คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 695 เรื่องการหมั้นหมายต้องเหมาะสมตามความเป็นจริง
- Home
- คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า
- ตอนที่ 695 เรื่องการหมั้นหมายต้องเหมาะสมตามความเป็นจริง
ตอนที่ 695 เรื่องการหมั้นหมายต้องเหมาะสมตามความเป็นจริง
ตั้งแต่ที่ตระกูลฉินเกิดเรื่องจนถึงตอนนี้ ตระกูลติงตีตัวออกห่างจากสถานการณ์ดังกล่าว ปฏิเสธที่จะพบนางฉินผู้เฒ่าเพราะกลัวจะถูกลากเข้าไปเกี่ยวและขอความช่วยเหลือ ต่อมาได้มาขอโทษถึงบ้านและถูกนางฉินผู้เฒ่าปฏิเสธที่จะพบกลับคืน และมาถึงตอนนี้ก็ทำเหมือนไม่เคยมีเรื่องใดเกิดขึ้น ส่งเทียบเชิญมาเชิญไปร่วมงานเลี้ยง อย่างที่ฉินหลิวซีกล่าว ใบหน้าของตระกูลติงทำมาจากกำแพงเมืองกระมัง
แต่นี่ก็เข้าใจได้ ศักดิ์ศรีไม่สามารถกินเป็นข้าวได้ ไหนเลยจะเทียบกับผลประโยชน์ได้ โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในแวดวงราชการ ยิ่งให้ความสำคัญกับเส้นสาย เมื่อเห็นว่าผู้คนจำนวนมากได้รับความช่วยเหลือจากฉินหลิวซี ซ้ำยังเป็นขุนนางที่ตระกูลติงเอื้อมไม่ถึง คนในตระกูลติงจะนั่งอยู่นิ่งได้อย่างไร จึงได้มาตามกลิ่น ต้องการจะสร้างความสัมพันธ์
เป็นเรื่องดีที่ตระกูลติงไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง มิเช่นนั้นผู้คนที่ฉินหลิวซีได้รู้จักในเมืองหลวงเป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนเหล่านั้นจึงจะเป็นผู้มีอำนาจที่ยืนอยู่บนยอดพีระมิด จะไม่ทำให้ไฟในตาพวกเขาลุกโชนกันหรือ
แต่เพียงแค่สิ่งที่พวกเขาสืบมาเหล่านั้นก็เพียงพอที่จะให้พวกเขาทิ้งศักดิ์ศรีแล้วหน้าด้านมาเกาะแข้งเกาะขาแล้ว
ผู้คนในใต้หล้าแห่กันมาก็เพื่อผลประโยชน์ แยกทางกันก็เพื่อผลประโยชน์
การเคลื่อนไหวของตระกูลติงนั้นเข้าใจได้ง่าย
แต่ความเข้าใจก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ฉินหลิวซีจะเดินตามบทของพวกเขาหรือไม่ ก็ยากที่จะบอกได้
“คนอย่างข้าไม่ใช่คนที่ไม่เอาผิดกับเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต จับมือคืนดีและจิตใจกว้างขวาง งานเลี้ยงอะไรนั่นข้าไม่ไปแน่นอน” ฉินหลิวซียื่นมือไปจับลูกปัดดอกไม้บนมวยผมของฉินหมิงเป่าให้เข้าที่พลางเอ่ยเสียงเรียบ
เดิมทีนางก็ไม่ใช่สตรีที่เติบโตในเรือนหลัง ไม่สนใจงานเลี้ยงหลังเรือนอะไรเหล่านั้น ไม่ใช่เพราะนางดูถูก แต่เป็นเพราะไม่ชอบ การที่บรรดาสตรีแก่งแย่งชิงดีกัน สำหรับนางแล้วน่าเบื่อเป็นอย่างมาก
ส่วนประโยชน์ด้านอำนาจ นางเป็นคนในเสวียนเหมินก็ไม่ได้ต้องการสิ่งเหล่านี้ หากตระกูลฉินคิดจะใช้ประโยชน์จากนางยิ่งไม่มีทาง
ของบางอย่าง นางให้ พวกเขารับไว้ได้ แต่หากนางไม่ให้ ก็อย่าคิดยืมชื่อของนางไปใช้
ส่วนตระกูลติง คิดว่าตัวเองเป็นใคร ให้นางไปนางก็ต้องไปหรือ หากนางไปจริงๆ พวกเขาจะไม่ได้ใจหรือ
เมื่อฉินหลิวซีบอกว่าไม่ไป คนที่ร้อนใจเป็นคนแรกคือสาวน้อยฉินหมิงเย่ว์ผู้นี้ ตั้งแต่กลับมาที่บ้านเดิม เป็นครั้งแรกที่มีคนเชิญพวกนางไปงานเลี้ยง ครั้งนี้ไม่ไป แล้วครั้งหน้าล่ะ
ต่อจากนี้ไปก็เป็นเต่าหดหัวอยู่ในบ้านนี้งั้นหรือ เช่นนั้นจะมีอนาคตให้กล่าวถึงได้อย่างไร
ฉินหมิงเย่ว์และคนอื่นๆ ที่เป็นบรรดาสตรีเหล่านี้ไม่เหมือนกับฉินหลิวซี พวกนางเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่เด็ก ตอนที่ยังเล็กก็จะติดตามผู้อาวุโสไปงานเลี้ยงบ้างเป็นครั้งคราว เมื่ออายุได้สิบสองปี ก็จะยิ่งออกไปงานเลี้ยงนอกจวนบ่อยขึ้น เนื่องจากไม่ได้เป็นกฎเกณฑ์ชัดเจนในตระกูลขุนนาง เพียงแต่เมื่อตระกูลข้ามีบุตรสาววัยกำลังโต การออกไปในวัยเช่นนี้ก็จะทำให้บรรดาฮูหยินเหล่านั้นได้เห็น หากมีใครที่เหมาะสมก็จะได้เกี่ยวดองกัน
และในช่วงเวลาที่ตระกูลฉินล้มลงค่อนข้างน่าอึดอัด ฉินหมิงเย่ว์ก็อายุสิบสี่ปี ย่างเข้าสิบห้าแล้ว ควรจะคุยเรื่องการหมั้นหมายได้แล้ว หากยังอยู่ในบ้านต่อไป ก็จะกลายเป็นสาวแก่ที่ยังไม่ออกเรือนแล้วไม่ใช่หรือ
นางอายุสิบสี่ เช่นนั้นซ่งอวี่เยียนก็ยิ่งน่าอายกว่า เดือนหกปีนี้ก็จะต้องปักปิ่นแล้ว ดังนั้นเรื่องการหมั้นหมายควรจะระบุวันเวลาได้แล้ว
ฉินหลิวซีได้ยินเสียงหายใจด้วยความร้อนใจของฉินหมิงเย่ว์ เหลือบมองไป จากนั้นก็มองไปยังซ่งอวี่เยียนซึ่งอยู่ใกล้กับประตู สวมกระโปรงสีฤดูใบไม้ร่วง ท่าทีสงบนิ่ง มีแสงผ่านเข้ามาในดวงตา ในที่สุดก็ตระหนักได้ว่าพวกนางกำลังคิดอะไร
“พวกเจ้าทั้งหมดออกไปก่อน” นางมองไปยังคนเหล่านั้น
ฉินหมิงเย่ว์ชะงักไปครู่หนึ่ง อยากจะเอ่ยอะไรบางอย่าง เมื่อฉินหลิวซีลดสายตาอันเย็นชาลง นางจึงย่อเข่าคารวะอย่างไม่ลังเล แล้วถอยออกไป
คนรุ่นเล็กพากันออกไปจนหมด ฉินหลิวซีจึงได้มองไปยังนางฉินผู้เฒ่า “พวกท่านอยากจะไปร่วมงานเลี้ยงหรือ”
นางฉินผู้เฒ่า “ข้าไปไม่ได้หรอก”
ร่างกายที่ป่วยออดๆ แอดๆ ของนางนี้ทรมานให้น้อยลงจะดีกว่า
สะใภ้หวังจึงเอ่ย “ก็ไม่ได้อยากไปสักเท่าใดนัก เพียงแต่บรรดาน้องหญิงของเจ้าโตกันหมดแล้ว หลังจากกลับมาที่บ้านเดิม ก็อยู่แต่ในบ้านมาตลอด ไม่ได้ออกไปไหนเลย”
“ออกไปข้างนอก อยากจะให้คนนอกเห็นพวกนางอย่างนั้นหรือ พวกท่านอยากจะหมั้นหมายให้กับพวกนางใช่หรือไม่” ฉินหลิวซีกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ยังไม่ได้ปักปิ่นกันเลย รีบร้อนเพียงนี้เชียวหรือ”
“อวี่เยียนน้องสาวลูกพี่ลูกน้องของเจ้าจะปักปิ่นในเดือนหกแล้ว” สะใภ้หวังเหลือบมองฉินเหมยเหนียงที่มีสีหน้าอึดอัดและขมขื่น ก่อนจะถอนหายใจ
ความจริงแล้วนางอยากจะเอ่ยถึงฉินหลิวซีด้วยซ้ำ แต่ก่อนหน้านี้ฉินหลิวซีเคยบอกไปแล้วว่าจะไม่หมั้นหมาย นางจึงไม่กล้าเอ่ยถึงเรื่องนี้ต่อหน้าฉินหลิวซี
ฉินหลิวซีมองฉินเหมยเหนียงพลางเอ่ย “ตระกูลติงมีผู้ว่าการติง ผู้ที่มาร่วมงานเลี้ยงแม้ว่าจะไม่ใช่ตระกูลขุนนางทั้งหมด แต่ก็มีพ่อค้าที่ร่ำรวย แต่หากพวกท่านอยากจะช่วยดูให้นาง ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบันของตระกูลฉิน ตัวเลือกทั้งหมดอาจมีจำกัด”
เป็นความจริงที่ซ่งอวี่เยียนเป็นบุตรสาวตระกูลขุนนาง แต่กลับเป็นบุตรสาวตระกูลขุนนางที่ถูกไล่ออกมา ตระกูลของท่านตาก็ถูกตัดสินลงโทษและยังไม่ได้รับการฟื้นฟู พวกนางสองคนพี่น้องจึงทำได้เพียงติดตามฉินเหมยเหนียงกลับมาอาศัยอยู่ใต้ชายคาตระกูลของท่านตา ไม่มีสินสอดอะไร จะเลือกการหมั้นหมายที่ดีได้หรือ
ฉินเหมยเหนียงเองก็รู้ถึงสถานการณ์นี้ ดังนั้นสีหน้าจึงได้ดูแย่และซีดมากขึ้นเรื่อยๆ ความขมขื่นได้แพร่กระจายไปยังหัวใจของนาง
“การหมั้นหมายนั้นเป็นเรื่องง่าย แต่การที่จะได้หมั้นหมายกับตระกูลไหนนั้นขึ้นกับเงื่อนไขและภูมิหลังตระกูลของตัวเอง ท่านอาหญิงใหญ่ในใจรู้ดีใช่หรือไม่” ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเรียบว่า “ต้องการให้ซ่งอวี่เหยียนแต่งงานเป็นภรรยาของบุตรชายตระกูลขุนนาง หรือพ่อค้าธรรมดาทั่วไป หรือว่าจะเป็นปัญญาชนฐานะยากจนหรือบุตรตระกูลเกษตรกรรม หากเป็นภรรยาเอกของบุตรชายตระกูลขุนนาง ข้าคิดว่าสามารถเป็นได้ แต่คาดว่าจะเป็นเศษสวะที่ไม่ใช่คนดีอะไร”
“เจ้าดูถูกอวี่เยียนน้องสาวของเจ้าเกินไปแล้วกระมัง” สะใภ้เซี่ยอดเอ่ยขึ้นมาไม่ได้
ฉินหลิวซีมองไปที่นาง ยิ้มพลางเอ่ย “เช่นนั้นข้าขอถามท่านอาสะใภ้รองหน่อยเถิดว่าท่านจะเลือกอวี่เยียนหรือไม่ คิดให้ดีแล้วค่อยตอบ นางอายุมากกว่าฉินหมิงฉีเพียงแค่สามปี สตรีอายุมากกว่าสามปีมีค่าดั่งทอง[1]เชียวนะ”
สะใภ้เซี่ยโกรธจนหน้าเขียว นางจะเลือกซ่งอวี่เยียนได้อย่างไร นางไม่มีอะไรเลย ตระกูลเดิมก็ไม่มีอำนาจ ไม่มีกำลังสนับสนุน แล้วก็ไม่มีสินสอดทองหมั้นอะไรเลย
นางกล่าวอ้ำๆ อึ้งๆ ว่า “เจ้าเอ่ยเหลวไหลอะไร น้องสามของเจ้าให้ความเคารพอวี่เยียนเหมือนกับพี่สาวเท่านั้น”
ฉินเหมยเหนียงลดสายตาลง มุมปากเผยให้เห็นรอยยิ้มหยัน
“แล้วอวี่ชิงล่ะ นางก็เป็นคนน่ารักอ่อนโยน”
สะใภ้เซี่ยขมวดคิ้ว เอ่ย “กำลังพูดถึงอวี่เยียน เหตุใดจึงลามไปถึงอวี่ชิงเสียได้”
“ข้าก็เพียงอยากรู้ว่าท่านอาสะใภ้รองจะเลือกหลานสาวผู้นี้หรือไม่ เป็นดองสองชั้นเชียวนะ”
“ข้า…”
“ท่านดูเถิด แม้แต่ท่านอาสะใภ้รอง ฉินหมิงฉีก็เป็นเพียงเด็กตัวเปล่าที่กำลังเรียนหนังสือ ท่านในฐานะที่เป็นท่านน้าสะใภ้ก็ยังไม่เลือกพวกนางสองพี่น้อง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนนอก หรือว่าคนอื่นจะสนิทชิดเชื้อมากกว่าท่านน้าสะใภ้ของพวกนางได้ ท่านอาสะใภ้รอง คนอื่นไม่ได้โง่ ตระกูลขุนนางก็ดูเหมือนกันว่าลูกสะใภ้จะนำกำลังสนับสนุนมาได้หรือไม่ หากเป็นคนที่ดีเลิศ ไหนเลยจะยอมเลือกอวี่เยียนหรือฉินหมิงเย่ว์ในตอนนี้”
สะใภ้เซี่ยสีหน้ามืดครึ้ม พูดไม่ออกสักคำ
คำพูดของฉินหลิวซีนั้นเฉียบแหลม แต่คนที่อยู่ที่นี่ไม่มีใครมีข้อโต้แย้งใดๆ เพราะสิ่งที่นางกล่าวล้วนเป็นความจริง ละเอียดถี่ถ้วนมาก
แต่เป็นเพราะเข้าใจว่าสิ่งที่นางเอ่ยนั้นล้วนเป็นความจริง จึงได้ทำให้บรรดาสตรีที่อยู่ตรงนี้พากันรู้สึกหดหู่เล็กน้อย
หากเอ่ยเรื่องหมั้นหมายในตอนนี้ ตัวเลือกของซ่งอวี่เยียนนั้นมีจำกัดจริงๆ
สะใภ้หวังมองไปยังฉินหลิวซี ถามว่า “ซีเอ๋อร์ เช่นนั้นเจ้าดูโหงวเฮ้งเรื่องการแต่งงานให้กับอวี่เยียนได้หรือไม่”
ทุกคนตกตะลึง
ฉินเหมยเหนียงเองก็มึนงงเล็กน้อย แต่ก็มีการตอบสนอง สายตากระตือรือร้น
ใช่แล้ว หลานสาวผู้นี้ใช้ชีวิตอยู่ในลัทธิเต๋ามาตั้งแต่เด็ก วิชาแพทย์ดี การดูโหงวเฮ้งก็คงจะไม่แย่กระมัง นางเองก็บอกว่าสามารถไล่ผีจับวิญญาณได้ไม่ใช่หรือ
ฉินหลิวซีคิดไม่ถึงว่าสะใภ้หวังจะให้นางดูโหงวเฮ้งให้ซ่งอวี่เยียน รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยอยู่ครู่หนึ่ง จุดพลิกผันกะทันหันไปหรือไม่
[1] สตรีอายุมากกว่าสามปีมีค่าดั่งทอง เมื่อบุรุษเลือกคู่ครอง หากเขาเลือกสตรีที่อายุมากกว่าเขาสามปี สตรีผู้นั้นก็จะเป็นผู้ใหญ่มากกว่าบุรุษ อ่อนโยน มีความใส่ใจและเข้าใจ