คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 752 ขายสตรีเพื่อความรุ่งโรจน์
ตอนที่ 752 ขายสตรีเพื่อความรุ่งโรจน์
นางสนมเสวี่ยผินยืนอยู่ที่หน้าประตูวังเฝ้าดูฮ่องเต้เสด็จจากไป นางทำความเคารพ จนกระทั่งอีกฝ่ายออกไปไกลแล้ว จึงได้หันกลับเข้าตำหนัก สายตาของนางมีทั้งความเฉยเมยและความเบื่อหน่าย
“เหนียงเหนียง ท่านไม่ได้ไม่ชอบตระกูลฉินหรอกหรือเพคะ เหตุใดจึงช่วยเอ่ยแทนเขา” เมื่อกลับเข้ามาในตำหนัก นางกำนัลคนสนิทเพียงหนึ่งเดียวนามว่าเซียงเฉ่ายื่นถ้วยชาบัวหิมะให้
นางสนมเสวี่ยผินถือถ้วยชาพลางเอ่ย “ไม่ชอบก็ส่วนไม่ชอบ แต่ที่ไม่ชอบยิ่งกว่าก็คือนายท่านน้อยต้องแบกรับชื่อเสียงว่าเป็นหลานสาวของขุนนางต้องโทษ น่ารำคาญ”
เซียงเฉ่ายิ้มเล็กน้อย “ที่ท่านรำคาญ เป็นเพราะได้ยินบรรดาสาวงามในเรือนลี่ย่วนเหล่านั้นเอ่ยถึงบุตรสาวของขุนนางต้องโทษ ก็เลยรู้สึกไม่สบายใจหรือเพคะ”
สาวงามที่เข้ามาในวังได้ผ่านการคัดเลือกมาแล้ว แม้ว่าจะไม่ได้รับเลือก แต่ก็สามารถเป็นข้าราชบริพารในวังได้ มีโอกาสมากกว่าถูกคัดออก ซ้ำยังเป็นบุตรสาวหรือญาติของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ย่อมมีความเย่อหยิ่ง
ไม่นานมานี้นางสนมเสวี่ยผินกำลังเก็บดอกเบญจมาศหิมะอยู่ที่สวนเสียงลู่ที่อยู่ติดกับเรือนลี่ย่วน บังเอิญพบกับสาวงามสองสามคนที่นั่นกำลังพูดคุยเกี่ยวกับบุตรสาวภรรยาเอกคนโตที่รูปร่างงดงามและมีความสามารถของตระกูลเหยาเสนาบดีสำนักกวงลู่ หากไม่ใช่เพราะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นกับบิดาของนาง คาดว่าคงจะถูกเรียกตัวไปก่อนการคัดเลือกนางสนมแล้วกระมัง เสียดายโชคไม่ดี ไม่เพียงแต่ครอบครัวพังทลาย ซ้ำตัวเองยังกลายเป็นบ่าวรับใช้
บรรดาสาวงามต่างมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น เมื่อเอ่ยถึงตระกูลเหยา ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถึงตระกูลฉินเมื่อก่อนหน้านี้ บอกว่าตระกูลฉินก็มีสตรี แต่น่าเสียดายที่เป็นบุตรสาวของขุนนางต้องโทษอะไรทำนองนั้น น้ำเสียงเต็มไปด้วยความดูหมิ่นและเสียดสี ทำเอานางสนมเสวี่ยผินโกรธจนกำดอกเบญจมาศหิมะแหลกละเอียด
สิ่งที่พวกนางกล่าว อาจไม่ได้หมายถึงฉินหลิวซี อย่างไรเสียนางก็ไม่ได้เติบโตในเมืองหลวง มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ถึงการมีอยู่ของนาง แต่คนอื่นไม่รู้ก็ไม่ได้หมายความว่านางสนมเสวี่ยผินจะไม่รู้ เมื่อเข้าหูนางก็เท่ากับกำลังว่าร้ายฉินหลิวซีต่อหน้านาง
ดังนั้นนางสนมเสวี่ยผินที่มักจะสงบนิ่งดั่งดอกเบญจมาศไม่แยแสกับเรื่องทางโลกก็เริ่มหาเรื่องด้วยข้อหาพูดมากเกินไปจนก่อให้เกิดปัญหา ลงโทษด้วยการคุกเข่าเป็นเวลาครึ่งชั่วยาม
เซียงเฉ่าได้สติกลับคืนมาจากเหตุการณ์ในวันนั้น เอ่ยต่อว่า “นายท่านน้อยไม่ใช่คนธรรมดาอย่างพวกเรา ไม่มีทางสนใจชื่อเสียงเหล่านี้ แต่การที่คืนตำแหน่งเดิมให้กับใต้เท้าฉิน กลับเป็นการดูถูกพวกเขา พึ่งจะถูกเนรเทศได้เพียงหนึ่งปีเองนะเพคะ”
นางสนมเสวี่ยผินแสยะยิ้ม น้ำเสียงเบาลงเล็กน้อย “ฮ่องเต้ของเราพระองค์นี้ ไม่ใช่คนที่จะยอมรับความผิดของตัวเองง่ายๆ ที่เอ่ยขึ้นมาก็เพียงเพื่อเพิ่มโอกาสที่ตระกูลฉินจะได้รับการฟื้นคืนกลับมามากขึ้นเท่านั้น มีหรือจะได้คืนสู่ตำแหน่งเดิม ไม่ว่าใต้เท้าฉินผู้นั้นจะถูกใส่ร้ายหรือไม่ การที่ดูแลกำกับไม่ดีก็คือการดูแลกำกับไม่ดี ผิดก็คือผิด การกลับสู่ตำแหน่งเดิมนั้นมีความหวังไม่มาก ซ้ำยังถูกเนรเทศ ร่างกายก็ไม่แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว”
เซียงเฉ่าได้ฟังดังนั้นจึงเอ่ย “เช่นนั้นต้องส่งจดหมายแจ้งแก่องค์หญิงหรือไม่เพคะ”
“อืม ข้าจะส่งจดหมายสักหน่อย” นางสนมเสวี่ยผินเอามือเท้าคางวาดไปจับจี้ที่ห้อยอยู่ตรงมุมกระโปรงที่เอวของนาง นั่นคือจี้หยกสีขาวแกะสลักลาย เมื่อมองดูอย่างละเอียดแล้วจะเห็นว่ายังมีการแกะสลักอักขระที่ซับซ้อน
ข่าวเกี่ยวกับอดีตเสนาบดีสำนักกวงลู่ฉินหยวนซานจะสามารถฟื้นกลับคืนมาได้หรือไม่นั้นได้มีการเอ่ยถึงอย่างร้อนระอุในเมืองหลวง แม้แต่ฉินเหมยเหนียงซึ่งอยู่ในเมืองหลวงมาระยะหนึ่งแล้วก็มีความสุขเป็นอย่างมากเมื่อได้ยินเรื่องนี้ รีบส่งจดหมายด่วนไปที่เมืองหลีเพื่อแจ้งข่าวดีแก่พี่สะใภ้ใหญ่และคนอื่นๆ
ไม่ว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ การที่เอ่ยถึงเรื่องนี้ก็พิสูจน์ได้ว่ามีโอกาส ตอนนี้ฮ่องเต้ไม่ได้แสดงท่าที แต่หากมีข่าวดีใหญ่โต บางทีฮ่องเต้อาจจะยืมโอกาสนี้ถอยหลังหนึ่งก้าว อภัยโทษให้ท่านพ่อและคนอื่นๆ ที่ถูกเนรเทศ ยอมให้พวกเขากลับเมืองหลวงหรือไม่
แต่ความสุขนี้ก็คงอยู่ได้ไม่นาน ในเวลานี้ฉินเหมยเหนียงกังวลใจเป็นอย่างมาก เพราะฉินอวี่เยียนและน้องสาวกลับไปที่จวนซ่ง ถูกรั้งตัวไว้ที่นั่นมาระยะหนึ่งแล้ว ไม่มีข่าวเล็ดลอดออกมาเลยแม้แต่น้อย นางร้อนใจเป็นอย่างมาก กลัวว่าตระกูลซ่งจะเล่นสกปรกอะไรอีก
ในเวลานี้นางโทษตัวเองว่าไม่ควรใจอ่อน ตอนกลับมาที่เมืองหลวงได้เอ่ยกับตระกูลซ่งไว้ชัดเจนแล้วว่าตอนนี้สองคนพี่น้องใช้แซ่เดียวกันกับนางและตั้งครัวเรือนสตรี ที่มาร่วมพิธีศพก็เพราะว่าผู้ที่ตายเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดของพวกนางสองคนพี่น้อง จึงได้แสดงความกตัญญูนี้
แต่นายหญิงผู้เฒ่าตระกูลซ่งผู้นั้นยึดคำว่า ‘กตัญญู’ รั้งตัวไว้วันแล้ววันเล่า ต่อมาก็อ้างว่าคนผมขาวส่งคนผมดำนั้นทำให้มีความรู้สึกหดหู่ใจ ไม่มีความสุข หวังว่าลูกหลานจะอยู่ข้างกายสักพัก การกระทำที่ใช้ความรู้สึกมาทำให้คนอื่นประทับใจ แล้วใช้เหตุผลทำให้ผู้อื่นเข้าใจ ทำให้นางใจอ่อนไปชั่วขณะ
ตอนนี้เมื่อลองคิดดูแล้ว ก่อนหน้านี้นายหญิงผู้เฒ่าก็ไม่ชอบสองคนพี่น้อง แล้วตอนนี้จะทำตัวเป็นท่านย่าผู้ใจดีมีเมตตาได้อย่างไร
ยิ่งฉินเหมยเหนียงคิดเรื่องนี้มากเท่าใดก็ยิ่งเป็นกังวล ซ้ำยังไม่สบายใจเล็กน้อย
นายหญิงผู้เฒ่าตระกูลซ่งผู้นั้นคงไม่ได้มีแผนการร้ายอะไรหรอกกระมัง
เมื่อฉินเหมยเหนียงนึกถึงอายุของบุตรสาว ก็ไม่กล้าคาดเดามั่วๆ อีกต่อไป ตอนนี้ก็ใกล้จะถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้ว หลังจากเทศกาลไหว้พระจันทร์ก็เป็นช่วงเวลาที่ดีที่จะกลับไปยังเมืองหลี หากช้ากว่านี้อากาศก็จะหนาวแล้ว
หลังจากตัดสินใจแล้ว ฉินเหมยเหนียงกำลังจะออกไปหา แต่นางยังไม่ทันได้ออกนอกประตู ก็มีสาวน้อยจากตระกูลซ่งแอบมาบอกข่าวแก่นาง นั่นคือหลานสาวของบ่าวรับใช้คนหนึ่งที่เคยได้รับความเมตตาจากฉินเหมยเหนียง และข่าวที่นางนำมาบอกเกือบจะทำให้ฉินเหมยเหนียงเป็นลม
เป็นอย่างที่ฉินหลิวซีเอ่ยไว้จริงๆ ตระกูลซ่งต้องการใช้ประโยชน์จากพวกนางสองพี่น้อง ซ้ำยังใช้วิธีสกปรก
พวกเขาไม่ได้กลัวเลยแม้แต่นิดที่ฉินอวี่เยียนและน้องสาวเปลี่ยนแซ่ แต่กลับรู้สึกว่าดีกว่าเดิม เนื่องจากว่าเมื่อเสร็จงานแล้ว พวกนางก็ไม่ต้องไว้อาลัยเป็นเวลานานก็สามารถแต่งงานได้แล้ว
แต่งงานกับใครน่ะหรือ พ่อหม้ายที่สามารถเป็นพ่อของฉินอวี่เยียนได้ด้วยซ้ำ จ้าวจวิ้นอ๋องจากราชวงศ์ แต่งเป็นภรรยาเอกคนถัดไป และบุตรชายคนโตของจ้าวจวิ้นอ๋องผู้นั้นเองก็มีหลานชายแล้ว ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่ายังมีบุตรชายอนุ และบุตรสาวอนุอีกเท่าใด เรือนหลังก็มีอนุอีกมากมาย
จ้าวจวิ้นอ๋องเป็นคนของราชวงศ์ ฉินเหมยเหนียงรู้ว่าคนผู้นั้นเป็นคนทะนงตนและชอบดื่มเหล้าเคล้านารี ชื่อเสียงในเมืองหลวงก็ไม่ดีนัก
และวิธีที่ตระกูลซ่งใช้คืออะไรน่ะหรือ ก็คือไม่สนใจว่ายังอยู่ในช่วงไว้อาลัย ใช้วิธีการไปชนจวิ้นอ๋องเข้าและสูญเสียความบริสุทธิ์จนต้องจัดพิธีแต่งงาน
แหวะ
ฉินเหมยเหนียงอยากจะอาเจียน สั่นไปทั้งตัว
ไร้ยางอาย น่าขยะแขยง
นางกัดปลายลิ้นอย่างแรง ถามสาวน้อยผู้นั้นว่า “จ้าวจวิ้นอ๋องจะให้ประโยชน์อะไรแก่พวกเขา”
สาวน้อยเอ่ยว่า “มอบตำแหน่งรองผู้บัญชาการกองปัญจทิศรักษาเมืองหลวงให้กับนายท่านสี่ และนายหญิงผู้เฒ่าก็รับปากว่าเมื่อเรื่องนี้สำเร็จแล้ว จะให้นายท่านรองหาตำแหน่งนายอำเภอให้กับน้องชายของนายหญิงใหญ่เจ้าค่ะ”
ฉินเหมยเหนียงหัวเราะด้วยความโกรธ
ดังนั้นพวกเขาจึงเอาบุตรสาวของตัวเองไปแลกกับอนาคต
นี่ไม่ได้เป็นการขายสตรีเพื่อความรุ่งโรจน์หรอกหรือ
ฉินเหมยเหนียงโกรธมากจนแทบจะกัดฟันแตก หยิบก้อนเงินยื่นให้นาง จากนั้นจึงเอ่ยว่า “ขอบใจเจ้ามาก หากเจ้ามีใจก็บอกกับแม่นางทั้งสองว่าข้าจะรีบไปรับพวกนางกลับบ้าน”
ใช่แล้ว กลับบ้าน แม้ว่าจะกลับไปอาศัยอยู่ที่กระท่อมหญ้าในเมืองหลี ก็เป็นบ้านของพวกนางสามคนแม่ลูก ไม่ใช่ถ้ำหมาป่าอย่างตระกูลซ่ง
สาวน้อยเอ่ยว่า “สะใภ้ใหญ่ต้องรีบสักหน่อย ได้ยินมาว่าพรุ่งนี้ตอนบ่ายจ้าวจวิ้นอ๋องก็จะมาแล้วเจ้าค่ะ”
หลังจากที่นางจากไป ฉินเหมยเหนียงก็ตบตัวเองไปหนึ่งที นางโง่จริงๆ รู้ทั้งรู้ว่าตระกูลซ่งไม่น่าเชื่อถือ แต่ก็ยังใจอ่อน ปล่อยบุตรสาวทั้งสองไว้ที่นั่น
ฉินเหมยเหนียงเลียเลือดบนริมฝีปาก ทำจิตใจให้สงบ กลับเข้าไปในห้อง หยิบกระเป๋าใบหนึ่งออกมาจากถุงสัมภาระ เทสิ่งที่อยู่ข้างในออกมา ถือไว้ในมือเป็นเวลานาน แล้วใส่เข้าไปในกระเป๋าอีกครั้ง
นี่เป็นสิ่งที่ฉินหลิวซีมอบให้นางก่อนที่จะออกเดินทาง หากประสบปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ขึ้นมาจริงๆ สามารถนำสัญลักษณ์นี้ไปพบฮูหยินลิ่นผู้เฒ่าที่จวนเสนาบดีลิ่นได้ ขอให้นางช่วยเหลือ
นางเก็บป้ายหยกหลิงหลงอันวิจิตรงดงามกลับเข้าไปในกระเป๋า แล้วรีบออกจากประตูไป นางไม่รู้ว่าซีเอ๋อร์ไปเกี่ยวข้องกับจวนเสนาบดีลิ่นได้อย่างไร น้ำใจนี้นางไม่กล้าใช้อย่างง่ายดาย แต่ตอนนี้ไม่ใช้ไม่ได้แล้ว