คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 730 ภาพลักษณ์โลภเงินทองหยั่งรากลึกในใจคน
ตอนที่ 730 ภาพลักษณ์โลภเงินทองหยั่งรากลึกในใจคน
ความจริงแล้วลู่สวิ่นก็นับถือฉินหยวนซานอยู่บ้าง หลังจากถูกเนรเทศเป็นเวลาหนึ่งปี ความผิดที่เขาแบกรับไว้ก็ได้รับการพิสูจน์อย่างรวดเร็ว ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณหลานสาวของเขาด้วย
ต้องเข้าใจว่าเพื่อผลักดันการสอบสวนอย่างเข้มงวดในคดีนี้ การฟ้องร้องของอวี๋ซื่อเป็นจุดเริ่มต้น เบื้องหลังยังมีเถิงเทียนฮั่นจากศาลต้าหลี่ที่รีบคว้าโอกาสนี้ทันที แม้แต่ใต้เท้าอันซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของเขาก็หลับตาข้างหนึ่ง ปล่อยให้เขาทำทุกอย่างที่ต้องการ
เรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือเสนาบดีลิ่นเองก็กดดันมาเช่นกัน แม้ว่าเขาจะไม่ได้ลงมือเอง แต่ใครเป็นคนของเขา เขาเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจ
คดีนี้ พวกเขาจับพวกลิ่วล้อของรัชทายาทเพื่อสร้างเรื่อง
หากไม่ตรวจสอบ ใครจะรู้ว่าเหยาชิง เสนาบดีประจำสำนักกวงลู่ซึ่งดำรงตำแหน่งมาหนึ่งปีแล้วนั้นเป็นคนของรัชทายาท?
แต่เอ่ยตามตรง หากไม่ใช่เพราะความสัมพันธ์ของฉินหลิวซีแล้ว คนเหล่านั้นจะพยายามผลักดันคดีนี้อย่างเต็มที่และทำให้คดีนี้ปรากฏต่อหน้าฝ่าบาทเร็วเพียงนี้หรือ
แม้ว่าเขาเองก็จะช่วยเพิ่มฟืนเข้าไปด้วย นี่ไม่ใช่เพราะเห็นแก่ฉินหลิวซี เต็มใจตอบแทนน้ำใจนางหรอกหรือ
ดังนั้นฉินหยวนซานผู้นี้จึงโชคดีจริงๆ!
“ต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าเรื่องนี้จะจบเรื่องหรือ” ฉินหลิวซีถาม
ลู่สวินเอ่ย “ยังบอกไม่ได้ แต่หากสืบสวนได้ราบรื่น ความอยุติธรรมของใต้เท้าฉินก็คงจะจบลงในปีนี้อย่างแน่นอน”
“ค่อนข้างเร็วทีเดียว”
ลู่สวินเหลือบมองนาง น้ำเสียงของนางฟังดูเหมือนเสียดาย?
“จริงสิ ท่านบอกว่ามีคนไหว้วานมา เป็นเรื่องใดหรือ ในเมื่อเปิดเผยเรื่องนี้มาก่อนแล้ว ก็คงเป็นเรื่องที่ต้องการให้ข้าช่วยหรือไม่” ฉินหลิวซีเหล่มองเขา “ตกลงกันก่อน เงินทำบุญที่ข้าหามาได้ตอนนี้เพียงพอให้ข้าขี้เกียจไปได้สักระยะ งานที่ยากเกินไปข้าไม่รับ”
“สำหรับท่านแล้ว น่าจะเป็นเรื่องง่ายมาก เป็นภรรยาของญาติผู้น้องของข้า หลังจากคลอดแล้ว สุขภาพร่างกายนางก็ไม่ดีมาตลอด อารมณ์แปรปรวนเป็นครั้งคราว ช่วงนี้ยิ่งเหน็ดเหนื่อยจนอารมณ์แปรปรวนผิดปกติ ข้าได้ยินมาว่า ท่านช่วยรักษาพี่สาวของเจียงเหวินหลิวมาก่อน ก็เลยอยากเชิญท่านไปรักษาให้หน่อย” ลู่สวินเอ่ย “ญาติผู้น้องของข้าและภรรยายังหนุ่มสาว บัดนี้ความสัมพันธ์ของเขาเปลี่ยนไป เขาก็รู้สึกหงุดหงิดมากเช่นกัน คงจะน่าเสียดายถ้าทั้งสองคนกลายเป็นคนแปลกหน้ากันไป”
“เมืองเอ้อ”
ไกลอย่างนั้น ฉินหลิวซีปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด “ไม่ไป”
ลู่สวิ๋นกระแอมทันที “ได้ยินมาว่าอารามชิงผิงกำลังจะสร้างวิหารใหม่ ไม่ต้องมีเทวรูปร่างทองแวววาวสักสององค์หรอกหรือ”
ฉินหลิวซีสำลักชาที่เพิ่งดื่มเข้าไป มองไปอย่างเงียบๆ
เป็นเพราะภาพลักษณ์ของใจดี (โลภในเงินทอง) ของนางหยั่งรากลึกอยู่ในใจคนแล้วใช่หรือไม่ จับจุดอ่อนเก่งจริงๆ!
ลู่สวินยิ้มอย่างเป็นมิตร
ฉินหลิวซีนับนิ้วแล้วยิ้มออกมาทันที “การไปครั้งนี้จะได้พบกับผู้มีวาสนาต้องกัน อากาศจะแจ่มใสในไม่ช้า ไปชื่นชมทิวทัศน์ฤดูใบไม้ร่วงสักหน่อยก็คงจะดี”
…
ฉินหลิวซีจะไปเมืองเอ้อ นักพรตเฒ่าชื่อหยวนจึงเลื่อนการกักตนออกไป และยังดูแลอารามต่อไปก่อน และการเดินทางครั้งนี้ ฉินหลิวซีได้พาลูกศิษย์สองคนและเฮยซาไปด้วย เดินทางทางน้ำและทางบกครึ่งเดือนโดยไม่หยุดพักก็ถึงเมืองเอ้อตอนต้นเดือนแปด
“ลำบากท่านเดินทางแล้ว” ลู่สวินมาที่รถม้าของฉินหลิวซีและเอ่ย “ข้าได้ส่งม้าเร็วไปส่งข่าวแล้ว อีกไม่นานก็จะได้เข้าพักในจวนแล้ว”
“ไม่เป็นไร” ฉินหลิวซีหันไปมองศิษย์ทั้งสองคน เถิงเจานั่งขัดสมาธิหลังหยัดตรง กำลังหลับตาทำสมาธิ ราวกับรู้สึกได้ถึงสายตาจ้องมองของเธอ จึงลืมตาขึ้นด้วยสายตาเป็นคำถาม
ส่วนวั่งชวน ตอนแรกนางก็ตื่นเต้น แต่ตอนนี้นางกำลังนอนเกาะอยู่บนตักของเฉินหลิวซีอย่างเหี่ยวเฉา ตรงหน้านางเป็นหนังสือสมุนไพรพร้อมภาพประกอบเล่มหนึ่ง
“จะเข้าเมืองแล้ว พวกเจ้าดูผู้คนในเมืองเอ้อนี้เถิด” ฉินหลิวซีกปัดผมนุ่มๆ บนศีรษะของนาง
เด็กทั้งสองได้ยินดังนั้นก็ขยับเข้าใกล้ประตู มองออกไปด้วยท่าทางสนอกสนใจ
เสียงฝีเท้าม้าอันเร่งรีบดังลอยเข้ามา
ฉินหลิวซีเหลือบตามอง ก็เห็นคนที่แต่งตัวลักษณะเหมือนองครักษ์ผู้นั้นควบม้าเข้าไปหาลู่สวินก่อน หลังจากกระโดดลงจากหลังม้าก็ประสานมือคารวะ แล้วมองมาทางรถม้าของนางเล็กน้อย ก่อนที่จะกลับขึ้นม้าไป และเปิดทางเข้าเมือง
เมืองเอ้อนับว่าอยู่ค่อนข้างใกล้กับเมืองหลวง และเจริญรุ่งเรืองมากกว่าเมืองหลีมาก ฉินหลิวซีได้ยินวั่งชวนพูดเจื้อยแจ้วถามเถิงเจา ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
กว่าครึ่งชั่วยามหลังจากนั้น รถก็หยุดลง ฉินหลิวซีลงจากรถก่อน จากนั้นก็อุ้มวั่งชวนลงไป แล้วแอบทุบเอวเล็กน้อย
นี่มันเทวรูปร่างทองแบบไหนกัน หาเงินไม่ใช่ง่ายจริงๆ หุนหันพลันแล่นไปเสียแล้ว!
นางยืนอยู่ข้างรถและมองไปยังบ้านที่อยู่ด้านหน้า แล้วหว่างคิ้วก็กระตุกขึ้นทันที
“เป็นปราณทองคำมงคลที่เข้มข้นมาก” เถิงเจายืนเคียงข้างนางและถอนหายใจด้วยความตื่นเต้น
ในสีแดงมีทองคำ ดาวเทียนขุยสถิตอยู่กลางหน้าผาก ดาวมงคลส่องแสงเจิดจ้า มีขุนนางขั้นสูงเป็นคนปกครองบ้านหลังนี้
ฉินหลิวซีชมเชย “ตอนนี้เจ้าดูปราณได้เก่งขึ้นจริงๆ”
เมื่อได้ยินคำชมเชย เถิงเจาเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ในใจก็รู้สึกมีความสุขอยู่บ้าง
วั่งชวนกลับจับมือฉินหลิวซี และเกาะติดขาของนางอย่างไม่สบายใจ
ฉินหลิวซีเห็นว่ามือเล็กๆ ของนางเย็นเล็กน้อย จึงอดก้มศีรษะลงถามไม่ได้ “เป็นอะไรหรือ”
“ท่านอาจารย์ ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบายเจ้าค่ะ” วั่งชวนมองไปอีกทางหนึ่ง คิ้วขมวดมุ่น ใบหน้ายู่ยี่
ฉินหลิวซีมองตามสายตานางไป แล้วรอยยิ้มก็จางลงเล็กน้อย
นั่นคือบ้านตรงข้าม ในทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ มีไอหยินรวมตัวปกคลุมอยู่ที่นั่น แยกเขี้ยวกางกรงเล็บ
ฉินหลิวซีจับมือวั่งชวนแน่นและถอนหายใจขณะที่คิดถึงแปดอักษรดวงชะตาของเด็กคนนี้
วั่งชวนและเจาเจามีร่างกายที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง นางมีร่างกายหยินบริสุทธิ์แปดอักษรเป็นหยินทั้งหมด จึงสามารถสัมผัสถึงพลังหยินชั่วร้ายได้ดีกว่าคนทั่วไป เมื่อนางอายุมากขึ้น สัมผัสนี้ก็จะชัดเจนยิ่งขึ้นและยังเป็นที่โปรดปรานของวิญญาณชั่วร้ายและนักพรตสายมารมากขึ้นด้วย
ตอนนี้ทิศทางนั้นก็ไม่ได้อยู่ใกล้ที่นี่เท่าใดนัก วั่งชวนก็ยังรู้สึกได้ มิน่านางจึงรู้สึกไม่สบาย
“อาจารย์อยู่ด้วย ไม่เป็นไร” ฉินหลิวซีกดหน้าผากนาง
ทันใดนั้นวั่งชวนก็รู้สึกว่าความเย็นในร่างกายของนางหายไปเล็กน้อย และพยักหน้าด้วยรอยยิ้มหวาน
และในเวลานี้ ลู่สวินได้เดินนำชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามา “ท่านเจ้าอาวาส ให้ข้าแนะนำท่านก่อน นี่คือเว่ยเหรินลูกพี่ลูกน้องของข้า น้องเหริน นี่คือเจ้าอาวาสน้อยแห่งอารามชิงผิงเมืองหลี ฉายานามว่าปู้ฉิว มีความเชี่ยวชาญวิชาเต๋าทั้งห้า มีความโดดเด่นเป็นพิเศษเรื่องการรักษา ส่วนทั้งสองท่านนี้เป็นศิษย์ของนาง และยังมีสหายเต๋าท่านนี้ชื่อเฮยซา ล้วนเป็นผู้รู้วิชาอาคมไม่ธรรมดา”
แซ่เว่ย แซ่นี้หายาก ดูเหมือนว่าผู้สำเร็จราชการหูกว่าง[1]คนปัจจุบันดูเหมือนจะชื่อเว่ยถงฟัง พอมองปราณมงคลที่เข้มข้นเปี่ยมล้นของบ้านหลังนี้แล้ว คงจะเป็นจวนของผู้สำเร็จราชการเป็นแน่
พอเว่ยเหรินได้ยินที่ญาติผู้พี่แนะนำ เขาก็พูดไม่ออกอยู่บ้าง ดูเหมือนว่าญาติผู้พี่ของเขาจะนับถืออะไรแปลกๆ
แต่ใบหน้าเขากลับเผยรอยยิ้มที่จริงใจ เขาประสานมือพลางเอ่ย “ท่านเจ้าอาวาสน้อยลำบากแล้ว ข้าไม่ได้ไปรับท่านมาด้วยตัวเอง เดินทางมาเหน็ดเหนื่อยเช่นนี้ เข้าไปล้างหน้าล้างตาพักผ่อนข้างในกันก่อนดีหรือไม่”
ฉินหลิวซีทักทายอย่านักพรต “รบกวนด้วย” จากนั้นนางก็หยุดไปเล็กน้อยก่อนจะถามว่า “จริงสิ ไม่ทราบว่าบ้านตรงข้ามเป็นของผู้ใดหรือ”
เว่ยเหรินตกไปเล็กน้อย ก่อนจะตอบว่า “นั่นจวนหรงอันจวิ้นจู่ ทำไมหรือ”
ฉินหลิวซีบังไม่ทันจะได้ตอบเขา ก็เห็นรถม้าสามคันแล่นมาจากอีกด้านหนึ่ง ก่อนจะหยุดลงที่ข้างประตู มีชายชราสวมชุดสีเหลืองตุ่นลงมาจากรถ มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งติดตาม คนฝั่งตรงข้ามก็ดูเหมือนจะสงสัยว่าทางด้านนี้เหตุใดจึงมีคนอยู่มาก มองมาเช่นเดียวกัน
บังเอิญทีเดียว บังเอิญพบสหายร่วมอาชีพ!
[1] หูกว่าง หมายถึง หูเป่ย หูหนาน เป็นต้น