คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 717 เฉวียนจิ่ง เจ้าใกล้ตายแล้ว
ตอนที่ 717 เฉวียนจิ่ง เจ้าใกล้ตายแล้ว
ฉินหลิวซีขึ้นมายังอารามชิงผิง ชิงหย่วนกำลังออกจากห้องเต๋าของนักพรตเฒ่าชื่อหยวนพอดี เห็นดวงตาของนางยิ้มจนแทบปิดสนิทเป็นเส้น
“ไยท่านเจ้าอาวาสน้อยจึงมีเวลาว่างมาแล้วเล่า”
ฉินหลิวซีเห็นในมือเขาถือกระดาษหนึ่งแผ่น ปากชี้ออกไป เอ่ย “นั่นอะไร”
“ภาพอุโบสกหลังใหม่ ผู้มีจิตศรัทธาตู้ผู้นี้ใจกว้างมาก บริจากคอุโบสถหนึ่งหลังไม่พอ ยังบอกว่าจะปูกระเบื้องหลังคาด้วยกระเบื้องเคลือบ สร้างรูปหล่อทองคำขึ้นมาอีก” ชิงหย่วนยิ้มจนตาหยี เอ่ย “นี่คือผู้มีจิตศรัทธาที่เคร่งศาสนาที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็น ท่านเจ้าอาวาสน้อยท่านกลับไปเขียนยันต์คุ้มภัยสักหลายสิบใบ ให้ผู้มีจิตศรัทธาตู้เอากลับไปด้วยเถิด อย่างไรเขาก็ทำกิจการขนส่งทางน้ำ คนมาก ไม่พอแบ่ง”
ขมับฉินหลิวซีเต้นตุบตับขึ้นมาทันใด เอ่ย “เขียนยันต์ไม่ต้องใช้พลังหรือ ไม่มี พวกเจ้าก็วาดเองสิ ทั้งให้ข้าหาเงินทั้งเขียนยันต์ มีพวกเจ้าไปทำไมกัน”
อีกทั้งยันต์คุ้มภัยที่มีเกลื่อนถนนจะมีค่าอะไร
ชิงหย่วนหน้าเหยเก เอ่ย “เช่นนั้นเอาเพียงสิบแผ่น” กลัวว่านางจะไม่รับปาก เอ่ย “ท่านเจ้าอาวาสเองก็เห็นด้วย ท่านไปคุยเอง”
เขาเอ่ยจบ วิ่งหนีไปทันใด
ฉินหลิวซีเย้ยหยันในใจ เดินเข้าไปในห้องเต๋าของนักพรตเฒ่าชื่อหยวน
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนเงยหน้า มองเห็นกำไลหินบนข้อมือของนาง สีหน้าเปลี่ยนไป เอ่ย “เจ้าบุกไปที่นรกหรือ”
“ใช่” ฉินหลิวซีเอ่ย “ยังได้เจอเทพเฟิงตูและกษิติครรภโพธิสัตว์ พวกเขาต้อนรับดีมาก ให้อาวุธวิเศษข้าด้วย”
นักพรตเฒ่าชื่อหยวน “…”
เจ้าปล้นมากระมัง
เขาเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “เจ้าไม่ได้ก่อเรื่องใดใช่หรือไม่”
“ข้าจะไปก่อเรื่องได้อย่างไร นั่นมันนรกนะ เกิดล่วงเกินพวกเขา จับข้าขังไว้ในนรกกลับมาไม่ได้ทำอย่างไร”
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนคิดในใจ ไม่หรอก ทางนั้นคงทำเพียงห่อเจ้าส่งกลับมา จะขังเจ้าอยู่ได้อย่างไร
“ให้ท่าน” ฉินหลิวซียื่นคฑาเพชรให้เขา “นี่เป็นของที่กษิติครรภโพธิสัตว์ให้มา ร้ายกาจกว่าสิ่งนั้นที่ถ่ายทอดมาจากอารามของเรากระมัง ท่านเก็บเอาไว้เถิด”
ดวงตาของชื่อหยวนวาวขึ้น สองมือยื่นไป สัมผัสได้ถึงพลังแห่งพุทธของคฑาเพชร ภายในใจสงบลงมาก เอ่ย “นี่เป็นของกษิติครรภโพธิสัตว์จริงๆ หรือ”
“ข้าจะโกหกท่านทำไม” ฉินหลิวซีเห็นท่าทางศรัทธาของเขา หัวเราะออกมา เอ่ย “เพียงคฑาเพชรอันเดียวเท่านั้น ทำให้ท่านตื่นเต้นแล้ว ไม่ใช่บิดาท่านสักหน่อย”
“หุบปาก เอาแต่พอดีเถิด กษิติครรภโพธิสัตว์นั้นมีชัยต่อวิญญาณร้ายนับไม่ถ้วน คฑาเพชรอันนี้ได้รับพลังเวทย์จากเขา สูงส่งยิ่งกว่าสิ่งใด” นักพรตเฒ่าชื่อหยวนถลึงตาใส่นาง เอ่ย “สิ่งนี้เก็บเอาไว้ที่อาราม ใช้เพื่อเอาชนะต่อวิญญาณร้าย”
ในเมื่อมอบให้เขาแล้ว ฉินหลิวซีก็ไม่สนใจว่าเขาจะเอาไปทำอะไร เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “แล้วแต่ท่าน”
“เช่นนั้นนั่นคือสิ่งใด” นักพรตเฒ่าชื่อหยวนชี้ไปยังกำไลหินบนข้อมือนาง
“เทพเฟิงตูให้มา” ฉินหลิวซีเขย่าข้อมืออย่างภาคภูมิใจ เอ่ย “มีมัน ต่อไปทหารหยินแม่ทัพผีตนใดจะกล้าขัดคำสั่งข้า”
ปากนักพรตเฒ่าชื่อหยวนกระตุก “ให้เจ้าก็ไม่ใช่จะให้ใช้เช่นนั้น อย่าได้นำไปรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า ยิ่งไม่อาจใช้เหลวไหลได้”
ฉินหลิวซีเย้ยหยัน หยิบกระจกดูดวิญญาณเฉียนคุนออกมา บอกที่มาที่ไปและการใช้งานของมัน
สองคิ้วของนักพรตเฒ่าชื่อหยวนขมวดขึ้น ดวงตามีความกังวล เอ่ย “ซื่อหลัวนั่นถูกขังอยู่หลายพันปียังหนีออกมาจากนรกได้ เห็นได้ว่าเขาร้ายกาจ ต่อให้มีกระจกนี่ติดตัว เจ้าก็อย่าได้ประมาท ในเมื่อมันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเขา ใช่ว่าเขาจะทำไม่ได้ อย่างไรมันก็แขวนอยู่บนผนังในนรกมาหลายพันปี มันคุ้นเคยกับซื่อหลัว ซื่อหลัวเองก็ด้วย”
วาจานี้เป็นการเตือนฉินหลิวซี
นางเคาะกระจกดูดวิญญาณเบาๆ มีแผนอยู่ในใจ เช่นนั้นก็ไม่ต้องให้เขารู้ก็พอแล้ว
“อย่างไรสู้ไม่ได้ก็อยู่เฉยๆ ไป” ฉินหลิวซีเก็บกระจกเอาไว้ เอ่ย “ข้าไปนรกครั้งนี้ เหล่าเทพเกรงอกเกรงใจต่อข้านัก ชาติที่แล้วเกรงว่าข้าจะเป็นผู้มีความสามารถที่ยิ่งใหญ่หรือไม่”
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนหน้านิ่ง “สายมากแล้ว กลับเมืองไปนอนเถิด ที่นี่คงหลับได้ไม่ดี”
ฉินหลิวซีส่งเสียงเหอะ “ท่านอย่าได้ไม่เชื่อ อย่างไรท่าทีของพวกเขาก็น่าสงสัย ตาเฒ่า ท่านภูมิใจเถิด มีลูกศิษย์เก่งกาจเช่นข้า แอบยิ้มเถิด”
“ไม่ถูกเจ้าทำให้โมโหจนตายข้าก็ต้องแอบยิ้มจริงๆ แล้ว รีบไปๆ” นักพรตชื่อหยวนยิ้มหยัน “ต่อให้เจ้าร้ายกาจเพียงใดชาตินี้ก็ต้องเรียกข้าว่าอาจารย์อยู่ดี”
ฉินหลิวซีสะอึก เบื่อที่จะเอ่ย
นักพรตชื่อหยวนมองนางเดินจากไป ส่ายศีรษะเบาๆ ไม่ว่าอย่างไร จะดีจะร้าย นางก็เป็นลูกศิษย์ของตนอยู่ดี
ฉินหลิวซีออกมาจากห้องเต๋า นำเมล็ดลูกท้อไปปลูกไว้หลังเขา ก่อนจะลงเขาไป นางกลับมายังเฟยฉังเต๋า
เว่ยเสียเห็นนางก็เปลี่ยนสีหน้า สายตาหยุดอยู่ที่กำไลหินที่ข้อมือนาง เอ่ยถาม “นี่คือสิ่งใดหรือ”
พลังของมันน่าหวาดกลัวต่อผีแล้ว
ฉินหลิวซียื่นข้อมือไปตรงหน้าเขา “นี่ กำไลของเทพเฟิงตู”
พลังของเว่ยเสียอ่อนลงทันที เกือบทรุดลง “ท่านอย่าเข้ามาใกล้” เขามองกำไลหินนั่นด้วยความหวาดกลัว เอ่ย “ท่านซ่อนของสิ่งนี้เอาไว้กับตัว ผีทั่วไปเห็นท่านคงได้วิ่งหนีกันหมด”
ผีร้ายไม่กล้าเข้าใกล้ แต่นางเป็นเทียนซือ ต่อไปต้องถามว่าเป็นผีอะไร ใครจะกล้าเข้าใกล้นางได้ ผู้ใดจะไม่กลัวพลังของกำไลหินกดทับ
คิ้วของฉินหลิวซีเลิกขึ้นอย่างครุ่นคิด นางกำลังใช้ความคิด มือลูบกำไลหินไปพลาง พลังอุ่นร้อนปกคลุมขึ้นมา พลังร้ายกาจชัดเจนขึ้น ทำให้คนยิ่งหวาดกลัว
แต่กลับถูกพลังของเทพเฟิงตูกดเอาไว้แล้ว
เทพเฟิงตูในยมโลกเองก็สัมผัสได้ ดวงตาทะมึน ส่งเสียงหยันในลำคอ
“ตอนนี้เป็นอย่างไร”
เว่ยเสียรู้สึกได้ เอ่ย “ไม่ได้ทำให้เกิดความรู้สึกกลัวอยู่ลึกๆ เหมือนเมื่อครู่แล้ว แต่มีความน่าเกรงขามเพิ่มขึ้น”
“น่าเกรงขามก็ถูกแล้ว” ฉินหลิวซีนึกถึงอายุขัยของเฉวียนจิ่งที่เปิดดวงชะตาจากยมทูตผู้พิพากษามา จึงเอ่ย “เฉวียนจิ่งมาที่ห้องพักฟื้นบ้างหรือไม่”
“มาแบบฟ้าผ่าก็ไม่ยอมขยับไปไหน” เว่ยเสียเห็นแววตาของนางไม่ดีนัก จึงเอ่ยถาม “ทำไมหรือ”
ฉินหลิวซีนวดหัวคิ้ว เอ่ยอย่างปวดหัว “อายุขัยเขาไม่ยืนยาวแล้ว ข้าจะไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น”
หากไม่ถอนพิษ เฉวียนจิ่งก็จะตาย แต่ตอนนี้เขากำลังปรับความสมดุล ยังพักฟื้นตัวอยู่ในห้องที่สร้างค่ายอาคมรวมวิญญาณ ยังกินผลหลิงกั่ว ยาปรับสมดุลเองก็กำลังกินอยู่ ร่างกายไม่ควรทรุดเร็วเพียงนั้นถึงจะถูก
แต่อายุขัยของเขากลับเหลือไม่ถึงสิบห้าวันแล้ว นี่มันเรื่องอะไรกัน
หรือว่าวันที่ยี่สิบห้าเดือนห้านั้น พิษอัคคีเยือกแข็งกร่อนกระดูกนั่นจะปะทุขึ้นมาจนทำให้เขาตายหรือ
ฉินหลิวซีทำได้เพียงภาวนาให้แม่หมอกู่ราบรื่น ฝึกกู่สำเร็จโดยเร็ว
มาถึงเรือนเล็กที่เฉวียนจิ่งซื้อเอาไว้ เฉวียนจิ่งกำลังนั่งอ่านตำรารบอยู่ในสวนดอกไม้เล็กๆ นางมองเห็นหน้าเขา หัวคิ้วพลันขมวด
พลังแห่งความตายปกคลุม
แม้ไม่เข้มข้น แต่ความตายมาถึง เช่นนั้นก็คงอีกไม่นานแล้ว
เฉวียนจิ่งเกรงใจมาก มองใบหน้าหนักใจของฉินหลิวซี เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ท่านเจ้าอาวาสน้อยมีสิ่งใดไม่ราบรื่นหรือ หรือมีสิ่งใดไม่มีความสุข คิ้วขมวดจนยับย่นแล้ว”
ฉินหลิวซีเอ่ย “เจ้าใกล้ตายแล้ว แน่นอนว่าข้าไม่มีความสุข”
ต้องนับเวลาชิงตัวคนกับยมบาล ข้ามีความสุขสิแปลก
เฉวียนจิ่งชะงักงัน
เฉวียนอันที่ยืนอยู่ข้างเขาไม่ไกลพลันใบหน้าซีดขาวลง
“เจ้านี่ เสียดายที่เป็นถึงนักบวช ไยปากจึงร้ายเพียงนี้ อ้าปากก็สาปแช่งคน” เสียงเสียดหูแฝงความไม่พอใจดังมาจากด้านหลัง
ฉินหลิวซีหันไปมอง ดวงตาหรี่ลง