คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 714 พวกเจ้ากำลังคิดจะโยนความผิด
ตอนที่ 714 พวกเจ้ากำลังคิดจะโยนความผิด
เทพเฟิงตูมองหน้านิ่วคิ้วขมวดบ่นกับกษิติครรภโพธิสัตว์
“ข้าไม่อยากเจอนางจริงๆ กลัวว่านางจะก่อความวุ่นวาย ถ้านางจำเรื่องที่นางเคยก่อเอาไว้ขึ้นมาได้ ไม่รู้ว่าจะอาละวาดบ้าคลั่งขึ้นมาอีกครั้งหรือไม่”
กษิติครรภโพธิสัตว์หัวเราะเหอะๆ เอ่ย “ไยเจ้าต้องลนลานอีก นางอยู่บนโลกมนุษย์ดีๆ ควรสะสมบุญก็สะสมบุญ ควรช่วยคนก็ช่วยคน เด็กเพียงกลับมาเดินเล่นในยมโลก ตื่นกลัวอันใดกัน”
เทพเฟิงตูส่งเสียง เหอะ “หากเจ้าเด็กดื้อนี้เผายมโลกจนมอดม้วยอีกเล่า เจ้าดูตำหนักกษิติครรภของเจ้าสิ เสาเสานั้นยังบันทึกเรื่องราวที่นางก่อเอาไว้อยู่เลย หวังว่าอีกหน่อยเจ้าเจอนางจะไม่นึกถึงความทรงจำแสนเจ็บปวดนั่น ไม่คิดเอาเรื่อง”
กษิติครรภโพธิสัตว์มองตามมือเขาชี้ไป เสาเอกในตำหนักถูกปกคลุมไปด้วยสีดำ ทำให้รูปแกะสลักสัตว์ดุร้ายดำคล้ำ ผ่านไปหลายปีก็ยังไม่กลับมาเป็นปกติ
มุมปากของเขากระตุก ยกน้ำชาขึ้นมา รู้สึกเสียดาย เรื่องราวที่ผ่านไปแล้วไม่อาจย้อนกลับไป
เทพเฟิงตูเห็นว่าเขาไม่เอ่ยปากแล้ว ถอนหายใจแล้วลุกขึ้น
ทันใดนั้น เขายืนตัวตรงวางมาดสง่างามน่าเกรงขามดูยิ่งใหญ่
เด็กดื้อมาแล้ว
ฉินหลิวซีก็ไม่คิดว่าจะได้มาเจอที่ตำหนักกษิติครรภ ยังได้เจอกับเทพเฟิงตูรวมไปถึงกษิติครรภโพธิสัตว์ ชะงักงันโดยไม่อาจห้ามได้ จากนั้นโค้งคำนับอย่างจริงใจ
กษิติครรภโพธิสัตว์ลอบทอดถอนใจ เด็กก็ต้องรู้จักโตขึ้นสักวัน ดูสิว่ามีมารยาทมากขึ้นเพียงใดแล้ว รู้จักเคารพผู้ใหญ่ รู้จักโค้งคารวะ ดื้อที่ใดกันเล่า
เทพเฟิงตู “!”
เพียงโค้งคารวะก็ทำให้เจ้าตื้นตันแทบไม่ไหว ดูว่าจะเกิดอันใดขึ้นกับเจ้า ข้ารู้ว่าเจ้าเด็กคนนี้กำลังคิดว่าต่อไปจะหาวิญญาณชั่วตนใดหรือหาวิญญาณที่หลุดพ้นจะสะดวกกว่ากัน ถึงได้แสร้งทำเป็นใสซื่อ ความจริงกำลังวางแผนจนโลกมนุษย์ยังได้ยินแล้ว
นี่ก็คือการไม่เห็นกระต่ายไม่ปล่อยเหยี่ยว[1]
เทพเฟิงตูคิดไม่ผิดจริงๆ กษิติครรภโพธิสัตว์มีบุญกุศลล้นเปี่ยมมานานแล้ว แต่เป็นพระพุทธที่ไม่เป็นพระพุทธ เพียงเพราะคำสาบานหนึ่งจึงต้องอยู่ในนรก ผูกมิตรกับสหายผู้นี้ อนาคตมีเรื่องอันใดให้เขาช่วยเหลือ จะได้คุยกันง่าย
“ปู้ฉิว เจ้ามาด้วยเหตุใด” เทพเฟิงตูวางมาดเอ่ยถาม
ฉินหลิวซีมองไปยังราชาเทพองค์นี้ เอ่ยออกมา “ท่านไม่เปลี่ยนไปเลย”
ดวงตาของเทพเฟิงตูสั่นไหว ความทรงจำกลับชาติมาเกิดฟื้นคืนมาแล้วหรือ
ฉินหลิวซีเอ่ยออกไป ส่งเสียงเอ๋ขึ้นมา คิ้วขมวดขึ้น ราวกับประหลาดใจไยตนจึงเอ่ยออกไปเช่นนั้น นางเคยเจอเทพเฟิงตูจริงหรือ
ท้อเซียนลูกหนึ่งถูกส่งมาตรงหน้านาง ฉินหลิวซีรีบรับมา ทิ้งความรู้สึกแปลกประหลาดเมื่อครู่ไป ยิ้มตาหยีมองกษิติครรภโพธิสัตว์ เอ่ยขอบคุณ กัดกรุบกรับ
หวานสดน้ำเยอะ อร่อย ซี๊ด
สายตากษิติครรภโพธิสัตว์อ่อนโยน
ฉินหลิวซีกินพร้อมมองไปรอบๆ มองคฑาเพชรที่วางอยู่บนโต๊ะ ดวงตาวาวขึ้น หยิบขึ้นมา เอ่ย “คฑานี้ดูจะมีวาสนากับข้า ของมากมายเพียงนี้ ข้ากลับมองเห็นมันก่อนสิ่งอื่นใด”
ใบหน้าเมตตาและรอยยิ้มอ่อนโยนของกษิติครรภโพธิสัตว์ชะงัก
เทพเฟิงตูเหลือบมองเขาอย่างมีความสุขที่เห็นคนอื่นเป็นทุกข์ นี่คือเด็กดีมีมารยาทที่เจ้าบอกหรือ
กษิติครรภโพธิสัตว์ยิ้มพลางเอ่ย “ปู้ฉิวชอบก็เอาไปเถิด ปราบมารปีศาจ กำจัดสิ่งชั่วร้ายเดินในทางที่ถูกต้อง”
“เจ้าค่ะ” ฉินหลิวซีหยัดเข้าไว้ในอก เอ่ย “มันสั่นสะเทือนกระดูกพุทธะได้หรือไม่”
กษิติครรภโพธิสัตว์ “?”
ฉินหลิวซีกินลูกท้อหมดภายในไม่กี่คำ เก็บเมล็ดลูกท้อไว้ในอก ตั้งใจจะเอาไปปลูกที่เขาหลังอาราม ไม่แน่อาจปลูกต้นท้อขึ้นมาได้
นางนั่งลงตรงหน้าผู้เฒ่าทั้งสอง เอ่ย “ข้าหมายถึงมารเอ้อฝูซื่อหลัวนั่น”
กษิติครรภโพธิสัตว์และเทพเฟิงตูสบตากัน
ฉินหลิวซีปรายตามองเทพเฟิงตูท่าทางกบฏ เอ่ย “ราชาเทพ มารเอ้อฝูนั่นหนีจากยมโลกที่ท่านดูแล ตอนนี้อยู่อย่างไร้เงาบนโลกมนุษย์ ท่านจะไม่สนใจไม่แยแสเลยหรือ”
“จะไม่สนใจได้อย่างไร เพียงแต่…” สีหน้าเทพเฟิงตูสีหน้าเคร่งเครียด เอ่ย “โลกมนุษย์และโลกแห่งความตายมีเส้นแบ่งชัดเจน ข้าร้อนใจกับการหายตัวไปของซื่อหลัว แต่ไม่อาจยื่นมือเข้าไปแทรกกับโลกมนุษย์ มิเช่นนั้นจะทำให้หยินหยางปั่นป่วน กฎเกณฑ์ไม่อาจควบคุมเกินที่ข้าจะรับผิดชอบได้”
สวรรค์มีกฎ สวรรค์ โลกมนุษย์ ยมโลก ทั้งสามโลกต่างมีกฎระเบียบเป็นของตนเอง หากผู้ใดยื่นมือเข้าไปแทรกก็จะทำให้หยินหยางปั่นป่วน
ดังเช่นเมื่อคนมีชีวิต โลกหยินไม่อาจเข้าไปยุ่งกับการทำบาปทำชั่วของเขา แต่หลังจากตายแล้ว โลกหยินจะชำระทั้งหมด ดังนั้นต่อให้ซื่อหลัวหนีไปทำชั่วบนโลกมนุษย์ ยมโลกไม่อาจยื่นมือเข้าไปยุ่งมากเกินไป ต้องอาศัยเพียงเทียนซือและพระนักบวชบนโลกมนุษย์ให้จัดการจับตัว ยมโลกช่วยเหลือได้เพียงน้อยนิดเท่านั้น
ลองคิดดู หากเหล่ายมทูตมากมายท่องไปทั่วโลกมนุษย์เพื่อตามหาซื่อหลัว จะทำให้เกิดความวุ่นวายอย่างไร เกิดมียมทูตละโมภหลงใหลความสุขบนโลกมนุษย์ไม่อยากกลับลงมาเล่า
นี่คือกฎ และเป็นการควบคุม
ฉินหลิวซีขมวดคิ้ว เอ่ย “หากเจ้านั่นไปเป็นเทพบนโลกมนุษย์ สร้างความวุ่นวายประชาชนเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้าเล่า พวกท่านและสวรรค์ก็จะไม่สนใจอย่างนั้นหรือ”
เทพเฟิงตูเงยหน้าขึ้นมาทันใด เป็นเทพหรือ
กษิติครรภโพธิสัตว์เอ่ยอุทานออกมาเป็นบทสวดหนึ่งประโยค ก่อนจะเอ่ย “ปู้ฉิว ตามกฎแล้ว หากเขาสามารถแบกรับบททดสอบของสวรรค์ เป็นเทพอยู่บนโลกมนุษย์ สวรรค์ไม่มีทางอยู่นิ่งได้ ต้องรู้เอาไว้ว่า สวรรค์ไร้โหดเหี้ยม ทว่าเมตตาคนดี”
ใบหน้าฉินหลิวซีแดงปรี๊ด เอ่ย “ดังนั้นพวกท่านกำลังจะโยนความความผิดให้ผู้อื่นหรือ”
เดี๋ยวก็กฎเกณฑ์ เดี๋ยวก็สวรรค์โหดเหี้ยม ไม่ใช่อยากสาดน้ำเสียไปที่โลกมนุษย์หรอกหรือ
ยมโลกบ้านี่ หาเรื่องโยนความผิดชัดๆ
ปึง
นางโกรธจนทุบโต๊ะแตกเป็นเสี่ยงๆ ปลายนิ้วมีไฟเกิดขึ้น
เทพเฟิงตูตกใจ เอ่ย “ใจเย็นสักหน่อย ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด”
อย่าได้เล่นไฟเด็ดขาด ยังรับมือไม่ได้หากจะเกิดขึ้นอีกครั้ง
กษิติครรภโพธิสัตว์มองไปยังเสาหลักของตนเอง หรือเสาต้นนี้จะต้องดำขึ้นอีกสองส่วนอย่างนั้นหรือ
“เช่นนั้นแล้วอย่างไร พวกท่านเอ่ยถึงกฎไม่ใช่หรือ เอ่ยถึงสวรรค์ นี่เป็นการผลักภาระความรับผิดชอบ” ฉินหลิวซียิ้มเย็น เอ่ย “ซื่อหลัวหนีออกไปจากที่นี่ที่พวกท่านดูแล แต่พวกท่านก็ไม่สนใจ สิ่งแรกที่สวรรค์ต้องทำคือผ่าพวกท่านให้ตาย”
เทพเฟิงตูโกรธจนเคราสั่น ตะโกนขึ้น “ผู้ใดว่าไม่สนใจกัน”
“เช่นนั้นคนเล่า หนีออกมาจะเป็นปีอยู่แล้ว แม้แต่เงาก็ไม่มี กลับปล่อยให้เขารวบรวมกระดูกพุทธะกลายเป็นเทพเจ้า หมายความเช่นไร”
“ตอนนั้นร่างกายของซื่อหลัวตายไปแล้ว ร่างพุทธะที่เขาบำเพ็ญเพียรแบ่งเป็นเก้าส่วนกระจายอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่งบนโลกใช่หรือไม่”
กษิติครรภโพธิสัตว์และเทพเฟิงตูขมวดคิ้ว นี่มันเรื่องอะไรกัน
“ยามนี้กระดูกพุทธะเก้าส่วนปรากฏขึ้นในที่ที่ซื่อหลัวไปปรากฏตัว ไม่ใช่เขาที่กำลังตามหาแล้วจะเป็นผู้ใด เขาถูกพวกท่านขังเอาไว้กี่พันปี กว่าจะหนีออกมาไม่ใช่ง่ายๆ คงไม่อยู่นิ่งๆ รอให้ถูกจับกลับคืน หากเป็นเช่นพวกท่านว่า กฎของสวรรค์เขียนอยู่ตรงนั้น เช่นนั้นก็จำต้องหนีออกจากกฎกฎนี้ เขาถึงจะมีอิสระอย่างแท้จริง นอกจากกลายเป็นเทพเจ้าที่แท้จริง สำเร็จเป็นเทพ เขาจะมีอิสระที่แท้จริงได้อย่างไร”
กษิติครรภโพธิสัตว์ตกใจกับคำพูดเหล่านี้ หากซื่อหลัวกลายเป็นเทพเจ้าจริงๆ ยังมีผู้ใดขวางเขาได้อีกเล่า
[1]ไม่เห็นกระต่ายไม่ปล่อยเหยี่ยว หมายถึงไม่เห็นเป้าหมายชัดเจนไม่ลงมือ