คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 762 ผู้ปักหลักสอบคัดเลือกขุนนางถูกอาคม
ตอนที่ 762 ผู้ปักหลักสอบคัดเลือกขุนนางถูกอาคม
วันรุ่งขึ้นฉินหลิวซีพาลูกศิษย์ทั้งสองและฉินหมิงฉุนไปพบกับสหายร่วมชั้นที่เป็นสหายสนิทของเขาผู้นั้น จากนั้นก็ไปยังบ้านของสหายร่วมชั้นผู้นั้นด้วยกัน
และหลังจากที่ได้พบคน ฉินหลิวซีและคนอื่นๆ ต่างก็ตกตะลึงเล็กน้อย มองไปยังฉินหมิงฉุน “นี่ก็คือสหายร่วมชั้นซึ่งเป็นสหายสนิทที่เจ้าเอ่ยถึงหรือ”
ฉินหมิงฉุนแนะนำด้วยรอยยิ้มว่า “ใช่แล้ว ก็คือสหายร่วมชั้นของข้าขอรับ พี่หญิงใหญ่ สหายจงสอบผ่านถงเซิง[1]แล้ว”
ฉินหลิวซี “…”
เดี๋ยวนะ ถงเซิงอายุหลายสิบปี ขอถามหน่อยได้หรือไม่ว่าความภาคภูมิใจที่เจ้ามีต่อเขามาจากไหน
ฉินหลิวซีคิดว่าสหายร่วมชั้นของเขาจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับเขา แม้ว่าจะอายุมากกว่าเขา สิบกว่าปีก็นับว่ามากแล้ว แต่คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าอีกฝ่ายจะอายุมากขนาดนี้ เกือบจะห้าสิบปีแล้ว ปอยผมทั้งสองข้างก็เริ่มขาวแล้ว
สหายร่วมชั้นที่อายุเกือบห้าสิบปีมีนามว่าจงจิ้นซื่อ ฉินหลิวซีและคนอื่นๆ พูดไม่ออกเล็กน้อย
“เอ่อ ที่บ้านคาดหวังกับเจ้าไม่น้อย” ฉินหลิวซีหัวเราะเบาๆ
แม้แต่ชื่อก็ยังตั้งว่าจิ้นซื่อ และสถานะถงเซิง ก็หมายความว่าเขายังคงขยันศึกษาเล่าเรียนอยู่ในสำนักศึกษาไม่ได้ออกจากสำนักศึกษา ช่างกระตือรือร้นเสียจริง
ทันใดนั้นฉินหลิวซีก็นึกขึ้นได้ว่าผู้เข้าสอบบางคน จนอายุเจ็ดสิบปีก็เป็นได้เพียงแค่ถงเซิง
คนที่อยู่ตรงหน้านี้ แม้ว่าจะไม่ถึงขั้นนั้น แต่ก็อีกไม่ไกล!
อายุขนาดนี้สามารถเป็นท่านปู่ของทุกคนที่อยู่ตรงนี้ได้แล้ว
จงจิ้นซื่อหัวเราะอย่างลำบากใจ เอ่ยว่า “ตระกูลมีทรัพย์สินเป็นที่ดิน ทั้งยังให้ความสำคัญกับการประสบความสำเร็จจากการสอบเป็นอย่างมาก ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารและเสื้อผ้า จึงเรียนต่อได้ ข้ามีนามรองว่าจงอี้หยาง เป็นสหายร่วมชั้นกับน้องฉิน เอ่ยได้ว่าเป็นสหายที่ราวกับรู้จักกันตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบ”
เขามองไปยังฉินหมิงฉุนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักความเอ็นดู
ฉินหลิวซีและคนอื่นๆ ขนลุก สายตาเช่นนี้ รับไม่ได้จริงๆ
“การเรียนรู้ไม่มีขอบเขต ไม่แบ่งอายุ สหายจงไม่จำเป็นต้องอาย” ฉินหมิงฉุนเอ่ยพลางแสร้งทำท่าทางเป็นผู้ใหญ่
ฉินหลิวซีหลับตาลง เสี่ยวอู่ ท่าทางไร้เดียงสาของเจ้าดึงดูดคนไม่น้อยเลย แสร้งทำเป็นผู้ใหญ่ พี่หญิงอย่างข้าล่ะคันไม้คันมือเสียจริง
เพื่อหลีกเลี่ยงความรุนแรงในครอบครัว ฉินหลิวซีมองดูโหงวเฮ้งของจงจิ้นซื่อผู้นี้ อวบอ้วนมีน้ำมีนวล ท่าทางร่ำรวยเงินทอง นางตั้งใจดูตำแหน่งการงานของเขาโดยเฉพาะ ช่างเถิด มองไม่เห็นว่าจะอยู่ในตำแหน่งขุนนางเลยแม้แต่น้อย เอ่ยก็คือสหายจงจิ้นซื่อจะไม่ได้เป็นบัณฑิตจิ้นซื่อ
จากนั้นก็สังเกตจุดเทียนถิงบริเวณกลางหน้าผากของเขาอย่างละเอียด อุทานด้วยความประหลาดใจ
พลังงานชีวิตของสหายจิ้นซื่อผู้นี้กำลังหายไป จุดเทียนถิงมีเมฆดำมืด ช่วงนี้คงประสบโชคร้ายอยู่บ่อยๆ กระมัง
เมื่อฉินหมิงฉุนเห็นว่าฉินหลิวซีสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย จึงเอ่ยว่า “พี่หญิงใหญ่ ท่านจ้องมองสหายจงทำไมหรือ”
ฉินหลิวซีเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า กว่าจะถึงบ้านของจงจิ้นซื่อผู้นี้ก็คงใช้เวลาครึ่งวัน จึงเอ่ยว่า “พวกเราค่อยคุยกันระหว่างทางเถิด”
จงจิ้นซื่อเชิญพวกเขาขึ้นรถม้าทันที
ฉินหลิวซีและคนอื่นๆ สังเกตเห็นรถม้าคันหนึ่งที่งดงามหรูหราเป็นอย่างมากอยู่นานแล้ว ดันเป็นของจงจิ้นซื่อผู้นี้ อดไม่ได้ที่จะคาดเดาเพิ่มเติมเกี่ยวกับฐานะทางการเงินของตระกูลเขา
ขณะเดินทาง ฉินหลิวซีได้รู้รายละเอียดเบื้องต้นของจงจิ้นซื่อผู้นี้
เขาเป็นคนจากทางใต้ บ้านเกิดของเขาอยู่ในพื้นที่ชายฝั่งทางใต้ บรรพบุรุษหาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา ทำกิจการขายต่อบางอย่าง จากนั้นก็ย้ายไปที่มณฑลหนิงโจว และตั้งรกรากอยู่ที่อำเภอวั่นหูในเมืองหลี แต่ละรุ่นสืบทอดต่อกันมา ร่ำรวยเล็กๆ น้อยๆ และอยู่อย่างสงบสุข
การเติบโตอย่างแท้จริงของตระกูลจง เกิดจากการนำของบิดาเขาทำให้ร่ำรวยขึ้นมา โดยเฉพาะหลังจากที่บิดาของเขาอายุครบห้าสิบปี ทุกอย่างก็เป็นไปอย่างราบรื่น ทำกิจการใดๆ ก็มั่นคงและได้กำไร ไม่ต้องพูดถึงที่อื่น เพียงแค่ในหนิงโจวตระกูลจงมีไร่นาที่อุดมสมบูรณ์กว่าหมื่นหมู่[2] กิจการอื่นๆ อย่างเช่น หอสุรา ร้านผ้าไหม ร้านข้าว ใบชาและอื่นๆ อีกมากมาย
เมื่อฉินหลิวซีได้ฟังเช่นนี้ ที่แท้ความร่ำรวยคือการเจริญงอกงาม
“ตระกูลจงร่ำรวย แต่ขาดความสูงส่ง ดังนั้นหลังจากที่ข้าสอบได้ถงเซิงก็ยังคงศึกษาเล่าเรียนอยู่ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าการสอบจะใช้เวลาหลายสิบปี” จงจิ้นซื่อยิ้มอย่างขมขื่น เอ่ยต่อ “ข้าเห็นสหายร่วมชั้นแต่ละคน บางคนสอบไม่ผ่านก็ไม่เรียนต่อแล้ว บางคนก็สอบผ่านภายในครั้งเดียว มีเพียงข้าที่ย่ำอยู่กับที่”
“แล้วหากยังสอบไม่ผ่านล่ะ”
จงจิ้นซื่อตอบว่า “หากสอบไม่ผ่านก็จะศึกษาต่อไป ตระกูลอย่างพวกเรานี้ไม่ต้องห่วงเรื่องทำมาหากิน มีพี่น้องในตระกูลช่วยจัดการดูแลกิจการ หากไม่ศึกษาตำราก็จะไม่มีประโยชน์อะไรแล้วไม่ใช่หรือ”
ฉินหลิวซี ‘หากคำพูดนี้ของเจ้าถูกลูกศิษย์หลายพันคนจากครอบครัวยากจนได้ยินเข้า เกรงว่าจะถูกรุมทุบตี’
ฉินหมิงฉุนเอ่ยขึ้นมาว่า “สหายจง เจ้ารีบบอกกับพี่หญิงใหญ่ของข้าเร็วเข้าว่าเกิดเรื่องแปลกเรื่องใดขึ้นในบ้านบ้าง”
“อ้อ ใช่ๆๆ” จงจิ้นซื่อเอ่ย “ความจริงแล้วก็ไม่ได้มีอะไร เพียงแต่บุรุษในตระกูลของพวกเราในช่วงสิบปีที่ผ่านมานี้ เดิมทีร่างกายยังแข็งแรง ไม่รู้เหตุใดจึงได้กลายเป็นอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง พบหมอมาหลายคนแล้ว แต่ก็ตรวจหาสาเหตุออกมาไม่ได้ จึงเขียนใบสั่งยาต้มบำรุงให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นเท่านั้น แต่ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรเช่นเดิม เมื่อสองเดือนก่อนก็มีคนในตระกูลจากไปติดต่อกันสองสามคน ล้วนอายุยี่สิบสามสิบปี”
“ช่วงนี้เจ้าก็มีเรื่องโชคร้ายไม่น้อยกระมัง” ฉินหลิวซีเอ่ยถาม
จงจิ้นซื่อตกตะลึง “เจ้ารู้ได้อย่างไร”
ฉินหมิงฉุนเอ่ยอย่างภาคภูมิใจว่า “สหายจง พี่หญิงใหญ่ของข้าเป็นถึงเจ้าอาวาสน้อยแห่งอารามชิงผิง เก่งกาจมาก”
จงจิ้นซื่อคิดในใจว่า ‘หากไม่ใช่เพราะได้ยินเจ้าบอกว่าเป็นปรมาจารย์แห่งอารามชิงผิง ข้าก็ไม่อยากเดินทางไปพร้อมกับพวกเจ้า แต่ละคนล้วนเป็นหลานสาวหลายชายข้าได้ทั้งนั้น กลับบอกว่าเป็นถึงปรมาจารย์ผู้เก่งกาจ ข้าละอายแทนสหายตัวน้อยอย่างเจ้าเสียจริง!’
แต่สองปีมานี้ชื่อเสียงของอารามชิงผิงนั้นรุ่งโรจน์เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในปีนี้ยังได้มีการสร้างหอเติงเซียนหนึ่งหลัง ข้างในมีตำราลับไม่น้อย แม้แต่ในสำนักศึกษาก็มีลูกศิษย์หลายคนไปเที่ยวเล่นที่นั่นด้วยกันในช่วงวันหยุดพักผ่อน อย่างไรเสียตำราลับที่นั่นไม่เพียงแต่ให้ยืมอ่านโดยไม่คิดเงิน ซ้ำยังมีหลายประเภท จ่ายเงินเพียงหนึ่งอีแปะยังสามารถยืมพู่กัน หมึก กระดาษมาคัดลอกตำราได้
“เจ้าพูดถูกแล้ว ช่วงนี้ข้าโชคไม่ดี เดินอยู่ดีๆ ก็สะดุดล้มเสียได้ ช่วยไกล่เกลี่ยคนทะเลาะกันก็ยังถูกต่อยจนฟันร่วง เจ้าดูสิ ข้าพึ่งจะใส่ฟันปลอมกลับเข้าไปเมื่อสองวันก่อน” จงจิ้นซื่ออ้าปาก เผยให้เห็นฟันสีทองเปล่งประกาย
ฉินหลิวซีมุมปากกระตุก ขอให้เขายื่นข้อมือมาเพื่อจับชีพจร จงจิ้นซื่อประหลาดใจเล็กน้อย เจ้าเป็นนักพรตไม่ใช่หรือ
“ในศาสตร์ทั้งห้าของเสวียนเหมิน วิชาแพทย์ก็เป็นสิ่งที่พี่หญิงใหญ่ของข้าเชี่ยวชาญเช่นกัน” ฉินหมิงฉุนยืดอกเล็กๆ ของเขาพลางเอ่ยอย่างภาคภูมิใจอีกครั้ง
ฉินหลิวซีตรวจสอบชีพจรอย่างละเอียด พบว่าความจริงแล้วกล้ามเนื้อและกระดูกของเขายังอยู่ในสภาพดี เพียงแต่ม้ามและชี่บกพร่องอยู่บ้าง กระทั่งหยางของไตไม่พอเล็กน้อย ปรับสภาพสักเล็กน้อยก็พอแล้ว
“ผู้ศรัทธาจงในวันปกติทั่วไปก็ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพใช่หรือไม่” ฉินหลิวซีเอ่ยถาม
“ใช่แล้ว ไม่ต้องกังวลเรื่องทำมาหากิน ในมือมีเสบียงเหลือเฟือ ย่อมให้ความใส่ใจกับอาหารการกินอยู่บ้าง ในรถก็ยังมีรังนกและถังเช่า ข้ากินไม่หมด ไว้พวกเจ้าเอากลับไปด้วยสักหน่อย” จงจิ้นซื่อตบหีบในรถเบาๆ
นี่เป็นวิธีการอวดรวยอย่างหนึ่งหรือ
ฉินหลิวซีเอ่ย “ร่างกายนับว่าไม่แย่ ดื่มยาต้มปรับสภาพสักสองสามถ้วยก็ดีขึ้นแล้ว แต่ข้าเห็นว่าจุดเทียนถิงกลางหน้าผากของเจ้าหมองคล้ำ…”
จงจิ้นซื่อเหลือบมองสหายตัวน้อยที่อายุต่างกัน นักพรตในใต้หล้านี้ช่างเป็นครอบครัวเดียวกัน พี่หญิงใหญ่ของเจ้าก็เป็นหนึ่งในนั้น คำพูดที่เอ่ยออกมาเป็นลูกไม้ของนักต้มตุ๋น ต่อมาก็จะบอกว่าข้ามีหายนะนองเลือดใช่หรือไม่
“พลังชีวิตของเจ้ากำลังหายไป มองดูภายนอกกับจับชีพจรนั่นดูไม่ออก แสดงว่าถูกอาคม” ฉินหลิวซีเอ่ยต่อไป “บางทีพี่น้องในตระกูลของเจ้าก็เหมือนกับเจ้า เนื่องจากถูกอาคมจึงได้อ่อนแอไร้เรี่ยวแรง จากไปอย่างกะทันหัน ส่วนความจริงเป็นอย่างไรนั้น ยังต้องสืบหาอีกที”
[1] ถงเชิง “นักศึกษาเด็ก” คือผู้ที่สอบผ่านระดับต้น หรือระดับท้องถิ่น โดยไม่ว่าผู้สอบผ่านนั้นจะมีอายุเท่าใดก็ตามก็จะถูกเรียกด้วยคำนี้ เป็นการสอบที่เทียบได้กับการสอบเพื่อเข้าศึกษาต่อในปัจจุบัน
[2] หมู่ คือหน่วยวัดพื้นที่ของจีน โดย. 1 หมู่ = 1/15 เฮกตาร์ หรือ 1 หมู่ = 0.416667 ไร่