คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 732 ลูกศิษย์รักษาเป็น
ตอนที่ 732 ลูกศิษย์รักษาเป็น
สะใภ้ไป๋หันไปมองฉินหลิวซีและเห็นว่านางสวมชุดสีเขียว โดยที่คอเสื้อและแขนเสื้อมีอักขระปักอยู่ ผมสีดำของนางมวยไว้ด้วยปิ่นไผ่หยกสีม่วง เผยให้เห็นหน้าผากที่เรียบเนียนและอวบอิ่มของเธอ ดวงตาทั้งสองราวกับว่ามองทะลุจิตใจผู้คนได้
ก่อนหน้านี้เคยได้ยินมาว่านางเป็นนักพรตหญิงคนหนึ่ง แต่ใบหน้าและการแต่งกายเช่นนี้ รวมไปถึงบุคลิกลักษณะของนาง ทำให้ยากจะเดาได้ว่าเป็นบุรุษหรือสตรี นางทำให้สาวน้อยในห้องหอหน้าแดงด้วยความเขินอายได้อย่างแน่นอน
สะใภ้ไป๋เผยรอยยิ้มเขินอาย “ท่านเจ้าอาวาสน้อยมีทักษะทางการแพทย์ที่ไม่ธรรมดา โปรดยกโทษให้ข้าด้วยที่เสียมารยาท ร่างกายไม่คล่องแคล่ว จึงไม่อาจลุกขึ้นต้อนรับได้”
นางเองก็รู้ว่าอาการป่วยของตนเองเป็นอย่างไร อาการของนางไม่แน่นอน มักจะกำเริบขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง แต่นางกลับไม่สามารถสงบลงได้เองจนดูเหมือนนางไม่เป็นอะไรหลังจากที่ได้รับการฝังเข็มไม่กี่เข็มเช่นนี้เลยสักครั้ง เห็นได้ชัดว่าทักษะทางการแพทย์ของอีกฝ่ายโดดเด่นอย่างมาก
“นักพรตไม่สนใจมารยาทจอมปลอมเช่านี้ ไม่จำเป็นต้องตำหนิตัวเอง” ฉินหลิวซีกล่าวอย่างสุภาพ
“ฮูหยินมาแล้ว”
สะใภ้ไป๋ขยับตัวอยากจะลุกขึ้น แต่ฉินหลิวซีกลับจับแขนนางไว้แล้วเอ่ย “ท่านมีเข็มปักอยู่ อย่าขยับส่งเดช”
ฮูหยินเว่ยเดินเข้ามาด้วยท่าทีโมโห “ไม่สบายอีกแล้วหรือ รีบเชิญให้ท่านหมอหม่ามาดูอาการนายหญิงใหญ่หน่อย…เอ๊ะ สะใภ้ไป๋ เจ้าไม่เป็นไรแล้วหรือ”
เว่ยเหรินเอ่ย “ท่านแม่ เป็นเพราะเข็มวิเศษของท่านเจ้าอาวาสน้อย หว่านเอ๋อร์จึงได้สงบลง”
สะใภ้ไป๋ยิ้มด้วยสีหน้าขอโทษ “ทำให้ท่านแม่เป็นห่วงแล้ว”
ฮูหยินเว่ยเห็นว่าแม้สีหน้าของนางจะดูย่ำแย่ แต่มันก็ไม่ได้ดูดุร้ายเหมือนตอนที่อาการป่วยของนางกำเริบ นางยังเห็นว่าบนศีรษะ มือ และแม้กระทั่งคอของนางยังมีเข็มปักอยู่ จึงอดหันไปมองฉินหลิวซีและเอ่ยด้วยความประหลาดใจไม่ได้ “ทักษะทางการแพทย์ของท่านเจ้าอาวาสน้อยสูงส่งจริงๆ จะรักษาโรคของลูกสะใภ้ข้าได้อย่างไรหรือ”
“ข้าขอตรวจชีพจรก่อน”
สะใภ้ไป๋เอนตัวลงบนหมอน เมื่อรู้ว่าฉินหลิวซีเป็นนักพรตหญิง นางจึงไม่ต้องระมัดระวังเรื่องชายหญิง จะตรวจชีพจรอย่างไรก็ไม่มีข้อห้าม
ตอนที่ฉินหลิวซีจับชีพจร เถิงเจาก็ขอให้บ่าวรับใช้ของนางไปเอาใบสั่งยาทั้งหมดที่สะใภ้ไป๋เคยใช้มา ในขณะที่คอยสังเกตสีหน้าของสะใภ้ไป๋อย่างตั้งใจ
เมื่อท่านหมอให้การรักษา จะให้ความสำคัญกับการมอง ฟัง และถามคำถาม การจับชีพจรเป็นเรื่องจำเป็น แต่การมองและการถามก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ต้องรวบรวมคำตอบของคนป่วยเพื่อตรวจอาการ การระบุโรคโดยแค่จับชีพจรถือเป็นข้อห้ามในการเป็นหมอ
ฉินหลิวซีเปลี่ยนมือเพื่อจับชีพจรพลางถามนางว่า “อาการชักเกร็งนี้เกิดขึ้นก่อนหรือหลังคลอด?”
สะใภ้ไป๋ตอบ “เกิดขึ้นหลังคลอด ตอนข้าท้องชงเอ๋อร์ ข้ารู้สึกหงุดหงิดเป็นพักๆ ตื่นบ่อยเวลากลางคืน หน้าอกก็…”
นางหยุดไปเล็กน้อย ก่อนจะเหลือบมองเว่ยเหรินและเถิงเจา แม้ว่าคนหนึ่งจะเป็นสามีของนางเองและอีกคนก็ยังเป็นเด็ก แต่ในตระกูลสูงศักดิ์ ชายหญิงไม่สามารถนั่งด้วยกันได้ตั้งแต่เจ็ดขวบ และถือสาเรื่องระหว่างชายหญิงอย่างมาก
ฉินหลิวซีเห็นท่าทางลังเลของนางจึงเอ่ย “นี่คือศิษย์คนโตของข้า สำหรับอาการเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ บางอย่าง เช่น เป็นไข้หวัดเพราะถูกลมหนาวลมร้อน เขาตรวจชีพจร สั่งยาและฝังเข็มได้แล้ว ข้าให้เขาอยู่ด้วย ประการแรกคือการสอนด้วยคำพูดและการกระทำ และประการที่สองก็อยากจะฝึกเขาให้ช่วยเพื่อนมนุษย์ด้วย ไม่สามารถทำแบบลับๆ ได้ มีเพียงการรักษาโรคมากขึ้นและเห็นผู้ป่วยมากขึ้นเท่านั้นถึงจะได้สั่งสมประสบการณ์ และไม่วินิจฉัยผิดๆ แน่น่อนว่าหากนายหญิงใหญ่เขินอาย จะให้เขาหลบไปก่อนย่อมได้”
ใบหน้าของเถิงเจาไร้ความรู้สึก ท่าทางบ่งบอกว่าในสายตาของเขา ไม่ว่าชายหรือหญิงก็เหมือนๆ กัน
เว่ยเหรินทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย เขาเอ่ยกับฮูหยินเว่ยว่า “ข้าจะไปดูชงเอ๋อร์หน่อย”
ฮูหยินเว่ยโบกมือ
เมื่อเห็นเว่ยเหรินหลบไป เถิงเจาก็ขมวดคิ้วและหันหลังกลับเช่นกัน
สะใภ้ไป๋เอ่ย “หมอก็เหมือนบิดามารดา นักพรตน้อยอยู่ฟังก็ไม่เป็นไร ใช่ว่ามีอะไรที่เอ่ยไม่ได้ หลังจากที่ข้าตั้งครรภ์ ข้ามีอาการบวมและเจ็บที่หน้าอกและซี่โครง ทำให้ข้ายิ่งหงุดหงิดกังวลมากขึ้นไปอีก หลังคลอดยิ่งแล้วใหญ่ ข้ามีอาการชักเกร็ง ปากเบี้ยวพูดไม่ได้ แขนขากระตุก ตามท่านหมอหลายคนมารักษาก็ดีขึ้นบ้าง แต่ก็เกิดขึ้นบ่อยจนเป็นทุกข์”
ขณะที่นางเอ่ย ดวงตาของนางก็เริ่มแดง “เมื่อครู่นี้ข้าอาการกำเริบตอนเล่นกับบุตรชาย ทำให้เขาตกใจไม่น้อย”
ฉินหลิวซีเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยการตำหนิตัวเอง จึงปลอบโยน “อาการชักเกร็งไม่แน่นอนอยู่แล้ว ดังนั้นท่านไม่ต้องโทษตัวเอง มันไม่ใช่สิ่งที่ท่านสามารถควบคุมได้”
“ท่านเจ้าอาวาสน้อย สามารถรักษาให้หายขาดได้หรือไม่” ฮูหยินเว่ยถาม
ฉินหลิวซียิ้มพลางเอ่ย “มันไม่ใช่โรคร้ายแรงมาก สามารถรักษาให้หายขาดได้อย่างแน่นอน เอาใบสั่งยามาให้ข้าดูหน่อย”
เถิงเจายื่นใบสั่งยาทั้งหมดที่นางเคยใช้มาก่อนไปให้ และถามอย่างสงสัย “ข้าลองดูแล้ว ล้วนแต่มุ่งเน้นไปที่การรักษาลม ไม่ใช่ว่าไม่เหมาะสม เหตุใดอาการจึงกำเริบขึ้นได้อีก? ข้าเคยอ่านบันทึกการรักษาโรคพวกนี้แล้ว สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอาการเกร็งกระตุกนี้เกิดจากภายนอกจากลม ความเย็น ความชื้น และความร้อน และภายในเนื่องจากความไม่สมดุลของอวัยวะภายใน ปราณและเลือดพร่อง และเสมหะขัดขวางทางเดินของเลือด ส่งผลให้กล้ามเนื้อและเอ็นขาดสารอาหาร โรคนี้จึงกำเริบ ไม่ควรใช้ใบสั่งยาควบคุมลมหรือขอรับ”
ฮูหยินเว่ยและสะใภ้ไป๋เบิกตากว้าง เมื่อครู่นี้พวกนางได้ยินฉินหลิวซีบอกว่าเด็กชายวัยแปดเก้าขวบคนนี้รู้วิชาแพทย์ ในใจพวกนางยังรู้สึกว่าฉินหลิวซีพูดเกินจริง ถึงอย่างไรนางเองก็ดูเหมือนเพิ่งอายุสิบหกสิบเจ็ด สอนลูกศิษย์เช่นนี้จะสอนได้สักเท่าไรกันเชียว?
แต่เมื่อได้ฟังเถิงเจาแสดงความสามารถ พวกนางก็รู้สึกแก้มร้อนขึ้นมาทันที
ราวกับถูกตบหน้า
วั่งชวนที่ฟังอย่างเงียบๆ อยู่ด้านข้างมองเขาด้วยความชื่นชม ศิษย์พี่เก่งจริงๆ
ฉินหลิวซียิ้มพลางเอ่ย “เจ้าก็เห็นบันทึกการรักษานี้แล้ว การรักษาลมไม่ได้ผิดไปเสียทั้งหมด แต่เป็นการรักษาตามอาการไม่ได้รักษาจากสาเหตุที่แท้จริง เจ้าต้องรู้ว่าตับคือบ้านของเลือดและเป็นส่วนที่ควบคุมลมและน้ำ ปราณตับคือลม เลือดตับคือน้ำ ถ้ารักษาแค่ลม ไม่รักษาเลือด จะรักษาที่ต้นเหตุได้อย่างไร ถ้าต้องการรักษาลม ก็ต้องรักษาเลือดก่อน เลือดลมเดินสะดวก กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นจึงคลายออกมิใช่หรือ”
เถิงเจาครุ่นคิด
“นอกจากนี้ สตรีที่คลอดบุตรจะต้องมีเลือดออกมากและสูญเสียพลังปราณ ปราณภายนอกอ่อนแอ เลือดภายในอ่อนแอ สำหรับอาการชักเกร็งจำเป็นต้องแบ่งเป็นโรคภายนอกและภายใน ปราณอ่อนแอเป็นผลให้เกิดลมร้าย เมื่อชี่อ่อนแอ ก็สามารถนำไปสู่ลมร้ายได้ และการเสียเลือดระหว่างการคลอด ยังทำให้ไม้ตับเหือดแห้งจนบาดเจ็บภายใน เจ้าว่าเลือดในตับแห้งและไม่มากพอ แล้วจะมาหล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อได้อย่างไร เลือดเป็นสิ่งที่คนเราจะขาดไม่ได้ ถ้าหล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อได้ไม่ดี นางย่อมชักเกร็ง ปากเบี้ยวพูดไม่ได้ ก็แสดงว่าอาการกำเริบซ้ำอีก”
เถิงเจาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย “ดังนั้นท่านอาจารย์จึงหมายความว่า ถ้าต้องการกำจัดสาเหตุที่แท้จริง ก็ต้องรักษาเลือดก่อนใช่หรือไม่ขอรับ”
ฉินหลิวซีพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ใช้ยาบำรุงเลือดตับเพื่อเติมเต็มส่วนที่ขาดไปก่อน จากนั้นค่อยๆ ใช้ยาต้านลม เพื่อทำให้ปราณเข้าสู่พื้นผิว ก็จะช่วยบำรุงเลือดและเติมเต็มปราณ เมื่อลมกระจายและเลือดเพียงพอก็ทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น อาการชักเกร็งก็จะหายได้”
“ศิษย์เข้าใจแล้วขอรับ”
ฉินหลิวซีพอใจมาก เมื่อหันหน้ามาก็เห็นฮูหยินเว่ยและลูกสะใภ้มองพวกเขาด้วยสายตามึนงง ตกตะลึงเล็กน้อย และเอ่ยอย่างขอโทษ “คือว่า ใช่ว่าข้าละเลยสุขภาพของลูกสะใภ้ แต่ว่า…”
“ไม่เป็นไรๆ แค่ฟังอาจารย์กับศิษย์สนทนากันก็ทำให้ข้ารู้สึกสงบขึ้นมาก” สะใภ้ไป๋ขัดนางอย่างรวดเร็ว
นางได้ยินคนทั้งสองพูดคุยเรื่องการบาดเจ็บภายนอกภายในหรือเลือดไม่พอจนมึนงงไปหมด นางไม่เข้าใจคำพูดเฉพาะทางเหล่านี้ แต่นางก็พอเข้าใจได้ว่าใบสั่งยาที่นางเคยได้มาก่อนหน้า รักษาอาการมากกว่าที่ต้นเหตุ ไม่ได้แก้ไขโรคทั้งหมด
แต่พวกฉินหลิวซีก็ได้อธิบายแล้วว่าจะต้องรักษาอย่างไร กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ นางมีโอกาสที่จะหายจากโรคนี้ได้จริง นางจะไม่ต้องกังวลแล้วว่าวันใดวันหนึ่งนางจะอาการกำเริบขึ้นมาตอนที่เล่นกับบุตรชายจนทำให้เขาตกใจอีกใช่หรือไม่
เมื่อนึกถึงจุดนี้ สะใภ้ไป๋ก็ตื้นตันใจมากจนน้ำตาไหล