คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 728 เหตุและผล
ตอนที่ 728 เหตุและผล
อยู่ดีๆ ก็มองเห็นผี มักจะเป็นเวลาที่คนเราดวงตก หรือไม่ก็อยู่สถานที่ที่มีพลังหยินรุนแรง เช่นโรงเก็บศพ สุสานร้าง หรือโถงไว้ทุกข์ เป็นต้น
แต่ใครจะบอกฮูหยินเฉิงและคนทั้งกลุ่มได้ว่า ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างอารามเต๋าก็ยังมีผีได้?
อารามชิงผิงเป็นอารามเต๋าปลอมหรือ หรือว่าวันนี้เจ้าลัทธิเต๋าไม่อยู่ ผีจึงกล้าเข้ามาได้?
เจ้าลัทธิเต๋าที่แกล้งตาย ปกติก็ไม่กล้ามาหรอก แต่ถ้าเจ้าของชวนมาก็มาได้!
ฮูหยินเฉิงกอดบุตรสาวตัวสั่นงันงก และเบียดกับพวกฮูหยินอวี๋ นางอยากจะร้องไห้แต่ไม่กล้า นางไม่กล้ามองชิวซีไป๋ด้วย เมื่อไหร่ที่หางตานางเห็นเขาใกล้เข้ามา นางก็กรีดร้องด้วยความกลัว
หรือจะบอกว่าพวกนางตกใจกลัวมากจนตัวอ่อนปวกเปียกไปหมด ไม่เช่นนั้นพวกนางก็ควรจะหนีไปนานแล้ว นี่มันใช่ที่ที่คนจะอยู่ที่ไหนเล่า
ชิวจื่อปั๋วเห็นดังนั้นก็รู้สึกเขินอายเล็กน้อย เขาก็ไม่ได้ทำอะไร ถ้าจะโทษก็ต้องโทษปรมาจารย์บางคนที่ไร้หัวใจ
“พวกท่านไม่จำเป็นต้องกลัว ถึงอย่างไรคู่ครองที่แม่นางเฉิงดูตัวก็คือชิวจื่อปั๋วมิใช่หรือ นี่ก็คือตัวจริง ก็มองเขาเป็นตัวปลอมคนนั้นไปก็แล้วกัน” ฉินหลิวซีเอ่ย
เฉิงรั่วเหลียนน้ำตาแทบไหล พอได้เห็นชิวจือปั๋วที่ตายไปแล้ว ความเสน่หาทั้งหมดที่นางมีให้คนแปลกหน้า ‘ชิวจื่อปั๋ว’ ก็หายไปหมดสิ้น
นางยอมเข้าวัง ไม่สิ นางยอมเป็นแม่ชีไปตลอดชีวิตดีกว่าแต่งงานกับชิวจื่อปั๋ว!
ฮูหยินเฉิงก็อมทุกข์ นางเอ่ยด้วยตัวอันสั่นเทาว่า “นี่ ไม่เหมือนเดิมเลย”
ฉินหลิวซีลูบจมูกพลางเอ่ย “ช่างเถิด เช่นนั้นพวกท่านก็ฟังว่าชิวจื่อปั๋วจะว่าอย่างไรก็แล้วกัน”
ชิวจื่อปั๋วประสานมือแล้วเอ่ยว่า “เป็นความผิดของข้าที่ทำให้ฮูหยินและแม่นางกลัว”
ฮูหยินเฉิงเหลือบมองเขา ก่อนจะรีบหันไปมองทางอื่นแล้วเอ่ย “ไม่เป็นไร”
ฮูหยินอวี๋เคยมีประสบการณ์แปลกๆ แบบนี้กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับบุตรสาวนางมาแล้ว จึงใจกล้ากว่าสักหน่อย นางมองไปทางเขาพลางเอ่ยถาม “ถ้าท่านคือชิวจื่อปั๋ว แล้วทำไมถึงได้กลาย…เป็นแบบนี้?”
ฮูหยินเฉิงเหลือบมองนางด้วยสายตาชื่นชม นับจากนี้ไป ข้าไม่ใช่พี่สาว ท่านต่างหากที่เป็นพี่สาวข้า เป็นพี่สาวแท้ๆ ต่างบิดามารดา!
แววตาของชิวจื่อปั๋ววาบประกายดุร้ายอยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่นาน เขาก็ยิ้มออกมาอย่างขมขื่นและทอดถอนใจ “เป็นเพราะข้าเชื่อคนง่ายจึงได้ต้องตายในที่ห่างไกลบ้านเกิดเช่นนี้”
ชิวจื่อปั๋วเกิดมาในที่จวนชังผิงปั๋ว และเป็นบุตรชายเชื้อสายหลักจากมารดาที่ตายไปแล้ว มารดาของเขาคือฮูหยินคนแรกของจวนชังผิงปั๋ว นางเสียชีวิตหลังจากคลอดเขาได้สามปีเนื่องจากสุขภาพร่างกายที่อ่อนแอ ภายในไม่ถึงหนึ่งปี ชังผิงปั๋วก็แต่งภรรยาเอกคนใหม่
แม้ว่าจวนชังผิงปั๋วจะตกต่ำไปแล้ว แต่ฮูหยินเหยามารดาผู้ให้กำเนิดของชิวจื่อปั๋วกลับเป็นหนึ่งในสหายสนิทของฮองเฮา ก่อนที่นางจะเสียชีวิตก็ฝากฝังเขาไว้กับฮองเฮาและบ้านเดิมของนาง ดังนั้นแม้ว่าชิวจื่อปั๋วจะมีแม่เลี้ยง แต่เมื่อมีฮองเฮาคอยถามไถ่อยู่เสมอ ทำให้ฮูหยินชังผิงปั๋วคนใหม่ไม่ได้ทำอะไรที่น่ารังเกียจเป็นพิเศษ
เช่นเดียวกันนั้น ข้างนอกเขาก็ยังได้รับการคุ้มครองจากท่านตาที่เป็นผู้ตรวจการแผ่นดิน ส่วนในบ้านก็มีฮองเฮาคอยถามไถ่เป็นครั้งคราว แม้ว่าท่านพ่อของเขาจะถูกเป่าหู และลำเอียงรักลูกกับภรรยาใหม่มากกว่า แต่ภายนอกเขาก็ไม่กล้าทำอะไรที่ดูเกินเลยกับบุตรชายคนโตเชื้อสายหลัก ไม่อย่างนั้นหากท่านตาเขายื่นฎีกาฟ้องร้องขึ้นมา แล้วเขาจะอยู่อย่างไร?
ชิวจื่อปั๋วเรียนพื้นฐานกับท่านตาของเขาเอง ต่อมาก็ไปสำนักศึกษาที่มีชื่อเสียง และชิวจื่อปั๋วก็มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง เขาจึงมีความรู้ที่ดี หลังจากสอบได้เป็นบัณฑิตซิ่วไฉ เขายังได้เป็นศิษย์ของอาจารย์ที่มีชื่อเสียง และเข้าเรียนที่สานักศึกษาประจำเมืองหนิงโจว ยังไม่ทันจะถึงวัยสวมกวาน เขาก็สอบเข้ารับราชการได้ มีอนาคตสดใส
ดังนั้น แม้ว่าเขาจะไม่ได้รับสิทธิพิเศษใดๆ ในจวนชังผิงปั๋ว แต่เขาก็ถึงเป็นทายาทสายหลักของภรรยาคนก่อน และด้วยสถานะนั้น แม้ว่าเขาจะร่ำเรียนอยู่ในต่างถิ่น กระนั้นชีวิตของเขาก็ไม่ได้เลวร้ายนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาเองก็เป็นคนที่ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว หากไม่แต่งงานก็คงใช้ไม่ได้
ชิวจื่อปั๋วและเฉิงจื้อหย่วน ผู้เป็นพี่ชายของเฉิงรั่วเหลียนเป็นเพื่อนร่วมชั้นกัน และเพราะเขาแนะนำ จึงได้เข้าตาคนตระกูลเฉิง ก่อนหน้านี้เขาเพียงพูดถึงครั้งหนึ่ง ตอนนี้การคัดเลือกสนมที่ใกล้เข้ามาบีบบังคับให้ต้องเดินหน้าต่อ แต่ใครจะไปคิดว่ามันจะกลายเป็นแบบนี้?
“เข้าประเด็นกันดีกว่า ทำไมท่านถึงตายและถูกแอบอ้าง!” ฉินหลิวซีเอ่ยขึ้นอย่างหงุดหงิด
ชิวจื่อปั๋วขดตัวเล็กลงทันที
แม้แต่พวกฮูหยินเฉิงและคนอื่นๆ ก็ยังต้องตั้งใจฟัง
ชิวจื่อปั๋วถอนหายใจ “ข้ากับหลี่ขุยรู้จักกันที่อำเภอจัง อำเภอจังเป็นบ้านเกิดของท่านอาจารย์ข้า เมื่อปีที่แล้วท่านอาจารย์ป่วยกะทันหัน จึงลาออกจากสำนักศึกษาประจำเมืองแล้วกลับไปรักษาตัวที่บ้านเกิด ข้าตามไปดูแลระยะหนึ่ง ท่านอาจารย์บอกว่า การเรียนหนังสือจะเอาแต่ท่องจำไม่ได้ แต่ควรรู้จักบูรณาการด้วย อำเภอจังมีทิวทัศน์ที่สวยงาม ชาวบ้านก็เรียบง่าย ข้าไปเที่ยวเล่นที่นั่นก็เลยได้รู้จักหลี่ขุย”
“หลี่ขุยเองก็เรียนหนังสือมาเช่นกัน แต่หลังจากที่บิดามารดาของเขาตายไป ครอบครัวของเขายากลำบาก เขาจึงไม่มีปัญญาจะเรียนหนังสือต่อ กลายเป็นพ่อค้าหาบเร่ ข้าเจอเขาที่หมู่บ้าน พวกท่านไม่รู้หรอกว่าตอนที่เราเห็นหน้ากัน เราสองคนต่างก็ตกใจกันทั้งคู่ ไม่ยากจะเชื่อว่าบนโลกนี้ยังมีคนที่คล้ายกันเพียงนี้ เมื่อเป็นอย่างนั้นเราจึงสนิทกันทันที ไม่เพียงแต่หน้าตาเราจะคล้ายกันเท่านั้น แม้แต่งานอดิเรกความชอบของเรายังคล้ายกันด้วย”
“เขาเป็นพ่อค้าหาบเร่ เดินไปตามถนนตรอกซอกซอย ผ่านหมู่บ้านต่างๆ มากมาย และรู้ว่าที่ใดมีทิวทัศน์สวยงามที่สุด เมื่อรู้ว่าข้ามาเรียน เดินทางไกลติดตามอาจารย์มาเรียนหนังสือ จึงพาข้าไปยังสถานที่ที่มีทิวทัศน์สวยงามหลายแห่ง เช่นนี้แล้ว เขาขายของ ข้าเองก็ได้ชมทิวทัศน์มากมายไปด้วย ต่างคนต่างได้ประโยน์ เขาเป็นคนช่างพูดและเคยเรียนหนังสือมาก่อน จึงแลกเปลี่ยนกันได้ลึกซึ้ง”
ฉินหลิวซีเหลือบมองไปด้านข้างแล้วจึงเอ่ย “แลกเปลี่ยนอะไรกัน ติดกับดักเขาแล้วมากกว่า”
ถ้าชิวจื่อปั๋วไม่ใช่ผีตอนนี้ ใบหน้าของเขาคงจะแดงไปแล้ว
เพราะมันเป็นอย่างที่ฉินหลิวซีเอ่ยจริงๆ เขารู้สึกว่าหลี่ขุยเป็นเหมือนพี่น้องของตัวเอง ดังนั้นเขาจึงบอกอีกฝ่ายทุกอย่าง แม้แต่วันเกิดของเขา เพราะหลี่ขุยบอกว่าจะสาบานเป็นพี่น้องกัน
“ท่านยังสาบานเป็นพี่น้องด้วยหรือ” ฉินหลิวซีถามเหมือนว่าเห็นคนโง่ “ท่านคงไม่พูดเรื่องมีสุขร่วมเสพอะไรทำนองนั้นด้วยหรอกใช่หรือไม่”
ชิวจื่อปั๋วพยักหน้าอย่างเขินอาย
ฮูหยินอวี๋ถาม “เรื่องนี้ไม่มีอะไรพิเศษเช่นนั้นหรือ”
“บางครั้งการให้คำสาบานก็เทียบเท่ากับการให้คำสัญญา คำสาบานนั้นดูผิวเผินเหมือนไม่มีอะไร แต่หากใช้วิธีบางอย่าง เช่น ใช้ของที่พกติดตัวบางอย่าง หรือผมและเล็บของตัวเอง ก็เท่ากับการทำสัญญากับสวรรค์ ยินดีมอบของให้อีกฝ่ายโดยสมัครใจ เช่น โชคลาภ หรืออายุขัย ไม่ว่าผู้รับจะทำอะไร ผลกรรมก็จะน้อยลงไปด้วย เพราะอีกฝ่ายให้ด้วยความสมัครใจ”
พวกนางตกใจขึ้นมา มีแบบนี้ด้วยหรือ
ชิวจื่อปั๋วเอ่ยด้วยความตกตะลึง “ข้า ข้ายังดึงผมสองเส้นมาห่อด้วยกระดาษสีแดงให้เขาเผาด้วย”
ฉินหลิวซีส่ายหน้าก่อนจะเอ่ย “ตามเหตุผลแล้ว ด้วยชาติกำเนิดอย่างท่านก็ควรจะมีความรู้บ้าง แถมยังอ่านหนังสือปราชญ์ด้วย เหตุใดจึงได้เลอะเลือนเหมือนน้ำเข้าสมองอย่างนั้น”
ชิวจื่อไป๋ถูกวิจารณ์จนรู้สึกอับอาย
“แม้ว่าคุณชายชิวจะเป็นคนเชื่อคนง่าย แต่คนผู้นั้นจะต้องหน้าเนื้อใจเสือ วาจาลื่นไหลด้วยแน่ๆ” เฉิงรั่วเหลียนนึกถึงตอนที่นางได้พบและพูดคุยกับผู้แอบอ้าง อีกฝ่ายพูดเก่งจริงๆ จนนางเองก็ยังรู้สึกแปลกใจว่า เหตุใดคนผู้นี้ดูแตกต่างไปจากที่พี่ชายว่าไว้ ที่แท้เขาก็เป็นตัวปลอมนี่เอง
ชิวจื่อปั๋วโค้งคำนับเฉิงรั่วเหลียน “แม่นางเฉงฉลาดนัก”
“เอาเป็นว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม มีแต่ท่านเท่านั้นที่โง่ ถูกหลอกจนต้องตาย แถมยังต้องเสียสถานะตัวตนไปด้วย” ฉินหลิวซีเอายอย่างเย็นชา
ชิวจื่อปั๋ว “…”
แม้ข้าจะรู้ดีว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ แต่ไม่จำเป็นจะต้องปากร้ายเพียงนั้นหรือไม่
ฮูหยินเฉิงยังกล้ามองชิวจื่อปั๋วแล้วเอ่ยถามว่า “แล้วท่านก็ถูกเขาฆ่าหรือ”
ชิวจื่อปั๋วเอ่ย “”ใช่ เราเป็นพี่น้องร่วมสาบานแล้ว จะไม่ฉลองได้อย่างไร เขาเก็บเห็ดพิษมาผสมกับชนิดที่ไม่มีพิษแล้วต้มน้ำแกง ทำไก่ขอทาน[1] เปิดไหสุรา ข้ากินน้ำแกงเห็ดนั่นเข้าไปแล้วก็ไม่มีอะไรต่ออีก”
“โง่ไปหน่อย แต่ก็ถือว่าเป็นผีที่ตายแบบอิ่มท้อง”
ทุกคนงุนงง “!”
ชิวจื่อปั๋วอดกลั้นโทสะ “หลังจากที่ข้าถูกพิษตาย เขาก็ซ่อนข้าไว้ในถ้ำ เปลื้องผ้าข้าตรวจดูทั้งนอกใน จากนั้นเขาก็กลับไปที่บ้านเกิดของเขา ขายทรัพย์สินทั้งหมดที่มี ประโคมข่าวว่าจะเข้าเมืองหลวงหางานทำ จากนั้นเขาก็ไปหาหญิงชราคนหนึ่งและใช้เข็มแทงทำไฝแดงบนติ่งหูในตำแหน่งเดียวกันกับข้า จากนั้นก็กลับไปที่ถ้ำ ฝังศพและถอดเสื้อผ้าข้าทั้งหมด กลายเป็นข้า และกลับไปเรียนที่สำนักศึกษา”
ฮูหยินเฉิงขมวดคิ้วพลางเอ่ย “ท่านมีเด็กรับใช้ที่ติดตามไปคอยรับใช้ท่านที่อำเภอจังไปด้วยไม่ใช่หรือ”
ชิวจื่อปั๋ว “ข้าคงถึงที่ตายจริงๆ ตอนที่ข้าติดตามไปดูแลอาจารย์ที่ป่วย เฉินฟู่กุ้ยเด็กรับใช้ของข้าก็ขาหัก ได้รับบาดเจ็บถึงกระดูกต้องรักษาเป็นร้อยวัน ข้าก็ไม่ใช่คนที่อ่อนแอที่ต้องให้เด็กรับใช้ทำทุกอย่างให้ จึงไปที่อำเภอจังเพียงลำพัง ความจริงก็คือเฉินฟู่กุ้ยไม่ได้ล้มขาหัก แต่ถูกคนในบ่นพนันทุบตีจนขาหัก เขาหลอกข้า นอกจากนี้เขายังพบว่าหลี่ขุยเป็นตัวปลอม แต่เขาต้องการเงินไปใช้หนี้พนันจึงปิดบังเรื่องนี้ไว้ และใช้เรื่องนี้ข่มขู่เขาเพื่อเอาเงิน ไม่อย่างนั้นก็จะแจ้งความ”
ทุกคนต่างก็คิดออกว่าเกิดอะไรขึ้นต่อไป ในเมื่อหลี่ขุยทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้สถานะเขามา แล้วจะเก็บภัยคุกคามเช่นนี้ไว้ได้อย่างไร และถึงอย่างไรการข่มขู่เอาเงินเช่นนี้มีครั้งหนึ่งได้ก็มีครั้งที่สองได้
“หลี่ขุยเป็นคนโหดร้ายและเด็ดขาด เมื่อเฉินฟู่กุ้ยขอเงินเป็นครั้งที่สอง เขาก็มอบให้ แต่เป็นเงินเพื่อซื้อชีวิตของเขา” ชิวจื่อปั๋วหัวเราะ “เป็นเพราะเฉินฟู่กุ้ยเองก็โลภเช่นกัน เขาติดการพนัน ได้เงินมาแล้วก็ยังไปเล่นเสียจนหมด และยังโวยวายในบ่อน จึงถูกทุบตีเกือบตาย หลังจากที่ออกจากบ่อนพนันมาก็ถูกหลี่ขุยแทงเพราะเขาเป็นเด็กรับใช้ประจำตัวของข้า เฉินฟู่กุ้ยที่ติดการพนันก็ตายไม่ไกลจากบ่อนพนันนัก จึงไม่มีใครสงสัยว่า ‘ข้า’ เป็นคนฆ่าเขา”
“คนผู้นี้โหดร้ายและเสแสร้งเก่งเกินไปแล้ว” ฮูหยินเฉิงและคนอื่นๆ รู้สึกเย็นเยียบ
ถ้าไม่ได้เอาแปดอักษรมาทำนายชะตา แล้วรีบหมั้นหมายหรือแต่งงานก็คงไม่รู้ว่ามีหมาป่าเนรคุณนอนอยู่ข้างๆ
ต้องรู้ว่ายิ่งแสดงไปนานเท่าใดก็ยิ่งไร้ที่ติมากขึ้นเท่านั้น
“แม้ว่าจะมาแทนที่ แต่กลับไปที่สำนักศึกษาแล้ว ก็ไม่มีเพื่อนร่วมชั้นคนไหนสังเกตเห็นความผิดปกติเลยหรือ ถึงจะรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับคนคนหนึ่ง แต่ก็คงไม่รู้ว่าเพื่อนร่วมชั้นใครเป็นใครหรอกมิใช่หรือ” ฉินหลิวซีเอ่ยถามขึ้นอีก
ชิวจื่อปั๋วยิ้มอย่างขมขื่น “นั่นคือความฉลาดของเขา พอเขากลับไปที่สำนักศึกษา เขาไม่รู้ว่าใครเป็นใคร แต่เขาใช้ยาทำให้เจ็บคอ ไม่สามารถพูดได้ไปสักพัก สามารถหลีกเลี่ยงการเปิดเผยพิรุธในการสนทนาไปได้ และยังทำให้เขาสังเกตว่าใครเป็นใครได้ง่ายขึ้นอีกด้วย พอคอของเขาหายดีแล้ว ยังสามารถอธิบายเรื่องที่เสียงของเขาเปลี่ยนไปได้”
ฉินหลิวซี “เขาเป็นคนมีพรสวรรค์ มีไหวพริบ แต่เอาไปใช้ทำอะไรไม่ทำ เอามาขโมยตัวตนของคนอื่น และใช้ชีวิตภายใต้ชื่อคนอื่น จิ๊?”
ด้วยสมองและความทะเยอทะยานเช่นนี้ อย่างไรเสียเขาก็จะสามารถสร้างชื่อเสียงได้ แต่เขากลับเลือกทางผิด
“คุณชายชิวเป็นบัณฑิตจวี่เหรินคนหนึ่ง ถือได้ว่าเป็นบุตรชายของตระกูลขุนนาง ด้วยสถานะเช่นนี้ เทียบกับเด็กยากจนก็ต้องดีกว่ามากอยู่แล้ว” ฮูหยินอวี๋เอ่ยขึ้นอีก
เฉิงรั่วหลียนเอ่ย “แต่ไม่ว่าต่อไปนี้เขาจะประสบความสำเร็จมีเกียรติ มันก็จะเป็นของชิวจื่อปั๋ว ไม่เกี่ยวอะไรกับหลี่ขุย เขาจะเต็มใจหรือ”
ฮูหยินเฉิงลูบศีรษะบุตรสาวพลางเอ่ย “เด็กโง่ แม้ว่าเขาจะไม่สูญเสียความนับถือตนเองไปบ้าง แต่เขาก็เป็นคนที่ได้เสพสุขกับผลประโยชน์ที่แท้จริง ไยเขาถึงจะยอมรับมันไม่ได้ ด้วยเหตุนี้การที่เขามีจิตใจและแผนการเช่นนี้ก็พิสูจน์ให้เห็นว่าความเยือกเย็นของเขาใช่ว่าคนธรรมดาจะเทียบได้ บางทีเขาอาจจะถึงขั้นพึงพอใจเพราะเขาเป็นคนที่ทำให้ตัวตนของชิวจื่อปั๋วสมบูรณ์แบบ”
เฉิงรั่วเหลียนนิ่งเงียบ ทันใดนั้นนางก็รู้สึกการแต่งงานกับใครสักคนไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย รู้หน้าแต่ไม่รู้ใจ ใครจะรู้ว่าภายใต้รอยยิ้มอันอ่อนโยนจะมีเขี้ยวเล็บอะไรซ่อนอยู่หรือไม่
“เอาล่ะ ตอนนี้ก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น พวกท่านก็ไปแจ้งทางการได้แล้ว” ฉินหลิวซีปรบมือ
ฮูหยินอวี๋เอ่ย “เราจะเอ่ยอย่างไรดี คงไม่สามารถเอ่ยได้ว่าเราเจอตัวจริงแล้วกระมัง? เขาแอบอ้างมานานแล้ว จู่ๆ ไปเอ่ยเช่นนั้น ใครจะเชื่อเล่า”
“แค่ขุดศพขึ้นมาก็ได้แล้ว นั่นคือหลักฐานแล้ว”
“เขาจะเล่นลิ้นหรือไม่?
ฉินหลิวซีขมวดคิ้วและเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็หาคนที่รู้จักเขาดีที่สุดไปแจ้งความด้วย เช่น ท่านอาจารย์ของท่านคนนั้น”
ชิวจื่อปั๋วนึกถึงอาจารย์ สายตาของเขาก็ดำมืดลงเล็กน้อย “เกรงว่าท่านอาจารย์ก็จะไม่เชื่อ”
“ถ้าอย่างนั้นให้เขาเห็นท่านด้วยตาของเขาเอง” ฉินหลิวซีเดินออกไป ในไม่ช้าก็กลับมาพร้อมกับกระดาษยันต์ที่เพิ่งวาดสดๆ และมอบให้พวกฮูหยินเฉิง “นี่คือยันต์ที่จะทำให้เห็นวิญญาณได้ บนยันต์มีน้ำตาวัว ขอแค่เผามันต่อหน้าอาจารย์ของเขา ก็จะเห็นเขาได้”
ฮูหยินเฉิงรับไปก่อนจะถามว่า “ถ้าเราเปิดตาวิญญาณ แล้วเราจะเห็นมันด้วยหรือไม่”
“มันจะคงอยู่ได้เพียงสองสามวัน เพียงออกไปรับแสงแดดให้มากสักหน่อย หากพวกท่านกลัว ข้าจะผนึกมันให้” ฉินหลิวซีมอบยันต์อีกจำนวนหนึ่งให้อีก “พกติดตัวไว้ วิญญาณและสิ่งชั่วร้ายจะไม่กล้าเข้าใกล้”
ทุกคนรีบรับมันมาใส่ไว้ในถุงเงินทันที
หลังจากรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว พวกฮูหยินเฉิงก็ไม่ได้อยู่ที่อารามเต๋าต่อ เพราะพวกนางยังคงต้องไปหาอาจารย์ของชิวจื่อปั๋ว ส่วนเรื่องดวงตาวิญญาณชั่วคราวนั้น ยกเว้นเฉิงรั่วเหลียนแล้ว ก็ไม่มีใครปิดผนึกไว้ ต้องรอให้เรื่องคลี่คลายก่อนค่อยว่ากัน
สิบวันต่อมา ฉินหลิวซีก็ได้พบกับฮูหยินเฉิงและบุตรสาวของนางอีกครั้ง และชิวจื่อปั๋วที่ติดตามข้างกายนาง เขากลับคืนสู่รูปร่างหน้าตาก่อนที่จะตายแล้ว ดูเหมือนว่าความปรารถนาของเขาจะเป็นจริง สีหน้าจึงดูแช่มชื่นกว่าเดิมมาก
แล้วก็เป็นไปตามที่นางคาดไว้จริงๆ เมื่อมีอาจารย์ของชิวจื่อปั๋วเป็นพยาน ทั้งยังพบศพของชิวจื่อปั๋ว ทำให้หลี่ขุนไม่มีทางหลบหนีต้องถูกขังคุก เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดการถกเถียงกันมากมายในสำนักศึกษา ต่างก็รู้สึกว่าช่วงนี้ชิวจื่อปั๋วแปลกไปเล็กน้อย ที่แท้ก็เพราะเขาถูกสวมรอยนี่เอง
ความอยุติธรรมสิ้นสุดลงแล้ว ไอแค้นของชิวจื่อปั๋วก็หมดไป เขาขอบคุณฉินหลิวซีอย่างจริงใจและไปเกิดใหม่
ฮูหยินเฉิงไม่เพียงมาขอบคุณฉินหลิวซีเท่านั้น แต่ยังมาเพื่อแจ้งให้ทราบผลของเรื่องนี้ และยังขอให้อีกฝ่ายทำนายดวงชะตาให้บุตรสาวด้วย และได้รู้ว่านางจะต้องแต่งงานให้ช้าหน่อย ไม่เช่นนั้นช่วงครึ่งชีวิตแรกนี้จะต้องลำบากหน่อย อาจมีเคราะห์ หรือจะต้องเข้าร่วมการคัดเลือกสนมโดยไม่มีทางเลือกอื่น?
“ท่านเจ้าอาวาสน้อย ได้โปรดชี้แนะด้วย” เฉิงรั่วเหลียนยืนขึ้นด้วยสายตาที่แน่วแน่ นางต้องต่อสู้เพื่อชะตากรรมของตนเอง
ฉินหลิวซีมองนาง ดวงตายกโค้งขึ้น “ข้าเห็นว่าเจ้าเป็นคนมีวาสนา ไม่สู้มาเป็นศิษย์ฆราวาสที่อารามของเรา มวยผมปฏิธรรมดีหรือไม่”
อู๋เหวยถือไม้กวาดกวาดใบไม้ที่ร่วงหล่นเต็มพื้น และเหลือบมองเข้ามาในห้องโถง “ท่านเจ้าอาวาสน้อยพยายามหาผู้ศรัทธาอีกแล้ว”
[1] ไก่ขอทาน อาหารขึ้นชื่อของเมืองเจียงซู เป็นไก่ยัดไส้ที่ทำคล้ายกับไก่แปดสมบัติ หมักเครื่องปรุงรส ยัดไส้ด้วยขิงเห็ดและหน่อไม้ พอกด้วยดินเหลืองแล้วอบในกองฟาง