คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 703 ขอความเมตตาได้ความเมตตา
ตอนที่ 703 ขอความเมตตาได้ความเมตตา
เมื่อเด็กออกจากร่าง เฉาหลินซื่อก็ปิดตาลง วิญญาญล่องลอยออกจากร่าง มีความมึนงงอยู่ชั่วครู่
โซ่ตรวนคล้องวิญญาณของยมทูตสะบัด คล้องข้อมือของนางเอาไว้ไม่ให้นางลอยหนีไป ทว่าไม่กล้าจากไปในทันที เพราะฉินหลิวซียังไม่เอ่ยปาก
ความสนใจของฮูหยินเฉาผู้เฒ่าในยามนี้ไปอยู่ที่ตัวเด็กทั้งหมด ไม่รับรู้ว่าลูกสะใภ้ได้จากไปแล้ว
ฉินหลิวซีตัดสายสะดือของเด็ก ยื่นหนึ่งนิ้วมากดชีพจร ทั้งใช้สองนิ้วกดที่หัวใจ ช้อนปลายคางเล็กของเขาขึ้น ดูดสิ่งสกปรกออกด้วยปาก
พวกฮูหยินเฉาผู้เฒ่าหลั่งน้ำตามอง
เฉาหลินซื่อเองก็กำลังดู รู้สึกเสียใจขึ้นมาชั่วขณะ
ฉินหลิวซีกำจัดน้ำที่เด็กสำลักในลำคอ เมื่อหายใจได้ เด็กก็เริ่มขยับ นางจึงยกเขาขึ้นและตีไปที่ก้นของเขา
“อุแว้”
เสียงร้องไห้อันแผ่วเบาของเด็กทารกราวกับเสียงแมวร้อง
แต่ทุกคนต่างพ่นลมหายใจออกมา
ฮูหยินเฉาผู้เฒ่ายิ่งน้ำตาหลั่งริน มองไปยังลูกสะใภ้ “ฉินเหนียง เด็กคนนี้…”
น้ำเสียงยินดีของนางพลันติดอยู่ในลำคอ เพิ่งพบว่ามือที่ตนกุมเอาไว้ตลอดลดอุณหภูมิลงไปนานแล้ว ลมหายใจของลูกสะใภ้ไม่เหลืออยู่แล้ว ร้องไห้เสียงดังโดยไม่อาจห้ามได้ “ฉินเหนียง”
หมัวหมัวคนสนิทเองก็ร้องไห้ขึ้นมา ทว่ายังต้องปลอบใจนาง “ฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยินน้อยจากไปแล้วเจ้าค่ะ ท่านต้องตั้งสติ คุณชายน้อยต้องพึ่งพาท่านแล้วนะเจ้าคะ”
ฉินหลิวซีบีบผลหลิงกั่ว น้ำหยดลงไปในปากเล็ก จากนั้นจึงอุ้มขึ้นมา เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้ายมทูตและเฉาหลินซื่อ ใบหน้าไร้ความรู้สึกมองไปยังเฉาหลินซื่อ “ดูสักหน่อยก่อนไปเถิด จะตั้งชื่อให้เขาหรือไม่”
เฉาหลินซื่อรู้สึกไม่กล้ามองเด็กเล็กน้อย
ทว่าพวกฮูหยินเฉาผู้เฒ่ากลับตกตะลึงไม่น้อย นางกำลังเอ่ยกับใครหรือ
หรือว่าจะเป็น
“ใช่ ใช่ฉินเหนียงหรือไม่”
นางมองไปยังตำแหน่งนั้น ไร้ผู้คน
เฉาหลินซื่อก้มลงไปมองบุตรชายที่ยังไม่ทันได้ทำความสะอาด ใบหน้ายังมีสีเขียวคล้ำดูบอบบางอ่อนแอราวกับแมวน้อย เปลือกตาเขาเคลื่อนไหวเบาๆ ดวงตาค่อยๆ ลืมขึ้น
ดวงตาเรียวยาวเหมือนกับบิดาของเขา จะต้องมีดวงตาที่กลมโตสดใสอย่างแน่นอน
“ชื่ออวิ๋นฟานเถิด” เฉาหลินซื่อเอ่ยเสียงเรียบ “เมื่อยามฝ่าลมโต้คลื่น กางใบเรือสูงข้ามทะเลกว้างใหญ่[1] ขอให้เขามีชีวิตที่ราบรื่น สงบสุขแข็งแรง”
ฉินหลิวซีพยักหน้า จากนั้นส่งเด็กคืนให้หมอตำแย “ชำระล้างให้สะอาด”
หมอตำแยเกือบอุ้มไม่อยู่ ถูกฉินหลิวซีจ้องเขม็ง จึงรับเอาไว้อย่างมั่นคง
เวลานี้ฉินหลิวซีหยิบเข็มและด้ายออกมา เริ่มเย็นท้องที่ถูกผ่าของเฉาหลินซื่อ คนไม่อยู่แล้ว นางยังคงเย็บอย่างละเอียดประณีต ราวกับกำลังเย็บเสื้อผ้า ไม่นานก็เย็บท้องน่ากลัวเสร็จเรียบร้อย จากนั้นร่ายมนต์ขจัดสิ่งสกปรก
ท้องที่เดิมเต็มไปด้วยเลือดกลายเป็นสะอาดสะอ้าน มีเพียงรอยเย็บชัดเจนที่ทำให้รู้ว่าเคยเกิดอะไรขึ้น
ฮูหยินเฉาผู้เฒ่าและหมัวหมัวคนสนิทมองตาค้าง สายตาที่มองไปยังฉินหลิวซีมีความนับถือ
ฉินหลิวซียกผ้าห่มบางขึ้นปิด ปกคลุมทุกอย่างเอาไว้
“ขอบคุณท่านลแล้ว”
ฉินหลิวซีไม่ได้หันกลับไป สัมผัสได้ถึงบุญกุศลเข้าสู่แท่นดวงจิต เพียงโบกมือ
“ใต้เท้า เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวแล้ว” ยมทูตดึงเฉาหลินซื่อไปอย่างระมัดระวัง
ฮูหยินเฉาผู้เฒ่าได้สติ มองไปยังฉินหลิวซี เอ่ยถาม “ท่านอาจารย์ ลูกสะใภ้ของข้ายังอยู่ใช่หรือไม่ นางเอ่ยอะไรหรือไม่”
“ไปแล้ว” ฉินหลิวซีมองคนที่นอนอยู่บนเตียง เอ่ย “นางตั้งชื่อให้ลูกว่าอวิ๋นฟาน ขอให้เขาใช้ชีวิตราบรื่นสงบสุข”
ฮูหยินเฉาผู้เฒ่าเศร้าโศก โน้มตัวลงไปกอดร่างของเฉาหลินซื่อร้องไห้ขึ้นมา
“ฮูหยินผู้เฒ่า อย่าได้โศกเศร้าเลยเจ้าค่ะ” หมัวหมัวคนสนิทประคองนาง น้ำตาไหลนองตามไปด้วย
หมอตำแยทำความสะอาดอวิ๋นฟานน้อยพร้อมทั้งจัดการแผลตัดสะดือเรียบร้อย ใช้ผ้าสะอาดห่อเอาไว้ อุ้มมาตรงหน้าฮูหยินเฉาผู้เฒ่า เอ่ย “ฮูหยินผู้เฒ่า ดูนายน้อยเถิดเจ้าค่ะ นายน้อยรอดพ้นจากความตายจะต้องมีบุญวาสนาในอนาคตอย่างแน่นอน”
ฮูหยินเฉาผู้เฒ่าเงยหน้า มองหลานตัวน้อยที่ถูกห่ออยู่ในห่อผ้า รับมาอุ้ม วางใกล้ใบหน้าของเฉาหลินซื่อ สะอื้นเอ่ย “เหมือนพ่อของเขาตอนเด็กๆ หลี่หมัวหมัว อุ้มไปให้นายท่านดูเถิด ค่อยให้คนเข้ามาดูแลร่างของฮูหยินน้อย”
หลี่หมัวหมัวอุ้มทารกน้อยเดินออกไป
เจ้าอาวาสชิงหลานเห็นหลี่หมัวหมัวเดินออกมา มองดูเด็กน้อย เอ่ยขอเทียนจุนอวยพรขึ้นมา
อดีตเสนาบดีหวังดวงตาเฉียบคม รีบสะกิดแม่ทัพอาวุโสเฉาที่กำลังเหม่อลอย เอ่ย “เด็กออกมาแล้ว”
แม่ทัพอาวุโสเฉาสะดุ้ง รีบเดินเข้าไปหา ทว่าไม่กล้ายื่นมือออกไป
มุมปากของหลี่หมัวหมัวยกขึ้นเล็กน้อย “ยินดีกับนายท่าน ฮูหยินน้อยให้กำเนิดนายน้อยเจ้าค่ะ”
แม่ทัพอาวุโสเฉาดีใจขึ้นมา ก่อนจะนึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้ “หลินซื่อเป็นอย่างไร”
หลี่หมัวหมัวร้องไห้เสียงดังออกมา “ฮูหยินน้อยจากไปแล้วเจ้าค่ะ”
แม่ทัพอาวุโสเฉาโงนเงน ถูกอดีตเสนาบดีหวังมือไวประคองเขาเอาไว้ได้ เขาเหลือบมองเด็กเล็กน้อย เอ่ย “เข้าไปก่อนเถิด อย่าให้เด็กโดนลมมากนัก”
หลี่หมัวหมัวเองก็รู้ว่าคนในอ้อมแขนนั้นมีค่าเพียงใด คลอดก่อนกำหนดร่างกายอ่อนแอไม่ต้องเอ่ยถึง ยังดึงกลับมาจากด่านประตูผี ต้องทะนุถนอมเป็นอย่างดี ไม่กล้ายืนอยู่นาน เดินเข้าไปด้านใน เรียกสาวใช้ตามเข้ามาด้วย
ไม่นานก็มีเสียงร้องไห้ดังมาจากด้านใน
ฉินหลิวซีมองไปยังหมอตำแย เอ่ยเตือน “หากต่อไปเจอเรื่องเช่นนี้อีก หากไม่ถึงที่สุด อย่าได้ผ่าท้อง ไม่ใช่ทุกคนจะรับไหว อย่าได้ให้ไฟเข้าแทรก”
หมอตำแยพยักหน้า
นางออกมาจากห้องทำคลอด ถูกเชิญมานั่งที่ห้องรับรองด้านข้าง เหล่าแม่ทัพอาวุโสเฉาต่างก็อยู่พร้อมหน้า เมื่อมองเห็นนางจึงลุกขึ้นทั้งหมด
ฮูหยินเฉาผู้เฒ่าเองก็ถูกประคองให้ลุกขึ้น ด้านหลังมีสาวใช้ผู้หนึ่งยืนอุ้มเด็กทารกในห่อผ้า ท่าทางโศกเศร้า ใบหน้าไม่มีความยินดีที่มีการกำเนิดใหม่แม้เพียงนิด
แม่ทัพอาวุโสเฉาเองก็ประสานมือให้ฉินหลิวซี สายตามองไปยังทารกน้อยในอ้อมแขนของสาวใช้
ฉินหลิวซีเอ่ย “เขาไม่ได้รับการบำรุงที่ดีเมื่ออยู่ในครรภ์ ทั้งยังคลอดก่อนกำหนด ยังสำลักน้ำคร่ำ สายสะดือพันคอเกือบสิ้นใจ นับว่าเกิดมาอย่างยากลำบาก ทว่าวันเวลาเกิดของเขานั้นเบา ก่อนห้าขวบไม่ต้องย้ายสถานที่ เลี้ยงดูอยู่ในชนบท บันทึกนามลูกศิษย์เอาไว้กับอาจารย์สักคนในอารามชิงหลาน”
แม่ทัพอาวุโสเฉาหันมองไปยังเจ้าอาวาสชิงหลาน เอ่ย “ไม่รู้ท่านเจ้าอาวาสจะรับเด็กคนนี้เอาไว้ได้หรือไม่”
“เทียนจุนอวยพร” เจ้าอาวาสชิงหลานถอนหายใจเฮือกหนึ่ง มองไปยังฉินหลิวซี เอ่ยถาม “ในเมื่อเขามีวาสนากับปู้ฉิว บันทึกนามลูกศิษย์ของเจ้าน่าจะดีกว่า”
ฉินหลิวซีส่ายศีรษะ “บันทึกนามเอาไว้ที่อารามชิงหลานเถิด ท่านพาเขาเข้าสู่เต๋าจะเหมาะกว่า”
“ก็ดี”
ฉินหลิวซียกพู่กันขึ้นมา เขียนใบสั่งยาอาบเพื่อร่างกายแข็งแรงยื่นให้แม่ทัพอาวุโสเฉา “ใบสั่งยาอาบนี้จะทำให้กระดูกของเขาแข็งแรงขึ้น แม้เขาจะร่างกายอ่อนแอ ยังเป็นต้นกล้าหนึ่งเดียวของตระกูลเฉา แต่หลังจากหนึ่งขวบ เดินให้มากก็เป็นสิ่งที่ดี เลี้ยงดูประคบประหงมเกินไป ไม่ใช่เรื่องดีนัก”
แม่ทัพอาวุโสเฉากล่าวขอบคุณ เอ่ยถามอีกไม่กี่คำถาม จากนั้นจึงเอ่ยถาม “ตอนที่หลินซื่อจากไป สงบสุขหรือไม่”
ลูกสะใภ้ผู้นั้นของเขา เขารู้ดี เวลาสั้นๆ เพียงนี้ ด้านในไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ยังให้คนออกมา เกรงว่ามีพิธีการสำคัญ หลานผู้นี้จึงยังมีชีวิตอยู่ แต่ไม่รู้ว่าก่อนที่ลูกสะใภ้จะจากไปนั้นเป็นอย่างไร
ฉินหลิวซีน้ำเสียงราบเรียบ เอ่ย “วางใจ นางเป็นคนขอความเมตตาได้ความเมตตา ไร้ความกังวลไร้ความโกรธแค้น ไปรอเกิดใหม่แล้ว”
[1] เมื่อยามฝ่าลมโต้คลื่น กางใบเรือสูงข้ามทะเลกว้างใหญ่ แม้จะมีอุปสรรคเข้ามาก็สามารถข้ามผ่านไปได้