คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 705 ตระกูลซือมีเหมือง ข่าวการคัดเลือก
ตอนที่ 705 ตระกูลซือมีเหมือง ข่าวการคัดเลือก
เฮยซาใบหน้าเขียวบวมเป่งกำลังลากเท้าวาดวงกลมอยู่ตรงกำแพง เขาอยากสาปแช่งคนบ้าพลังนั่น ไม่ไว้หน้าเขาแม้เพียงนิด ดูตีเขาสิ จะเอ่ยถึงความหล่อเหลาต่อหน้านางฟ้าตัวน้อยได้อย่างไร
นกที่มีขนหลากสีหนึ่งตัวบินผ่านมา บินวนเหนือเขาอยู่สองรอบ ร้องจิ๊บๆ จากนั้นสยายปีกเหนือหัวเขา ก่อนจะปล่อยขี้นกลงมา
แปะ
ขี้นกสีขาวก้อนหนึ่งตกลงมาบนศีรษะเขา
เฮยซาชะงัก ยกมือขึ้นสัมผัส ร้องตะโกนออกมา “เจ้านกบ้านี่”
เขากระโจนออกไป สะบัดตัว หมีที่คล้ายอยู่ในทะเลทรายสีดำพุ่งกระโจนเข้าหานก
จิ๊บๆๆ
นกหลากสีบินพร้อมร้องเสียงดัง ตกใจเกือบตาย คนกลายร่างเป็นหมีแล้ว
ซือเหลิ่งเย่ว์มองเฮยซาที่กลายร่างเป็นหมี มองมาทางฉินหลิวซีที่อยู่ด้านข้าง “นี่เป็นปีศาจหรือ”
“เป็นปีศาจภูเขาตนหนึ่ง สิ่งโง่เขลาที่ขาดความเฉลียวฉลาด” ใบหน้าฉินหลิวซีเต็มไปด้วยความรังเกียจ ทว่าดวงตากลับไม่มีความรังเกียจ เอ่ยต่อ “เขาโง่ เพราะเป็นถึงปีศาจ กลับยึดติดอยู่กับร่างหมี เห็นอยู่ว่ากลายร่างเป็นสิ่งต่างๆ ได้นับพัน ไยจึงไม่กลายร่างเป็นนกไปไล่จับเล่า โง่เสียจริง”
ซือเหลิ่งเย่ว์มองเขาที่ไล่ตามจับนกหลากสีด้วยท่าทางเงอะงะ หัวเราะออกมา “ทำให้เจ้าพามาอยู่ข้างกายได้ บางทีอาจจะไม่ธรรมดา”
“นี่ ไม่มีจริงๆ เป็นเพียงความคิดในช่วงตอนท้ายที่สุดเท่านั้น” ฉินหลิวซียิ้มเยาะ เอ่ย “ไม่เอ่ยถึงเขาแล้วดีกว่า ช่วงนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ท่านพ่อของเจ้าบอกว่า ตลอดครึ่งปีมานี้เจ้าเอาแต่ฝึกคาถาอาคม”
“เจ้าเจอท่านพ่อข้าหรือ”
“ข้าไปที่อารามชิงหลานก่อน พอดีเขาก็อยู่ที่นั่นด้วย ได้ยินว่าหลายวันก่อนพวกเจ้าประกอบพิธีในอาราม”
ซือเหลิ่งเย่ว์จึงเอ่ย “วันครบรอบของท่านแม่ข้า จะทำพิธีให้นางทุกปี เพียงแต่เจ้าไปอารามชิงหลานทำไมกัน”
นางเอ่ยถามพร้อมยื่นชาดอกไม้ที่ชงเสร็จไปให้ ดอกไม้หนึ่งดอก พุทราหวานหนึ่งลูกลอยอยู่ในน้ำ ดอกไม้ค่อยๆ บานออก กลิ่นหอมลอยเตะจมูก งดงามน่ามอง
ฉินหลิวซีรับมาเอ่ยชื่นชมหนึ่งประโยค “ชาดีดอกไม้หอมคนยิ่งงดงาม”
แก้มทั้งสองข้างของซือเหลิ่งเย่ว์ร้อนขึ้น มองค้อนนางเล็กน้อย
ฉินหลิวซีจิบหนึ่งอึก ความหอมของดอกไม้กระจายไปทั่วปาก กระตุ้นต่อมรับรสได้เป็นอย่างดี ดวงตาโค้งอย่างห้ามไม่ได้ “รสชาติดีทีเดียว ไม่อาจกล่าวโทษท่านพ่อเจ้าที่ให้ข้ามาเกลี้ยกล่อม ให้เจ้ารีบหาบุรุษสักคนแล้วมีลูก คนเยี่ยมยอดอย่างเจ้า ไม่มีทายาทสืบทอด ช่างเสียเปล่าแล้วจริงๆ”
ซือเหลิ่งเย่ว์ร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก “ไยเจ้าจึงเอ่ยเรื่องนี้แล้วเล่า ท่านพ่อข้ายังเอาเรื่องนี้ไปรบกวนเจ้าอีกหรือ”
ฉินหลิวซีถอนหายใจหนึ่งเฮือก “ท่านลุงซือเขาเป็นบิดาที่ร่าเริงที่สุดเท่าที่ข้าเคยเจอมา เขาบอกไม่สนว่าเจ้าจะแต่งงานหรือไม่ อย่างไรก็ต้องหาใครสักคนเพื่อสืบทอดสายเลือดต่อไป ยังต้องมีบุตรชายให้ตระกูลของเรา”
“ห๊า”
ฉินหลิวซีวางถ้วยชาลง เลียนแบบท่าทางเศร้าใจของซือถู เอ่ยคำพูดของเขาราวกับนกแก้วเลียนภาษา ไม่ขาดตกแม้เพียงคำเดียว
ซือเหลิ่งเย่ว์หัวเราะอย่างเป็นสุข
นี่คือสิ่งที่บิดาโง่เขลาผู้นั้นของนางทำได้
ทั้งสองหัวเราะสนุกสนาน กระทั่งดวงอาทิตย์กำลังตกจึงขึ้นไปบนยอดเขา นั่งอยู่บนผืนหญ้าริมหน้าผา รับลมที่โชยพัดมา มองเมฆหลากสีสันบนท้องฟ้า
“ซีซี คนจำเป็นต้องแต่งงานมีลูกหรือ” ซือเหลิ่งเย่ว์กอดเข่ามองดวงอาทิตย์สีส้มแดงที่กำลังจะลาลับขอบฟ้า
ฉินหลิวซีนั่งขัดสมาธิ สัมผัสถึงพลังวิญญาณของพื้นที่ตระกูลซือ พร้อมเอ่ยตอบ “แน่นอนว่าไม่ใช่ ข้าเองก็ไม่”
ซือเหลิ่งเย่ว์หันมามองนาง “เจ้าจะไม่แต่งงานหรือจะไม่มีลูก”
“ล้วนไม่ทั้งสอง ข้าตั้งใจจะไร้บุตรไปจนแก่เฒ่า แต่ข้ามีลูกศิษย์ ลูกศิษย์ก็เป็นเหมือนลูก” ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยรอยยิ้มตาหยี
ซือเหลิ่งเย่ว์เม้มริมฝีปาก เอ่ยถาม “เช่นนั้นหากเจ้าเป็นข้าจะทำอย่างไร”
“เสี่ยวเย่ว์ เจ้ากับข้านั้นแตกต่าง ข้าไม่มีทั้งตำแหน่งปกครองต้องสืบทอดต่อ และไม่ใช่สายเลือดเพียงคนเดียว ดังนั้นจะไม่มีลูกก็ไม่นับประสาอะไร แต่เจ้า กลับเป็นความหวังเดียวของตระกูลซือที่มีมาตลอดร้อยปี บรรพบุรุษใช้เลือดเพื่อปกป้องรักษามารุ่นสู่รุ่น จนกระทั่งเหลือเพียงหนึ่งเดียว เวลาผ่านไปนับร้อยปี กว่าจะได้เกิดใหม่อีกครั้ง พวกเขาทำหน้าที่ของพวกเขาสำเร็จแล้ว และตัวเจ้าเอง ก็มีหน้าที่ของเจ้าเช่นกัน”
ฉินหลิวซีจับมือของนางมาแล้วกุมเอาไว้ เอ่ย “ภาระที่เจ้าแบกเอาไว้นั้นแตกต่างจากข้า เจ้าเองก็ไม่อาจเอาแต่ใจเดินในเส้นทางที่ตนเองต้องการ เพราะไหล่ของเจ้ากำลังแบกความรุ่งโรจน์และรุ่งเรืองของทั้งตระกูลซือ อีกทั้งการสืบสายเลือด ความจริงข้าไม่เอ่ย ในใจเจ้าก็รู้ดี เจ้าไม่มีโอกาสให้เลือก เพราะตระกูลซือมีเพียงเจ้าแล้ว”
ซือเหลิ่งเย่ว์พลิกมากุมมือนาง เอ่ยว่า “ข้าเข้าใจ”
“ความจริงในทุกตำแหน่งทุกอาชีพ ที่ใดก็มีความเหมาะสมของที่นั้น การให้กำเนิดลูกอาจไม่ใช่ความปรารถนาของเจ้า แต่ว่าเสี่ยวเย่ว์ คนอยู่บนโลกใบนี้ มีสักกี่คนบ้างที่เป็นตัวของตัวเองได้อย่างอิสระ ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นการถูกบังคับประนีประนอมอยู่ในโลกของความเป็นจริง และการเอาแต่ใจทุกสิ่งทุกอย่าง นั่นไม่ใช่ความสบาย เป็นการเห็นแก่ตัวต่างหาก คนต่างก็มีความเห็นแก่ตัว ข้าเองก็เข้าใจ แต่บางครั้งพวกเราไม่อาจละเลยภาระหน้าที่ที่ควรรับผิดชอบ”
“เจ้าเป็นผู้นำของตระกูล อีกทั้งยังเป็นเลือดเนื้อที่เหลืออยู่เพียงหนึ่งเดียว อย่างที่ท่านพ่อเจ้าว่า ไม่ว่าบุรุษหรือสตรี อย่างไรเจ้าก็ต้องมีเลือดเนื้อสืบสกุลให้แก่ตระกูลซือสักคน” ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ความจริงก็ไม่มีอะไร อย่างที่ท่านพ่อเจ้าบอก เพียงมีสัมพันธ์ไม่มีความรัก เลือกคนฉลาดสักคน ที่สำคัญที่สุดจะต้องหล่อเหลา ให้กำเนิดสักคนก็พอแล้ว ไม่ว่าจะแต่งงานหรือเพียงให้กำเนิดลูกเพียงอย่างเดียว ข้าเชื่อว่าบารมีอย่างเจ้าจะจัดการได้รอบคอบ และเมื่อให้กำเนิดลูกแล้ว เจ้าก็จะวางมือได้ ทำในสิ่งที่เจ้าอยากทำ ไม่ว่าจะทำการค้าหรือฝึกมนต์คาถา และเรื่องทายาทสืบทอดก็ให้เป็นของคนรุ่นถัดไป”
ซือเหลิ่งเย่ว์ทุบนางพร้อมมองค้อนด้วยรอยยิ้ม จากนั้นสีหน้ายุ่งยากขึ้นมา เอ่ย “ความจริงเจ้าไม่มาช่วยเกลี้ยกล่อมแทนท่านพ่อข้า ข้าก็จัดการเอาไว้หมดแล้ว”
ฉินหลิวซีชะงัก “หมายความอย่างไรหรือ”
“ในเมืองมีข่าวมา ฝ่าบาทมีพระประสงค์จะคัดเลือดสาวงามในเดือนแปด ไม่จำกัดอาชีพเชื้อชาติ หากไม่มีสิ่งใดผิดพลาด ข้าเองก็จะได้รับราชโองการนี้เช่นกัน” ซือเหลิ่งเย่ว์เอ่ยใบหน้าราบเรียบ
“ได้อย่างไร เจ้าเป็นสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลซือ ตระกูลจะต้องแต่งลูกเขยเข้าบ้าน จะเข้าวังได้อย่างไร” ฉินหลิวซีขมวดคิ้ว สีหน้าไม่น่ามองยิ่งนัก
ซือเหลิ่งเย่ว์ยิ้มเย็น เอ่ย “คนในราชวงศ์มองเพียงผลประโยชน์ จะมองถึงเรื่องว่าเจ้าเป็นบุคคลที่ไม่มีทายาทได้อย่างไร และไม่มีลูกหลานเป็นผลดีสำหรับพวกเขา”
“พวกเขาเล็งตระกูลซือหรือ”
“ตระกูลซือมีเหมือง และท้องพระคลังขาดเงิน”
ฉินหลิวซีลุกขึ้น น้ำเสียงเย็นเยียบ เอ่ย “ฝ่าบาท ตาเฒ่านั่นหากกล้าแตะต้องเจ้า ข้าจะทำให้บัลลังก์มังกรของเขาเป็นดั่งนั่งพรมเข็ม นั่งต่อไปไม่ได้อีก”
เล่นอะไรกัน ชายแก่อายุเกินครึ่งร้อยยังคิดอยากให้เสี่ยวเย่ว์ที่น่าสงสารของนางเข้าวังไปอยู่เป็นเพื่อนเขาอย่างนั้นหรือ ฝันไปเถิด
ซือเหลิ่งเย่ว์รู้สึกซาบซึ้งใจ ยิ้มพลางจับมือของนาง เอ่ย “เจ้าอย่าได้โกรธ ราชวงศ์ไม่สมปรารถนาหรอก”
ฉินหลิวซีเอ่ย “คนร้ายกาจในราชวงศ์นั้นมีเล่ห์เหลี่ยมมากมาย”
“ต่อให้ร้ายกาจ ยังคิดจะบังคับคนใกล้ตายอย่างข้าเข้าวังอยู่หรือ” ซือเหลิ่งเย่ว์เอ่ย “ข่าวการถอนคำสาปเลือดบนตัวข้ายังไม่ทันกระจายออกไป คงต้องป่วยวาระสุดท้าย นอนอ่อนแออยู่บนเตียง จากนั้นถ่ายทอดสายเลือดสืบสกุลแล้ว”
“เจ้าหมายถึง?”
“ต่อให้พวกเขาโลภมากเพียงใด ก็คงไม่ให้ข้าที่ท้องโตไปเข้าร่วมการคัดเลือกกระมัง” ซือเหลิ่งเย่ว์ส่งเสียงหยัน เอ่ยว่า “ต่อให้อยากได้เหมือง ก็ยังต้องลบรายชื่อนี้ออกไป”
ฉินหลิวซีฟังแล้วรู้สึกไม่ปกติ เช่นนี้ราชวงศ์จะไม่ใช้ประโยชน์จากมันหรือ นี่คืออำนาจฮ่องเต้ น่าสะอิดสะเอียนนัก