแต่เด็ก นับว่าเป็นคุณชายที่มีชื่อเสียงในอวี๋หัง เปิดสำนักศึกษาสำหรับสตรี สามีนามว่าจังหัวก็ได้แต่งเข้ามาในจวน ซ้ำยังเป็นศิษย์คนโปรดของเหวินฝู่หลิน
เหวินจิ่นซูกับจังหัวให้กำเนิดบุตรชายสองคน บุตรชายคนโตแซ่เหวิน บุตรชายคนรองแซ่จัง สามีภรรยารักกันหวานชื่น เคารพซึ่งกันและกัน หากไม่ใช่เพราะจังหัวป่วยร้ายแรงขึ้นมากะทันหัน ครอบครัวก็คงจะมีความสุขเป็นอย่างมาก
“ลูกเขยของสหายเก่าข้ามีความสามารถด้านวรรณกรรมมากเช่นกัน แม้ว่าจะพึ่งสอบได้จวี่เหริน[1] แต่ก็ได้ตระเตรียมเข้ารับตำแหน่งเจ้าสำนักศึกษาอวี๋หังคนต่อไปแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าจะเกิดอาการป่วยรุนแรงขึ้นมาอย่างกะทันหัน เป็นเรื่องน่าเสียดาย” เหยียนฉีซานถอนหายใจ
ฉินหลิวซีเอ่ย “ไม่ได้เป็นบัณฑิตจิ้นซื่อก็สามารถเป็นว่าที่เจ้าสำนักได้ด้วยหรือ”
“ตราบใดที่มีความรู้มากพอ มีความสามารถเพียงพอก็ย่อมได้ ในการสอนวิชาความรู้แก่ผู้คน ไม่จำเป็นต้องเป็นบัณฑิตจิ้นซื่อ ความจริงแล้วปัญญาชนในใต้หล้านี้ ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะยินดีหรือเหมาะกับงานในราชสำนัก บางคนเหมาะกับการเป็นอาจารย์มากกว่า ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่เป็นขุนนางหลังจากสอบติดบัณฑิตจิ้นซื่อ แต่กลับสอนหนังสือ เช่นเดียวกันกับเจ้าสำนักเหวินสหายเก่าข้า สอบติดบัณฑิตจิ้นซื่อแต่กลับเลือกที่จะกลับมาสอนหนังสือที่อวี๋หัง อีกทั้งยังมีถังจื่อสือ อาจารย์เจ้า ที่ก็สอบติดบัณฑิตจิ้นซื่อเช่นกันแต่ไม่เข้ารับราชการ ทั้งยังมีข้าที่เป็นขุนนางมาสองปีก็ลาออก”
เอาเถิด นักปราชญ์มักจะเข้าใจนักปราชญ์ด้วยกัน เสียมารยาทแล้ว
เหยียนฉีซานภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก เอ่ย “แม้ว่าจังจวี่เหรินผู้นี้จะเกิดจากอนุ ไม่เป็นที่พึงใจของคนในตระกูล แต่เพราะเนื่องจากแต่งเข้ามาจึงทั้งอ่อนน้อมและถ่อมตัว สหายเหวินก็พอใจเป็นอย่างมาก”
“บุตรชายอนุ? เป็นลูกหลานตระกูลขุนนาง?”
เหยียนฉีซานพยักหน้า กล่าวว่า “เขาเป็นบุตรชายของจังจื้อหย่วน ผู้ตรวจราชการเจียงหนาน”
“แม้ว่าจะเป็นบุตรชายอนุ แต่ก็ถือว่าสถานะสูงส่ง เหตุใดจึงได้แต่งเข้ามา” ฉินหลิวซีอยากรู้เป็นอย่างมาก
ตระกูลเช่นนี้ แม้ว่าจะเป็นบุตรอนุ แต่ในเมื่อเป็นคนมีความสามารถและไม่ใช่พวกเสเพลเช่นนั้น กลับยอมให้เขาแต่งเข้ามา?
หากไปสอบราชสำนัก ได้เป็นบัณฑิตจิ้นซื่อเข้ารับราชการก็จะเป็นแรงสนับสนุนวงศ์ตระกูลไม่ใช่หรือ
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดเขาจึงไม่เป็นที่พึงใจของตระกูล เป็นเพราะตอนที่เขายังเด็ก ได้ถูกพวกค้ามนุษย์ลักพาตัวไปกับพี่ชายที่เป็นบุตรของภรรยาเอก เขามีชีวิตรอดมาได้ แต่พี่ชายกลับเสียชีวิตกะทันหัน” เหยียนฉีซานเอ่ยต่อ “และยังมีอีกหนึ่งข่าวลือก็คือเขาฆ่าพี่ชายซึ่งเป็นบุตรภรรยาเอกของเขา แต่หลังจากที่ตรวจสอบอย่างละเอียด นายท่านน้อยตระกูลจังผู้นั้นตายด้วยน้ำมือของโจรที่ลักพาตัวไปจริงๆ แต่ทั้งสองคนถูกลักพาตัวไปด้วยกัน เขาดันรอดมาได้ ฮูหยินจังจะยอมปล่อยเขาไปได้อย่างไร คิดมาเสมอว่าเขาเป็นคนทำร้ายพี่ชายที่เป็นบุตรชายภรรยาเอกคนโตของเขา แทบจะสับเขาทั้งเป็น”
“โชคดีที่ตอนนั้นตระกูลจังมีบุตรชายเพียงสองคน แม้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลจังผู้นั้นจะเจ็บปวดใจ แต่ก็ทำใจให้ทายาทหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ถูกทำลายไม่ได้ ดังนั้นจึงส่งเขาไปเลี้ยงไว้ที่จวนเก่าตั้งแต่ยังเด็ก ต่อมาฮูหยินจังได้พยายามอย่างหนักจนให้กำเนิดบุตรชายสองคนติดต่อกัน ซึ่งช่วยบรรเทาความเจ็บปวดจากการสูญเสียบุตรชายของนางได้เล็กน้อย แล้วเป็นอย่างไร หลังจากที่เกิดเรื่องกับจังหัวผู้นั้น เขาก็ได้กินมังสวิรัติมาหลายปี เพื่อสั่งสมบุญกุศลให้พี่ชายซึ่งเป็นบุตรชายภรรยาเอกของเขาผู้นั้น
ส่วนที่เจ้าถามว่าเหตุใดจึงแต่งเข้ามา ตระกูลจังมีบุตรชายภรรยาเอก ไหนเลยจะใส่ใจบุตรชายอนุ อีกอย่างการที่ทั้งสองตระกูลเกี่ยวดองกัน สิ่งที่ให้ความสำคัญที่สุดคือผลประโยชน์ เขาแต่งเข้าตระกูลเหวิน ในทำนองเดียวกันเขาก็ได้นำความสัมพันธ์ของตระกูลเหวินมาสู่ตระกูลจัง และสำนักศึกษาของตระกูลเหวินก็ได้ให้กำเนิดเสาหลักไปแล้วกี่ต้น” เหยียนฉีซานเอ่ยด้วยความเขินอายว่า “ตระกูลจังไม่พึงใจเขา แต่กลับไม่ยอมสละผลประโยชน์ที่เขานำมาให้ กล่าวได้ว่าทั้งกดทับเขาทั้งดูดเลือดเขา”
“ฟังดูน่าสงสารนัก แต่ท่านอย่าลืมว่าหากไม่ได้รับการอนุญาตจากคนในตระกูล เขาจะมีความสามารถขนาดนี้ได้อย่างไร การกดทับอย่างแท้จริงจะไม่มีทางให้บุตรชายอนุศึกษาตำราจนมีความสามารถโดดเด่น” ฉินหลิวซีเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจนัก “ส่วนเรื่องที่ถูกลักพาตัว คนก็ตายไปแล้ว ไม่มีหลักฐาน จะรู้เรื่องภายในได้อย่างไร”
เหยียนฉีซานตกตะลึง ส่ายหน้าพลางเอ่ย “คงจะเป็นอุบัติเหตุจริงๆ คนอย่างจังหัว มีนิสัยนอบน้อมถ่อมตนจริงๆ”
ฉินหลิวซีกลับนึกถึงเฉิงเหวินยวนจวนฉังชวนปั๋วผู้นั้น เอ่ย “รู้หน้าไม่รู้ใจ หลังจากผ่านเหตุการณ์โศกนาฏกรรมเช่นนี้ก็จะยิ่งระมัดระวังมากขึ้น มีบางคนที่เสแสร้งแกล้งทำเก่งมาก ไม่แน่อาจจะสวมหน้ากากหลายใบ”
เหยียนฉีซานมองนาง “เหตุใดจึงรู้สึกว่าเจ้าไม่เชื่อจังหัวผู้นี้”
“ไม่ทราบเรื่องราวทั้งหมดไม่อาจแสดงความคิดเห็นได้ ยังไม่เคยเจอเขา ข้าไม่ขอออกความเห็น” ฉินหลิวซีโบกมือ
เหยียนฉีซานกลับรู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย ยิ่งนางเป็นเช่นนี้ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าใบหน้าตึงเครียดมากขึ้น รู้สึกราวกับว่าอาจจะถูกตบหน้าก็เป็นได้
อย่างไรเสียก่อนหน้านี้ก็เคยได้เห็นในกรณีของจื่อสือมาแล้ว
คงไม่โดนตบหน้าหรอก…กระมัง
รถม้าหยุดอยู่ที่หน้าจวนเหวิน มีผู้ดูแลเดินเข้ามาวางเก้าอี้รองเท้าหน้ารถม้าด้วยตัวเอง พยุงเหยียนฉีซานลงมา
ฉินหลิวซีกระโดดตามลงมาทันที
“ตาเฒ่า ท่านนี้ก็คือหมอฝีมือเก่งกาจที่ข้าพูดถึง” เหยียนฉีซานยิ้มพลางแนะนำฉินหลิวซี เอ่ย “เป็นเจ้าอาวาสน้อยอารามชิงผิงในเมืองหลี และเป็นหมอเต๋า”
ผู้ดูแลรู้สึกประหลาดใจที่ฉินหลิวซีอายุน้อยเช่นนี้ แต่ก็ไม่ได้เสียมารยาท ยกมือขึ้นคำนับ กล่าวว่า “รบกวนให้อาจารย์เหยียนกับท่านเจ้าอาวาสน้อยต้องเดินทางมาในตอนกลางคืนแล้ว”
ฉินหลิวซีพยักหน้า
ผู้ดูแลพาพวกเขาเข้าไปข้างใน ผ่านลานด้านในเข้าไปในส่วนลึกของจวน มาที่ห้องตำราของเหวินฝู่หลินก่อน ทั้งสองฝ่ายคารวะซึ่งกันและกัน จากนั้นก็ไปที่เรือนของจังหัว
เหวินฝู่หลินดึงแขนเสื้อเหยียนฉีซาน ถามเสียงเบาว่า “เด็กคนนี้อายุน้อยเกินไปแล้วกระมัง จะรักษาโรคร้ายของลูกเขยข้าได้จริงหรือ”
เหยียนฉีซานเอ่ย “ข้าก็ไม่ได้บอกว่าได้ผลแน่นอน แต่นางมีความสามารถอยู่บ้างจริงๆ อย่างไรเสียลูกเขยของเจ้าก็พบหมอมาแล้วไม่น้อยแต่ก็ยังไม่หาย เปลี่ยนหมอมาวินิจฉัยบ้างก็ไม่เป็นไร ก็ไม่ได้ทำให้อาการทรุดลงเสียหน่อย” หลังจากหยุดไปครู่หนึ่ง ก็นึกถึงนิสัยของสหายเก่าผู้นี้ขึ้นมา จึงเอ่ย “แต่ไม่ว่าอย่างไร อารมณ์บูดๆ ของเจ้าก็เพลาๆ ลงให้ข้าหน่อยเถิด อย่าโมโหหากนางรักษาได้ไม่ดีหรือตรวจพบอะไรขึ้นมา”
เหวินฝู่หลินจ้องเขาอย่างไม่สบอารมณ์ ดูเจ้าปกป้องเข้าสิ กลัวว่าเขาจะกินคนหรือ
เมื่อเหวินจิ่นซูได้รับข่าวก็มารออยู่ที่หน้าประตูเรือนนานแล้ว เมื่อเห็นฉินหลิวซีก็ประหลาดใจเล็กน้อย ยิ้มพลางคารวะ
ฉินหลิวซีคารวะกลับตามวิถีเต๋า เมื่อเห็นสีหน้าซีดเซียวของเหวินจิ่นซู สายตาพลันลุ่มลึกขึ้นเล็กน้อย
จากนั้นเหวินจิ่นซูก็คารวะเหยียนฉีซานและท่านพ่อ แล้วจึงได้พาพวกเขาเข้าไปที่เรือนปีกตะวันตก ซึ่งจังหัวย้ายไปอยู่ที่นั่นหลังจากที่เขาป่วยหนัก
ทันทีที่ฉินหลิวซีเดินเข้ามาก็ได้กลิ่นเหม็นเน่าแอบแฝงอยู่ เดินเข้าไปด้วยสีหน้านิ่ง เมื่อเข้าไปในห้องนอน กลิ่นเหม็นก็ยิ่งรุนแรงขึ้น
จังหัวเอนตัวพิงหัวเตียง ปล่อยตัวเล็กน้อย เมื่อเห็นมีคนมาก็จะลุกขึ้นคารวะ
เหวินจิ่นซูเข้าไปพยุงเขา “ไม่ต้องขยับแล้ว”
อาจเป็นเพราะอาการป่วย จังหัวผอมซูบเป็นอย่างมาก แก้มทั้งสองข้างตอบลงไป เงยหน้าขึ้นขอโทษเหยียนฉีซานและคนอื่นๆ
เหยียนฉีซานจ้องมองสีหน้าของฉินหลิวซีอยู่ตลอด เมื่อเห็นใบหน้าไร้ความรู้สึกของนางก็ใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ ทันที เอ่ย “จิ่นซู รีบให้เจ้าอาวาสน้อยดูอาการป่วยของสามีเจ้าเร็วเข้า”
เหวินจิ่นซูรีบให้จังหัวหันหลัง ดึงเสื้อซับในของเขาลง ทันใดนั้นก็มือสั่น ตกใจถอยหลังไปหลายก้าว กรีดร้องด้วยสีหน้าซีดขาว “นี่มัน กลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร”
เหยียนฉีซานกับเหวินฝู่หลินพากันตกใจ อ้าปากค้าง
ฉินหลิวซีมองดูแล้วยิ้มนิ่งๆ พลางหันไปมองเหยียนฉีซาน เอ่ย “เรื่องตบหน้าข้าถนัด!”
[1] จวี่เหริน บุคคลที่สอบได้ตำแหน่งบัณฑิตระดับชุมชน