คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 735 นักพรตตัวเหม็นชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน
ตอนที่ 735 นักพรตตัวเหม็นชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน
ลู่สวินและเว่ยเหรินสองลูกพี่ลูกน้องคู่นี้ต่างก็มีชาติกำเนิดสูงส่ง จะมีเหตุการณ์สำคัญใดบ้างที่ไม่เคยเห็น
แต่ภาพตรงหน้าพวกเขาทำลายความเข้าใจโลกของทั้งสองลง บุรุษอกสามสองสองคนหน้าซีด ขยี้ตาสองสามครั้งด้วยความไม่เชื่อ ก่อนจะมองไปกลางอากาศในทิศที่เรือนเล็กนั่นตั้งอยู่ โอ้สวรรค์ ต่อให้พวกเขาขยี้จนตาแตกสิ่งนั้นก็ไม่หายไป
“นั่น นั่นมันเป็นคนจริงๆ หรือ” เว่ยเหรินถามตัวสั่น
ตอนที่เขาเอ่ยเช่นนั้น เขาเองก็ไม่ได้ไม่มีความมั่นใจอะไรนัก ใครจะทำหน้าบูดบึ้งและมีแต่ไอสีดำปกคลุมทั้งร่างได้อย่างนั้น ใช่ว่าจะพกถ่านร้อนๆ จนควันพุ่งออกมาเสียหน่อย
ใช่แล้ว ที่เรือนฝั่งตรงข้าม อะไรสักอย่างที่ไม่รู้ว่าเป็นชายหรือหญิงหน้าตาซีดขาวดูน่ากลัว ดวงตาสองข้างเป็นสีแดงก่ำ แต่งหน้าแต่งตาน่าหลงใหล แต่กลับมีริมฝีปากสีดำ ร่างกายปกคลุมไปด้วยไอสีดำ ช่างน่าขนลุก
“ควรจะต้องเอ่ยว่าเคยเป็นคนมาก่อน” ลู่สวินถอนหายใจและเหล่มองเขา “แล้วเจ้าจะลงไปได้หรือยัง”
เหตุใดจึงมาเกาะเขาไว้ มันหนักนะ
เว่ยเหรินก้มหน้าลงและผละจากเขาทันที มั้งยังลูบเสื้อคลุมที่มีรอยยับย่นเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยอย่างอายๆ “พี่ชาย ท่านดูไม่กลัวเลย เก่งจริงๆ”
“ถ้ากลัว แล้วขึ้นมาทำไมเล่า” ทั้งไม่เอาไหนแล้วยังเกาะติดหนึบ ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษเสียเลย!
เว่ยเหรินเอ่ย “พวกท่านขึ้นมากันหมด ข้าก็อยากรู้อยากเห็นด้วยสิ”
ความอยากรู้อยากเห็นฆ่าคนตายได้ ไม่ใช่ของเล่น
ลู่สวินพูดไม่ออก “ถึงอย่างนั้นเจ้าก็เป็นพ่อคนแล้ว เหตุใดถึงไม่สุขุมเลย ชงเอ๋อร์เห็นเจ้าเป็นแบบนี้ จะยังมีความน่านับถืออยู่หรือ”
เว่ยเหรินแย้ง “ท่านไม่เข้าใจ บุรุษเราก็ยังมีความเป็นเด็กหนุ่มไปจนตายนั่นแหละ ไม่เกี่ยวหรอกว่าจะกลายเป็นพ่อคนหรือไม่ ข้าเองก็เป็นผู้ชายกระดูกเหล็กมีปณิธานแกร่งกล้าเหมือนกัน”
แล้วหน้าของท่านเล่า ก็ซีดขาวราวกับแป้งเหมือนกัน ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าใดหรอก อย่ามาหัวเราะเยาะข้าเลย
ลู่สวินเยาะ “ใช่ กระดูกเหล็กที่ห้อยอยู่บนตัวข้าก็หนักอยู่”
เว่ยเหรินหน้าแดง เขาพึมพำ “ท่านเป็นพี่ชายข้า ปกป้องข้าก็สมควรแล้ว”
“ข้าแก่กว่าเจ้าแค่สิบวันเท่านั้น”
“เกิดก่อนแค่เค่อเดียวก็เป็นพี่ชายอยู่ดี”
“…”
ฉินหลิวซีเห็นทั้งสองถกเถียงกัน นางจึงกอดอกมองไปทางด้านนั้นและเอ่ยขึ้นว่า “หยุดเถียงกันได้แล้ว เรียกผีมาแล้วสิทีนี้”
อะไรนะ?
พอทั้งสองมองออกไป ก็พบว่าราชาปีศาจที่ดูไม่ออกว่าชายหรือหญิงกำลังมองมาทางนี้ จู่ๆ ร่างนั้นก็ลอยสูงขึ้น ไม่ได้หมายความว่าทางด้านนี้ดึงดูดความสนใจได้หรอกหรือ
“!”
อุ๊ย ท่านเจ้าอาวาสน้อย ช่วยข้าด้วย!
พวกเขาทั้งสองต่างก็ขยับเข้าหาฉินหลิวซีพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
ฉินหลิวซีหรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง และส่งเสียงเยาะออกมาเล็กน้อย นางแค่มาดูเรื่องสนุก ถ้ารนหาที่ตายก็อย่าโทษว่านางยุ่งเรื่องคนอื่น!
ในเรือนส่วนตัวฝั่งตรงข้ามมีเสียงกรีดร้องดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
แท่นพิธีที่ยังไม่ทันจะได้จัดเตรียมเรียบร้อยถูกลมกระโชกแรงพัดวูบเดียวจนธูปเทียนดับหมด เสียงหัวเราะอันชวนขนลุกดังขึ้นอีกครั้ง สตรีในเรือนตกอกตกใจ บ้างเป็นลม บ้างวิ่งหนีจ้าล่ะหวั่น
นักพรตเฒ่าเองก็รู้สึกหดหู่อย่างยิ่ง เขาจำต้องกัดฟัน รีบสั่งเสียงกร้าวให้ซานหยวนเชือดคอไก่เพื่อนเอาเลือดมา ส่วนตัวเองก็หยิบกระบี่ไม้ท้อออกมา นิ้วหนีบยันต์สีเหลืองแผ่นหนึ่งไว้ ปากก็ท่องคาถาไปด้วย พลางโบกกระบี่ไม้ท้อ สะบัดยันต์เหลืองออกไป ไฟลุกพรึ่บในทันที “เหตุใดปีศาจร้ายจึงยังไม่รีบปรากฏตัวอีก”
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกถึงบางสิ่ง และฟาดกระบี่ไม้ออกไปกลางอากาศ
ไม่ถูกสิ่งใด
“คิกๆๆ”
เสียงหัวเราะเยาะเย้ยดังขึ้นกลางอากาศ
นักพรตเฒ่าหน้าแดง ยืนอยู่หน้าแท่นพิธี เขากัดปลายนิ้ว และหยิบกระดาษสีเหลืองแถบหนึ่งออกมา รีบใช้เลือดวาดยันต์และร่ายคาถา “ครั้งแรกไม่ยอม ทำลายเต๋าหมดสิ้น ครั้งสองไม่ยอม หมดทางเป็นเซียน ครั้งสามไม่ยอม ตัดศีรษะเซ่นสรวง อสุนีเทพจงฟังคำสั่ง รุดลงมาแท่นพิธีข้า ขับไล่วิญญาณร้ายและกำราบภูตผี รับบัญชาเทพสูงสุด ไป!”
ไม่รู้ว่าเพราะความตั้งใจจริงทำให้ศักดิ์สิทธิ์หรือเป็นเพราะเขายังมีตบะอยู่บ้าง ทันทีที่ยันต์ลุกไหม้ กระบี่ไม้ท้อที่เขาวางไว้บนโต๊ะก็สั่นระริกขึ้นมาทันที แท่นพิธีก็ดูมีพลังมากขึ้น
นักพรตเฒ่าดีใจจนน้ำตาแทบไหล เขาอัญเชิญเทพมาหลายครั้ง ในที่สุดเทพก็ไว้หน้าเขาแล้ว
เขายกกระบี่ไม้ท้อขึ้นมาพลางเอ่ย “ศิษย์เอ๋ย น้ำตาวัว”
ซานหยวนหยิบขวดออกมาแล้วยื่นให้ด้วยความไม่เต็มใจ เขาอยากจะบอกว่าใช้ให้ประหยัดๆ สักหน่อยเถิด แต่เขาก็รู้ว่ายามนี้ไม่ใช่เวลาจะมาถือสาเรื่องนี้
นักพรตเฒ่าเทน้ำตาวัวแล้วลูบมันลงบนเปลือกตา ในที่สุดเขาก็เห็นเงาดำๆ ขึ้นมาแล้ว เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังมองอะไรอยู่ แต่เป็นจังหวะเหมาะสมที่จะกำจัดเขา จึงได้ฟันกระบี่ออกไปทันที
กระบี่ไม้ท้อฟาดออกไป แต่คราวนี้มันไม่ได้ฟาดอากาศว่างเปล่า กระบี่ฟาดไปที่เงาดำนั้น ควันก็ปะทุขึ้น
ผีร้ายหันกลับมามองด้วยความเจ็บปวดและไม่พอใจเพราะการโจมตีนี้ เขาด่า “นักพรตตัวเหม็นยุ่งเรื่องชาวบ้าน”
เขาผายมือสองข้างออก ไอผีก็หมุนวนอยู่กลางฝ่ามือของเขา และลอยออกไปหานักพรตเฒ่าทันที
พรืด
นักพรตเฒ่ากระเด็นลอยออกไป หน้าซีด และกระอักเลือดออกมาทันที
“ท่านอาจารย์” ซานหยวนร้องออกมาด้วยความตกใจ ยกเลือดไก่และเลือดสุนัขดำที่เตรียมไว้ขึ้นมาแล้วสาดไปในทิศทางนั้น
ผีร้ายเยาะ “เด็กอมมือตัวแค่นี้ก็ยังกล้าสู้กับข้าหรือ”
เขาลอยไปหาซานหยวน ปลายนิ้วสีดำคว้าคอของซานหยวนไว้ทันที
นักพรตตาเบิกกว้าง แย่แล้ว คราวนี้พวกเขาศิษย์อาจารย์จะตายที่นี่แน่แล้ว
มื้อเมื่อครู่นี้ถือเป็นมื้อสุดท้ายจริงๆ ถ้ารู้อย่างนี้ เขาจะกินไก่เพิ่มอีกสักตัว ขาดทุนแล้ว
พอลู่สวินและเว่ยเหรินเห็นภาพเหตุการณ์นั้น ทั้งคู่ก็อกสั่นขวัญแขวน พลางหันไปมองฉินหลิวซีและเอ่ยด้วยใบหน้าขาวซีด “เอ่อ ท่านเจ้าอาวาสน้อย ท่านจะไม่ช่วยคนหรือ”
“ขอคำชี้แจง?”
“นักพรตตัวเหม็นยุ่งเรื่องชาวบ้าน!”
ทั้งสองคน “…”
แล้วท่านก็เลยจะยืนดูพวกเขาตายไปโดยไม่ทำอะไรอย่างนี้?
“ดังนั้น ถ้าจะดูละครก็ดูไป จะไปหาเรื่องโดนด่าทำไม ข้าไม่ได้ตัวเหม็นเสียหน่อย” ฉินหลิวซีเอ่ย “อีกอย่าง มันก็เป็นคำสั่งที่พวกเขารับมา มันเป็นงานของพวกเขา ถ้าข้ายื่นมือเข้าไปยุ่ง ไม่เท่ากับเป็นการแย่งงานเขาหรือ เป็นคนต้องมีคุณธรรมด้วย”
ทั้งสองยิ้มอย่างทำตัวไม่ถูก ฟังดูสมเหตุสมผลดี แต่ก็ยังรู้สึกว่ามันมีความหมายอย่างอื่น
หรือว่าถ้ายังไม่เห็นเป้าหมายชัดเจนจะไม่ลงมือ?
ลู่สวินฉลาดขึ้น นึกถึงคำพูดตอนที่เชิญนางมา “จวนหรงอันจวิ้นจู่มีวิญญาณร้าย หากนักพรตทั้งสองนี้จัดการไม่ได้ ก็จะต้องเชิญปรมาจารย์ท่านอื่นมาอีก เงินตอบแทนน้ำใจก็ต้องมากมายกว่าเดิม ตอนที่หรงอันจวิ้นจู่ออกเรือนก็มีขบวนสินสอดยาวเป็นสิบลี้ ไม่ขาดแคลนเงินทอง”
เว่ยเหรินหันไปมองเขา จะพูดเรื่องนี้ขึ้นมาทำไม
จากนั้นฉินหลิวซีก็เอ่ยขึ้นว่า “ต่างก็เป็นนักพรตเหมือนกัน หากผีร้ายตนนี้ฆ่าสหายร่วมอาชีพของข้าก็เท่ากับฆ่าข้าด้วย จะให้เป็นเช่นนั้นไม่ได้ พวกท่านรออยู่ที่นี่ ข้าจะไปทำสิ่งที่ถูกต้องสักหน่อย”
พอนางเอ่ยจบก็เตะปลายเท้า ลอยขึ้นไปบนหลังคาทันที
เว่ยเหริน “?”
ไหนบอกว่าจะไม่ยุ่งเรื่องชาวบ้าน?
เขาหันไปมองลู่สวิน และกะพริบตาปริบๆ พลางเอ่ย “ข้าจะต้องเพิ่มเงินตอบแทนที่กำหนดไว้ก่อนหน้านี้อีกหน่อยใช่หรือไม่”
ลู่สวินกลั้นยิ้ม เมื่อเขาเห็นทหารองครักษ์กระโดดออกมาจากจวนจวิ้นจู่ เขาก็เอ่ยขึ้นว่า “ข้าจะไปอธิบายอะไรหน่อย เจ้ารออยู่ที่นี่”
เว่ยเหรินยังไม่ทันได้พูดอะไร ลู่สวินก็ตามฉินหลิวซีไปทัน เขากระทืบเท้าด้วยความโกรธ นี่มันกลั่นแกล้งเขาที่ไม่เป็นวรยุทธ์นี่
“คนนั้นน่ะ พาข้าไปหน่อย”
คนผู้นั้นที่ไม่มีชื่อ “….”
รู้อย่างนี้เขารับภารกิจออกไปข้างนอกจะดีกว่า