คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 731 เป็นนักพรตหญิงที่มีความสามารถผู้หนึ่ง
ตอนที่ 731 เป็นนักพรตหญิงที่มีความสามารถผู้หนึ่ง
จวนผู้สำเร็จราชการหูกว่างมีกฎและระเบียบมาก เมื่อเข้าไปในจวนแล้ว ก็จะต้องนั่งเกี้ยวหามไปที่เรือนหน้า เกี้ยวนี้ยังแบกหามได้อย่างมั่นคงมาก ไม่รู้สึกโยกเยกเลยแม้แต่น้อย เมื่อมาถึงเรือนที่พัก เครื่องเรือนทั้งหมดสะท้อนถึงความหรูหรา ฉินหลิวซีแอบถอนหายใจในความภาคภูมิใจในชาติตระกูลนี้ มันไม่ใช่เรื่องโกหกเลย
กลุ่มของฉินหลิวซีมาถึงก็เป็นเวลาเที่ยงแล้ว คนที่เข้ามาพบลู่สวินก่อนก็คือฮูหยินเว่ยอาหญิงของลู่สวิน จากนั้นเว่ยเหรินก็มาด้วย พวกเขากินข้าวกลางวันกันก่อนแล้วจึงพักผ่อน ส่วนเรื่องรักษา ย่อมต้องรอให้นางพักให้หายเหนื่อยแล้วจึงไปที่เรือนหลัง
ลู่สวินไม่นอนกลางวัน แต่นั่งดื่มชาและพูดคุยกับเว่ยเหรินอยู่ในเรือนอีกหลังหนึ่ง
หลังจากที่อาหญิงของลู่สวินแต่งงานกับเว่ยถงฟังแล้ว นางก็ให้กำเนิดบุตรชายสองคนบุตรหญิงหนึ่งคน เว่ยเหรินเป็นบุตรชายคนโตและแต่งงานกับสะใภ้ไป๋ภรรยาของเขา ตอนนี้พวกเขาแต่งงานกันมาสามปีแล้ว และมีบุตรชายคนหนึ่ง เดิมทีเป็นเรื่องมงคลที่ทำให้ทุกคนมีความสุขมาก แต่จนใจที่สะใภ้ไป๋รู้สึกอึดอัดไม่สบายตัวเล็กน้อยก่อนคลอดบุตร หลังคลอดนางยังมีอาการชักเป็นครั้งคราว พอหาหมอมารักษาให้ก็ดีขึ้น แต่ก็กลับมาเป็นๆ หายๆ ซึ่งทำให้นางมีอารมณ์หดหู่ ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองก็ไม่ดีเหมือนเมื่อก่อน
ลู่สวินเห็นว่าลูกพี่ลูกน้องของตนซึ่งอายุน้อยกว่าเขาครึ่งปีมีรอยคล้ำใต้ตา สีหน้าหม่นหมอง จึงปลอบใจเขา “ทักษะทางการแพทย์ของท่านเจ้าอาวาสน้อยนั้นดีมาก เจ้าไม่ต้องกังวล นางจะต้องรักษาอาการป่วยของน้องสะใภ้ได้แน่นอน ถึงเวลานั้น เจ้าก็อยู่กับนางให้มาหน่อย พูดคุยกันหน่อยก็จะดีเอง”
เว่ยเหรินหลุดหัวเราะ “คนที่ยังไม่ได้แต่งงานอย่างท่านมาปลอบใจข้า? แม่นางหลานจากไปสามปีแล้ว ก็ใช่ว่าท่านจะต้องอยู่เป็นโสดเพื่อคู่หมั้นเสียหน่อย ควรจะแต่งงานได้แล้ว องค์หญิงใหญ่จะต้องร้อนใจแล้วแน่ๆ”
ลู่สวินหลุบตาลงพลางเอ่ย “น่าจะใกล้แล้ว ตอนนี้ฝ่าบาทกำลังคัดเลือกนางสนม ท่านแม่ของข้าก็ตั้งใจที่จะเลือกกุลสตรีสักคนในหมู่พวกนาง”
เว่ยเหรินตกใจเล็กน้อย “ก็ดีแล้ว” ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนไปเอ่ยถึงเรื่องอื่น “ท่านเคารพนับถือเจ้าอาวาสน้อยคนนี้ เก่งกาจราวปฏิหาริย์อย่างที่ท่านว่าจริงๆ หรือ”
“นางเป็นคนรักษาโรคให้ข้าเอง หากข้าไม่เคยมีประสบการณ์ด้วยตัวเอง จะกล้าแนะนำเจ้าได้อย่างไร” ลู่สวินยิ้มอย่างมั่นใจ แต่เมื่อคิดว่าฉินหลิวซีเองก็ไม่ใช่เทพเซียน เขาจึงเหลือทางถอยไว้ให้ “แน่นอนว่า แม้ว่านางจะเป็นหมอแต่ก็ไม่ใช่เทพเซียน คงก็ไม่สามารถทำให้ทุกคนฟื้นคืนชีพได้ นางเองก็มีคนหรือโรคที่รักษาไม่ได้ หากนางตรวจดูน้องสะใภ้แล้ว มีความมั่นใจ นางจะต้องพยายามให้อธิบายอย่างชัดเจนที่สุดแน่”
เว่ยเหรินมีหรือจะฟังไม่ออกว่าเขาเหลือทางถอยไว้ให้ฉินหลิวซี จึงอดเหลือบมองเขาไม่ได้ นี่เขากำลังปกป้องนักพรตหญิงผู้นั้นอยู่หรือ
“พี่ชาย นักพรตหญิงผู้นั้นดูน่าประทับใจทีเดียว ท่าน…”
ลู่สวินตกตะลึงทันที จากนั้นหูของเขาก็แดงก่ำ “เจ้ากำลังพูดเหลวไหลไร้สาระอะไร มันไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด!”
เว่ยเหรินหัวเราะหึๆ
“เจ้าอย่าหัวเราะเช่นนั้น และอย่าได้หยาบคายเสียมารยาทต่อหน้าท่านเจ้าอาวาสน้อยด้วย ไม่อย่างนั้นถ้าเจ้าทำให้นางโกรธ ข้าก็ช่วยเจ้าไม่ได้หรอกนะ นางไม่เหมือนกับนักพรตหญิงทั่วไปในวัดหรืออาราม แต่มีความสามารถจริงๆ” ลู่สวินทำหน้าจริงจัง
เว่ยเหรินเห็นว่าเขาทำท่าทางจริงจัง จึงเอ่ยว่า “ท่านไม่ต้องห่วง ข้าเข้าใจดีว่าต้องพูดอย่างไรในโอกาสไหน เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ข้าเข้าใจดีอยู่ เราก็แค่พูดคุยเล่นๆ กันสองคนพี่น้อง”
และเวลานั้นเองก็มีบ่าวรับใช้เข้ามาแจ้งว่า เว่ยถงฟังให้มาเชิญลู่สวินไปพบ
ฉินหลิวซีนอนกลางวันจนตื่นแล้ว หลังจากมองดูดวงอาทิตย์ ก็รีบเรียกบ่าวรับใช้มา รีบทำการรักษา
บ่าวรับใช้รีบออกไปรายงานทันที และหลังจากนั้นไม่นานเว่ยเหรินก็มารับพวกเขาด้วยตัวเอง และนำพวกเขาไปที่เรือนด้านใน
แต่ก่อนที่พวกเขาจะเดินไปถึงเรือนของตนเอง ก็เห็นหญิงชราคนหนึ่งวิ่งออกมาอย่างเร่งรีบ เว่ยเหรินเห็นแล้วก็รู้ทันทีว่าเป็นหญิงชราที่ทำงานอยู่ในเรือนของตนและภรรยา จึงรีบเรียกนางไว้ “หยุดก่อน เหตุใดถึงได้ตื่นตระหนกเพียงนี้”
เมื่อหญิงชราเห็นเขาจึงรีบคุกเข่าลงรายงานว่า “เรียนคุณชายใหญ่ ฮูหยินอาการกำเริบอีกแล้วเจ้าค่ะ บ่าวกำลังจะไปตามท่านหมอ”
สีหน้าของเว่ยเหรินเปลี่ยนไปทันที เขาหันไปมองฉินหลิวซี
“นำทางไปเถิด”
เว่ยเหรินเอ่ย “ตามข้ามาทางนี้” แล้วก็สั่งความกับหญิงชรา “ไปเชิญท่านแม่มาสักหน่อย และไปเชิญท่านหมอมาช่วยด้วย”
อาจเพราะเป็นห่วงภรรยา เขาทั้งตัวสูงและมีช่วงขายาวจึงเดินเร็วมาก ฉินหลิวซีเองก็ต้องรีบเดินตามไปด้วย
เมื่อเข้าไปในเรือนเสาเหนียนก็เห็นความวุ่นวายภายในเรือน ทั้งยังมีเสียงทารกร้องไห้จ้า
เว่ยเหรินดุ “ลนลานอะไรกัน?”
เมื่อเห็นแม่นมกำลังอุ้มเด็กและกล่อมบุตรชายที่กำลังร้องไห้อยู่ตรงระเบียง เขาก็ขมวดคิ้ว “ยังจะอุ้มชงเอ๋อร์อยู่ที่นี่ทำไมอีก? ยังไม่อุ้มเขาไปเดินเล่นในสวนแล้วปลอบเขา”
แม่นมหน้าซีดและทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อยหลังจากที่ถูกดุ ขณะที่เดินออกไป เท้าของนางก็อ่อนแรงและเกือบล้มลงกับพื้น
ฉินหลิวซีเข้าไปพยุงอย่างรวดเร็ว “ช้าหน่อย”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” แม่นมกล่าวขอบคุณด้วยท่าทางตกใจ
ฉินหลิวซีเห็นว่าเด็กทารกร้องไห้จนหน้าแดง ท่าทางเหมือนหายใจไม่ทัน นางจึงยื่นมือออกไปและปัดหน้าผากเบาๆ พลางเอ่ยว่า “เด็กดี ไม่ต้องร้องแล้ว”
ภาพมหัศจรรย์ก็ปรากฏขึ้นทันที เด็กที่แผดร้องไห้ดังจ้าเมื่อครู่นี้ดูเหมือนจะฟังเข้าใจ เสียงร้องไห้นั้นค่อยเบาลง สะอึกสะอื้นทั้งยังมีน้ำตาคลอเบ้า ท่าทางน่าสงสารมาก
“นี่ นี่…” แม่นมมองฉินหลิวซีด้วยความประหลาดใจ
แม้แต่เว่ยหรินเองก็ตกใจเล็กน้อย เขารู้จักบุตรชายตนเองดีที่สุด ลูกเขาสามารถร้องไห้ได้เป็นครึ่งชั่วยามทีเดียว แต่นี่ฉินหลิวซีพูดคำเดียวก็หยุดแล้ว?
นางเป็นนักพรตหญิงที่มีความสามารถจริงๆ!
คำพูดของญาติผู้พี่ยังก้องอยู่ในหู
ฉินหลิวซีมองเด็กน้อยที่ดูอ่อนแอ และรอยคล้ำใต้เปลือกตาล่างของเขาแล้วเอ่ยขึ้นา “เด็กคนนี้มีม้ามพร่องจึงตกใจได้ง่าย เมื่อครู่นี้คงตกใจกระมัง”
“ใช่ ใช่เจ้าค่ะ” แม่นมเอ่ย “จู่ๆ ฮูหยินใหญ่ก็อาการกำเริบตอนที่เล่นกับคุณชายน้อย ก็เลย…”
ฉินหลิวซีหยิบยันต์แคล้วคลาดมากดลงบนปกเสื้อของเขา ก็ได้ยินเสียงอุทานด้วยความประหลาดใจดังขึ้นข้างใน นางจึงหันไปมองเว่ยเหริน แล้วเอ่ยว่า “ไปดูฮูหยินใหญ่กันก่อนเถิด”
“เชิญท่านเจ้าอาวาสน้อยทางนี้” น้ำเสียงของเว่ยเหรินแสดงความเคารพมากขึ้น
ข้างในเรือนวุ่นวายมากกว่าข้างนอก สาวใช้และและบ่าวรับใช้หญิงหลายคนกำลังพยายามกดฮูหยินคนหนึ่งอยู่ เหตุการณ์วุ่นวายสับสนมาก
“คุณชายใหญ่มาแล้ว”
เว่ยเหรินก้าวเข้าไปอย่างรวดเร็วและตะคอกเสียงเข้ม “หลบไปให้หมด”
เหล่าสาวใช้และบ่าวรับใช้หญิงต่างก็หลบออกไป เผยให้เห็นสภาพของสตรีผู้นั้น ฉินหลิวซีเองก็ก้าวไปข้างหน้า เพียงดูก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
แขนขากระตุก ปากเบี้ยว พูดไม่ได้ มีอาการเกร็งหลังแอ่น นี่คืออาการชักเกร็ง
ฉินหลิวซีหยิบเข็มเงินออกมาจากเอวของนาง และก้าวเข้าไปพลางเอ่ยประโยคหนึ่ง “ล่วงเกินแล้ว”
เว่ยเหรินกวาดตามอง จึงได้เห็นเข็มเงินสามเข็มที่หนีบอยู่ระหว่างปลายนิ้วของนาง ทันทีที่สิ้นเสียงพูด เข็มเงินของนางก็ปักลงบนจุดฝังเข็มสำคัญหลายจุดบนตัวภรรยาเขา
สะใภ้ไป๋ตัวสั่นเล็กน้อยทันที แต่ไม่นานก็สงบลง ร่างกายของนางก็หยุดกระตุก หลังที่โค้งงอค่อยๆ ราบลง
เว่ยเหริน ดีมาก ญาติผู้พี่ของเขาไม่ได้โกหก นางมีความสามารถจริงๆ
โรคนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและสงบลงอย่างรวดเร็ว แต่สะใภ้ไป๋ต้องทุกข์ทรมานกับมัน หน้าผากและแผ่นหลังของนางเต็มไปด้วยเหงื่อชื้น ใบหน้านั้นซีดเล็กน้อย ดวงตาแดงเรื่อ เมื่อเห็นเว่ยเหริน นัยน์ตานั้นก็ยิ่งแดงขึ้น แสดงความเจ็บปวด
นางเกลียดตัวเองที่เป็นโรคนี้ และบางครั้งนางก็อยากจะตายไปเสียเลย จะได้ไม่ต้องทรมานเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่นางก็ตัดใจจากลูกเล็กไปไม่ได้อีก
เว่ยเหรินจับมือนาง ใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อบนหน้าผากให้นางก่อนจะเอ่ย “น้องหญิง เจ้าไม่ต้องกลัว พี่ชายก็เชิญหมอเทวดามาให้เราแล้วมิใช่หรือ เจ้าจะหาย เจ้าดูเถิด นี่ก็คือท่านเจ้าอาวาสน้อยผู้นั้น”