คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 733 ชู่ว ข้างๆ บ้านมีพวกต้มตุ๋น
ตอนที่ 733 ชู่ว ข้างๆ บ้านมีพวกต้มตุ๋น
เมื่อเห็นสะใภ้ไป๋ร้องไห้และหัวเราะอย่างตื่นเต้นเมื่อได้ยินฉินหลิวซีบอกว่าสามารถรักษาให้หายได้ ฮูหยินเว่ยก็ตาแดงไปด้วยเช่นกัน สามารถรักษาให้หายขาดได้ก็ดีแล้ว นางก็ไม่อยากเห็นความสัมพันธ์ระหว่างบุตรชายและลูกสะใภ้เปลี่ยนไป ไม่ต้องเอ่ยถึงความกลัวที่ว่า สักวันนางอาจจะอาการกำเริบและทำให้หลานชายตกใจกลัวจนทำให้แม่ลูกไม่กล้าจะใกล้ชิดกัน
ฮูหยินเว่ยตบไหล่ลูกสะใภ้นาง แล้วหันไปมองฉินหลิวซี “ขอถามท่านเจ้าอาวาสน้อยว่าจะรักษาเลือดได้อย่างไร และจะสั่งยาเช่นไรหรือ”
ฉินหลิวซีคิดอยู่พักหนึ่ง “ซื่ออู้ทังเป็นตำรับยาที่ใช้กันทั่วไปในการบำรุงเลือด แต่ข้าวางแผนที่จะใช้ตำรับนี้แต่เอาดอกโบตั๋นออก เพิ่มเชียงหวาและตู๋หวา และเพิ่มฉินเจียวไป๋จื่อ เพื่อให้บรรลุผลขับไล่ลมและบำรุงเลือด ดื่มสักสองสองเทียบก็จะหาย ดังนั้นนี่จึงไม่ได้เรียกว่าเป็นซื่ออู้ทัง แต่เรียกยาต้มฉินเจียวจะเหมาะสมมากกว่า”
สะใภ้ไป๋ดีใจมากและเอ่ยอย่างจริงใจ “รบกวนท่านเจ้าอาวาสน้อยสั่งยาด้วย”
“ไม่ต้องรีบร้อน อาการชักเกร็งได้รับการรักษาแล้ว แต่ยังต้องปรับความไม่สมดุลของปอดก่อน ยังมีอาการเจ็บหน้าอกและแน่นหน้าอกอย่างที่ท่านเอ่ยไว้ก่อนหน้านี้ เจ็บหน้าอกทั้งสองด้านเลยหรือ?” ฉินหลิวซีถามอีกครั้ง
สะใภ้ไป๋หน้าแดงและพยักหน้า
ฉินหลิวซีคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เข้าไปในห้องด้านในแล้วข้าจะดูให้”
“หา?” สะใภ้ไป๋ตกตะลึงเล็กน้อย จะดูอย่างไร
ฉินหลิวซีสั่งให้เถิงเจาออกไปข้างนอก “เจ้าลองจดสูตรยาที่ข้าเพิ่งพูดเมื่อครู่ แล้วลองคิดดู”
เถิงเจาพยักหน้าแล้วเดินออกไป
จากนั้นฉินหลิวซีก็เข้าไปในห้องด้านในพร้อมกับสะใภ้ไป๋ คราวนี้นางสามารถพาวั่งชวนไปได้แล้ว แต่น่าเสียดายที่นางอายุยังน้อย ทำได้เพียงดูและจดจำอยู่ด้านข้าง สั่งสมประสบการณ์โรคต่างๆ
สะใภ้ไป๋ไม่คิดว่าการตรวจดูของฉินหลิวซีจะเป็นเช่นนี้ แม้ว่าพวกนางจะเป็นสตรีเหมือนกัน แต่เมื่อมือของนางกดลงที่หน้าอกทั้งสองข้าง นางก็ยังคงหน้าแดงด้วยความเขินอาย
“ตั้งแต่คลอดมาท่านไม่เคยให้นมลูกเลยหรือ?”
สะใภ้ไป๋ตกตะลึงทันที และพยักหน้า “ตระกูลขุนนางอย่างเราต่างจากครอบครัวชาวนาที่ต้องเลี้ยงลูกเอง ต่างก็เตรียมแม่นมไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว ดังนั้น…”
“จริงๆ แล้ว น้ำนมของมารดานั้นดีทั้งกับเด็กและผู้ใหญ่ แน่นอนว่ายังมีสตรีบางคนที่ไม่เหมาะสำหรับการให้นมบุตร แต่ก็ช่วยไม่ได้ ไม่ต้องเอ่ยถึงคนที่ร่างกายอ่อนแอ อย่างท่านที่มีอาการเจ็บเต้านมทั้งสองข้าง เป็นเพราะเส้นลมปราณเต้านมของท่านถูกปิดกั้น จับตัวเป็นก้อนแข็งจึงได้เจ็บ”
นางเอ่ยพร้อมกดก้อนเนื้อนั้น
สะใภ้ไป๋ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
ฉินหลิวซีเอ่ยต่อว่า “โรคของสตรีนั้นอธิบายได้ยาก ท่านจึงไม่กล้าอธิบายให้หมอชายฟัง ไม่ต้องเอ่ยถึงการตรวจเลย ผลก็คือ พวกเขาก็สั่งยาไม่ได้ อาการจึงแย่ลง ท่านก็ได้แต่คร่ำครวญและกังวลแล้ว”
สะใภ้ไป๋รู้สึกเศร้าในใจ “หากมีหมอหญิงเช่นท่านเจ้าอาวาสน้อยมากๆ หน่อยคงจะเป็นบุญสำหรับสตรีอย่างพวกเรา”
นางหันไปมองวั่งชวนตัวน้อยก่อนจะเอ่ย “เด็กน้อย เจ้ามาดูสิ ต่อไปจะได้สืบเจตนารมณ์ของท่านอาจารย์เจ้าได้”
วั่งชวนเบิกตากว้าง และหันไปมองฉินหลิวซี เมื่อเห็นนางพยักหน้าจึงก้าวเข้าไปและกดเบาๆ ลงไปยังตำแหน่งนั้นๆ ตามฉินหลิวซีและสัมผัสได้ถึงความแตกต่าง
นางปล่อยมือและก้มลงมองร่างเล็กๆ ของตน ต่อไปนางก็จะมีหน้าอกนูนออกมาเหมือนนายหญิงใหญ่ผู้นี้หรือไม่นะ
วั่งชวนหันไปมองฉินหลิวซีอีกครั้งและเปรียบเทียบ อันที่จริงเหมือนอาจารย์ก็ดีเหมือนกัน
สีหน้าฉินหลิวซีหน้าเข้มขึ้นทันที และดีดหน้าผากนาง “ฟังให้ดี ต่อไปเจ้าจะได้เชี่ยวชาญเรื่องโรคของสตรี”
วั่งชวนยิ้มและพยักหน้า
ฉินหลิวซีถามสะใภ้ไป๋เพิ่มเติมอีกเล็กน้อย และไม่รีบร้อนที่จะให้นางสวมเสื้อผ้า แต่ฝังเข็มให้นางเลย ส่วนใบสั่งยาก็เป็นรูปเป็นร่างในใจนางแล้ว
หนึ่งชั่วยามต่อมา
ฉินหลิวซีเขียนใบสั่งยาสองฉบับ ใบแรกสำหรับรักษาอาการชักเกร็ง และอีกใบสำหรับโรคของสตรี นอกจากนี้นางตกลงที่จะอยู่ในจวนเป็นเวลาสามวันเพื่อช่วยฝังเข็ม ขับไล่ลมและความเย็น ปรับสมดุลอวัยวะภายใน
เมื่อเห็นใบหน้าที่สดชื่นและแดงระเรื่อของลูกสะใภ้หลังได้รับการฝังเข็ม ฮูหยินเว่ยก็รู้ว่าไม่ควรพลาดโอกาสนี้ นางจึงขอให้ฉินหลิวซีจับชีพจรตรวจร่างกายให้นางอย่างไม่เกรงใจ
นางอยู่อย่างสุขสบายมานานปี ได้รับยาบำรุงอย่างต่อเนื่องไม่เคยขาด นอกจากนี้ยังมีหมอประจำในจวนที่คอยจับชีพจรตรวจสุขภาพให้เสมอ ร่างกายและกระดูกของนางก็ได้รับการบำรุงอย่างดี อย่างไรก็ตาม ในอดีตนางติดตามสามีออกไปรับราชการต่างถิ่น สถานที่นั้นเย็นและชื้น ไอเย็นเข้าร่างจนกลายเป็นโรคประจำตัวไปแล้ว ฝังเข็มกำจัดก็ไม่เป็นปัญหาอะไรใหญ่โต
สำหรับยาผิงอันฟัง นางก็สั่งไว้ให้สองเทียบ แต่ฉินหลิวซีให้สูตรยาแก่นางแทน
เมื่อหมอเต๋าลงมือก็จะรู้ได้ทันทีว่ามีหรือไม่มี ต่อให้ลู่สวินบอกว่าทักษะทางการแพทย์ของฉินหลิวซีสูงส่งแค่ไหน ก็ไม่สู้ให้พวกนางได้สัมผัสด้วยตัวเอง การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่ชัดเจนที่เกิดจากการฝังเข็มเพียงครั้งเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้พวกฮูหยินเว่ยปฏิบัติต่อฉินหลิวซีอย่างให้เกียรติ
ใครบ้างจะไม่มีช่วงเวลาที่เจ็บป่วย การรู้จักสร้างสัมพันธ์กับหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ยอดเยี่ยมมีแต่ดีไม่มีเสีย
เมื่อเห็นว่าฮูหยินเว่ยและลู่สวินต่างก็ชมฉินหลิวซีไม่ขาดปาก ผู้สำเร็จราชการเว่ยเองก็เริ่มอยากรู้อยากเห็นเรื่องฉินหลิวซี ถึงกับหาเวลามาร่วมกินข้าวกับบุตรชาย ลู่สวินและคนอื่นๆ
ผู้สำเร็จราชการตำแหน่งสูงนั่งร่วมโต๊ะกับนักพรตน้อยคนหนึ่ง ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งจนอาจกล่าวได้ว่าน่าอิจฉา
แต่ฉินหลิวซีก็ไม่ได้กลัว เป็นผู้สำเร็จราชการแล้วอย่างไรหรือ
ตระกูลเว่ยมีความสุขมากที่สะใภ้ไป๋ได้รับการรักษาจากหมอเทวดา แต่จวนหรงอันจวิ้นจู่ที่อยู่ติดกันนั้นกลับเต็มไปด้วยความเศร้าโศก สาเหตุก็คือมู๋ซืออวิ๋น บุตรสาวของหรงอันจวิ้นจู่ที่กำลังเตรียมเข้าเมืองหลวงเพื่อคัดเลือกนางสนม ดูซีดเซียวและมีอารมณ์แปลกๆ เหมือนคนโดนของ
ตระกูลมู่ไม่กล้าเอ่ยออกไป อันที่จริงคุณหนูมู่ได้ถูกกำหนดให้เข้าวังคัดตัวนางสนมแล้ว หากมีข่าวว่านางโดนของจนส่งผลกระทบต่อร่างกาย แล้วนางจะมีอนาคตอย่างไร
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือนางยังรู้สึกละอายใจที่จะเอ่ยถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเอง
ณ เรือนรับรองแขกจวนตระกูลมู่
อาจารย์และศิษย์คู่หนึ่งกำลังกินข้าวกันอย่างสนุกสนานอิ่มหมีพลีมัน
“น่าเสียดายกับข้าวดีๆ เช่นนี้ ถ้ามีสุราสักกาคงจะสมบูรณ์แบบ” นักพรตชราผมบางและมีผมหงอกเล็กน้อยกำลังน่องไก่ชิ้นใหญ่ยัดเข้าปาก น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเสียดาย
ข้างๆ เขา เด็กหนุ่มอายุสิบสี่สิบห้าปีที่มีรูปร่างซูบผอมและดูเหมือนคนขาดสารอาหารเช่นกันเอ่ยขึ้นว่า “มีกินก็ดีแล้ว ยังอยากจะได้สุราอีก ประเดี๋ยวไม่ต้องทำงานหรือ ถ้าได้เงินทำบุญมา จะซื้อสุราขวดเล็กๆ ให้ท่านสักขวด”
เด็กหนุ่มขมวดคิ้วอีกครั้ง “ท่านแน่ใจหรือไม่ แต่ต้องพยายามให้ดีที่สุด ต่อให้…” เขามองออกไปข้างนอก ลดเสียงลงก่อนจะเอ่ย “ต่อให้ท่านจะทำไม่ได้ แต่ท่านก็ต้องแกล้งทำเป็นว่าความสามารถของท่านยังไม่ถึงขั้น ทำให้ดูดีสักหน่อย”
นักพรตเฒ่าขึงตาใส่ “อย่าดูถูกอาจารย์ของเจ้านะ ข้ามีความสามารถจริงๆ”
เด็กหนุ่มยิ้มหยัน “ถ้ามีจริง ไยอารามของเราถึงมีรอยรั่วอยู่ทุกหนทุกแห่ง และไม่มีใครมาทำบุญเลย ตอนนั้นข้าโดนท่านหลอก นึกว่าท่านเก่งจริงๆ จึงติดตามท่านขึ้นเขาเข้าลัทธิ ท่านยังหลอกข้าว่าเป็นสำนักโบราณ แต่ความจริงแล้วเป็นพวกต้มตุ๋นหลอกลวง…หือ”
นักพรตเฒ่ารีบปิดปากของเขาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะมองไปข้างนอกอย่างประหม่าและดุเสียงเข้ม “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ ไม่ดูหน่อยว่าเราอยู่ที่ไหนกัน จะมาพูดความจริงอะไรกันตรงนี้? อาจารย์แค่ยังไม่รู้แจ้งขาดตบะบำเพ็ญไปเล็กน้อยเท่านั้น หากรู้แจ้งแล้ว เทพผีไม่กล้าเข้าใกล้!”
เด็กหนุ่มดึงมือของเขาลงแล้วเยาะ “อายุเกินห้าสิบแล้วยังไม่รู้แจ้งอีก หลอกผีไปเถิด!”
นักพรตเฒ่าหน้าบูดบึ้งทันที เด็กเวรนี่ไม่เคารพอาจารย์เลย
ขณะที่เขากำลังจะชี้แนะอีกฝ่ายสักเล็กน้อย เสียงบ่าวรับใช้คนหนึ่งก็ดังขึ้นข้างนอก ถามเขาว่า “ท่านนักพรตกินข้าวเสร็จแล้วหรือไม่”