คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 776 อย่าบอกแปดอักษรกับคนอื่นง่ายๆ
ตอนที่ 776 อย่าบอกแปดอักษรกับคนอื่นง่ายๆ
เมื่อถูกเรื่องพระพุทธรูปมารรบกวน หัวใจของอวิ๋นเหนียงก็สับสนไปหมด สีหน้าดูแย่มากขึ้นเรื่อยๆ
ฉินหลิวซีโบกมือไปมาตรงหน้านาง เอ่ยว่า “ไม่จำเป็นต้องคิดมาก บางทีนางอาจทำไปโดยไม่ได้ตั้งใจ เป็นเพราะวัดแห่งนั้นศักดิ์สิทธิ์จริงๆ จึงได้มีเจตนาดีเช่นนี้ แต่สิ่งที่ทำกลับเลวร้ายก็เท่านั้น ตอนนี้บุตรได้คลอดออกมาอย่างปลอดภัยแล้ว เจ้าควรให้ความสำคัญกับนางและตัวของเจ้าเอง”
นางคิดอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยปลอบใจอีกครั้งว่า “อีกอย่างเจ้าสามารถติดตามสามีมาเข้ารับตำแหน่ง ซึ่งหมายความว่าอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เจ้าซึ่งเป็นภรรยาขุนนางต้องเป็นผู้ดูแลเรือนด้วยตัวเอง ไม่มีใครกดขี่ข่มเหงได้ วันดีๆ พึ่งจะเริ่มต้น ควรจะทำใจให้สบาย เมื่อสบายใจแล้ว มองอะไรก็จะโปร่งใสมากขึ้น”
อวิ๋นเหนียงเห็นว่านางอายุน้อยแค่นี้แต่กลับมาปลอบใจตัวเอง ก็อดรู้สึกละอายใจเล็กน้อยไม่ได้ จึงเอ่ย “ข้าเข้าใจ โชคดีที่พวกเราสามคนพ่อแม่ลูกได้มาเจอท่าน มิเช่นนั้นก็คงหนีไม่พ้นเคราะห์กรรมนี้ ข้าเชื่อว่าพวกเราจะมีความสุขในภายภาคหน้าอย่างแน่นอน”
ฉินหลิวซีกะพริบตา เอ่ยว่า “อารามชิงผิงของพวกเราก็มีรูปปั้นเจ้าลัทธิเต๋า ในภายภาคหน้าหากเจ้ามีเวลามาจุดธูปบูชา ก็สามารถอัญเชิญกลับไปบูชาสักองค์ได้ รับรองว่าจะคุ้มครองครอบครัวให้สงบสุขอย่างแน่นอน”
อวิ๋นเหนียง “!”
ทุกคนสีหน้าแปลกๆ นางกำลังพยายามแข่งขันแย่งผู้ศรัทธากับวัดแห่งหนึ่งที่ไม่รู้ชื่ออยู่หรือ
เถิงเจา ‘เจ้าลัทธิเต๋าคงสบายใจในยามแก่ชราแล้ว!’
เจ้าลัทธิเต๋ายิ้มหน้าบาน
“ข้าจะไปรับมาบูชาแน่นอน” อวิ๋นเหนียงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ฉินหลิวซีตรวจชีพจรให้นางอีกครั้ง เอ่ยว่า “ฟ้าเริ่มมืดแล้ว ตอนนี้เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง ฟ้าก็มืดเร็ว ดูเหมือนว่าจะมีเมืองอยู่ข้างหน้าประมาณห้าสิบลี้ พวกเราออกเดินทางตอนนี้เลย เข้าเมืองก่อนฟ้ามืด จะได้ซื้อยาอะไรเหล่านั้น”
“ตกลง”
ฉินหลิวซีมองไปยังผู้เฒ่าอวี๋ เขายิ้มพลางเอ่ยว่า “เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเจ้ายังต้องฝังเข็มกำจัดไข้หนาวให้ข้า จะปล่อยข้าทิ้งไว้กลางทางเช่นนี้ไม่ได้”
ได้ เช่นนั้นก็ไปด้วยกันเลย
แม้ว่ากลุ่มคนจะยังอยากรู้เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่นางทำท่าทางไล่ผีระหว่างการคลอด แต่ก็รู้ว่าที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่ดีที่จะพูดคุย อย่างไรเสียก็มีแม่ที่พึ่งคลอดบุตร และเด็กแรกเกิดที่ไม่ครบกำหนดคลอด ซ้ำยังมีคนแก่ สภาพอากาศก็หนาวเย็นเนื่องจากฝนตก ทุกคนทนไม่ไหว เก็บข้าวของ มุ่งหน้าไปที่เมือง
หลังจากเดินทางไปได้ห้าสิบลี้ กลุ่มคนก็มาถึงเขตเมืองที่เรียกว่าเขตหวยซู่ก่อนฟ้ามืด หาโรงเตี๊ยมเพื่อเข้าพัก อันดับแรกฉินหลิวซีเขียนใบสั่งยาปรับสภาพและกระตุ้นน้ำนมให้กับอวิ๋นเหนียง จากนั้นก็เขียนใบสั่งยาอาบบำรุงร่างกายให้แข็งแรงแก่จิ่งเหยาน้อย
“นางเป็นบุตรเจ็ดเดือน เพราะยังไม่ครบกำหนดคลอด การอาบน้ำยาสมุนไพรทุกวันจะช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อและกระดูกให้แข็งแรง ไม่จำเป็นต้องกินยา การที่เจ้าสามารถเลี้ยงได้เองนั้น เป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับนาง”
อวิ๋นเหนียงเอ่ย “เดิมทีข้าก็ตั้งใจจะให้นมนางเองอยู่แล้ว”
ฉินหลิวซีพยักหน้า เอ่ยอีกว่า “ตั้งชื่อเล่นไว้เรียกนางเถิด อย่าเผยชื่อจริงของบุตรสาวแก่ผู้อื่น ตักเตือนคนรอบตัวเจ้าด้วยสักหน่อย”
แม้ว่าอวิ๋นเหนียงจะเหนื่อยล้า แต่เมื่อได้ยินความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดนี้ ก็ส่งสายตาให้กับแม่นมของตัวเอง ให้พาคนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป ถามว่า “ท่านอาจารย์ ชื่อของบุตรสาวข้ามีความสำคัญอย่างไรหรือ”
“ชื่อนับว่าไม่เป็นอะไร แต่แปดอักษร ห้ามบอกแก่ผู้อื่นตามอำเภอใจเด็ดขาด” ฉินหลิวซีเอ่ยต่อไป “เด็กคนนี้เลือกเวลาเกิดที่เหมาะสม ชะตาชีวิตสูงส่ง นาง…”
นางกระซิบข้างหูอวิ๋นเหนียง ถึงแปดอักษรและความหมายของคำว่าสูงส่ง อวิ๋นเหนียงเบิกตาโต มีสีหน้าประหลาดใจ
“ท่านพูดจริงหรือ”
“ข้าจะเอาเรื่องนี้มาล้อเจ้าเล่นทำไม ที่บอกแก่เจ้าก็เพราะว่าชะตาชีวิตที่สูงส่งบางครั้งอาจนำไปสู่ปัญหาได้ บางคนจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ชะตาชีวิตที่สูงส่ง อย่างเช่นสลับโชคชะตา เจ้าก็ไม่อยากให้บุตรสาวต้องทุกข์ทรมานหรอกกระมัง ดังนั้นอย่าบอกแปดอักษรของนางแก่ผู้อื่นง่ายๆ”
อวิ๋นเหนียงสงบจิตใจ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ย “ท่านอาจารย์ ท่านช่วยตั้งนามเต๋าให้นางได้หรือไม่ ในวันปกติพวกเราจะเรียกนามเต๋าของนาง ก็คงได้กระมัง”
ฉินหลิวซีเลิกคิ้ว “นางไม่ใช่คนในลัทธิเต๋าของข้า จะตั้งนามเต๋าทำไม”
“บุตรของข้ากับท่านอาจารย์มีวาสนาต่อกัน สามารถเป็นลูกศิษย์ฆารวาสของอารามท่านได้ นับว่าเป็นพรอันยิ่งใหญ่แก่นางแล้วจริงๆ” อวิ๋นเหนียงแตะที่แก้มของบุตรสาวด้วยความรัก
ฉินหลิวซีหัวเราะเบาๆ “เจ้าช่างทำใจได้เสียจริง”
“คนเราต้องมีศรัทธา ท่านแม่นับถือพุทธ ดังนั้นนางจึงอัญเชิญพระพุทธรูปนั้นมา บุตรข้า นับถือเต๋า สตรีนับถือเต๋า มีหรือจะไม่ได้” อวิ๋นเหนียงมองนางด้วยดวงตาที่สดใส “เมื่อเด็กอายุครบร้อยวัน ข้าจะพานางไปที่อารามของท่านเพื่อจุดธูปบูชาโขกศรีษะคารวะเจ้าลัทธิเต๋าด้วยตัวเอง”
ฉินหลิวซีเหลือบมองทารกที่ห่อด้วยผ้าอ้อม คิดอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “มีคนที่เคยได้รับเต๋าเอ่ยไว้ว่า สวรรค์มีเต๋าจึงชัดเจน พื้นดินมีเต๋าจึงสงบสุข ขอมอบนามเต๋าแก่นางว่าอี่หนิง สงบสุขราบรื่น”
อวิ๋นเหนียงทวนชื่ออีกครั้ง หัวใจเต็มไปด้วยความสุข
ท้องฟ้ามืดสนิท ลมส่งเสียงหวีดหวิวอยู่ด้านนอก ราวกับมีบางอย่างกำลังเข้ามาใกล้
รอยยิ้มของฉินหลิวซีหายไป เดินไปที่หน้าต่างแล้วมองออกไป จ้องไปที่นั่น “ไสหัวไป!”
อวิ๋นเหนียงสะดุ้ง กอดทารกในอ้อมแขนไว้แน่น
ฉินหลิวซีหันกลับมามอง ค้นหาของบนร่างกาย หยิบจี้หยกหนึ่งชิ้นออกมา ปลุกเสกด้วยพลังไฟนรก หยกที่เดิมทีเยือกเย็น กลายเป็นหยกอุ่น
นางนำเชือกแดงหนึ่งเส้นมาร้อยแล้ววางไว้บนตัวทารก เอ่ย “ชะตาชีวิตสูงส่ง ดึงดูดความโลภของคนและผี หยกนี้อย่าให้ห่างจากตัว สามารถคุ้มครองไม่ให้วิญญาณร้ายมากล้ำกรายได้”
อวิ๋นเหนียงทั้งดีใจและประหลาดใจ เอ่ยว่า “ดังนั้นตอนที่ข้าคลอดก็มีสิ่งสกปรกเหล่านั้นอยากจะมาสิงร่างบุตรของข้าหรือ”
“อืม”
อวิ๋นเหนียงตื่นตระหนกเล็กน้อย
เมื่อฉินหลิวซีเห็นว่านางมีสีหน้ากังวล จึงเอ่ยปลอบใจว่า “ไม่ต้องกังวล อย่าให้จี้หยกห่างตัวก็พอ เมื่ออายุมากขึ้น นางก็จะสามารถยึดเหนี่ยวโชคชะตาชีวิตนี้ไว้ได้เอง พวกผีเร่ร่อนผีป่าเหล่านั้นก็ยากที่จะแย่งไปได้”
นางกำชับหลายประโยค จากนั้นก็ออกจากห้อง นวดขมับที่ปวดระบม
มาที่ห้องของผู้เฒ่าอวี๋ เขากำลังดื่มชาพูดคุยอยู่กับเถาเหวินเฉิง ชี้แนะอะไรบางอย่าง
เมื่อเถาเหวินเฉิงเห็นนางมาแล้วก็ลุกขึ้นยกมือขึ้นโค้งคำนับ ผู้สูงส่งที่พบในวันนี้ไม่ได้มีฉินหลิวซีเพียงคนเดียว การที่ได้พบกับอวี๋เหมี่ยวก็เป็นโชคดีของเขาเหมือนกัน ได้รับคำแนะนำจากเขาว่าเส้นทางขุนนางนี้ต้องเดินอย่างไร ราวกับปัดเป่าความมืดมนจนได้เห็นแสงสว่าง
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือหลังจากที่ได้รู้จักกับใต้เท้าอวี๋ เขาได้ฝากตัวแล้ว ในภายภาคหน้าเมื่อประสบความสำเร็จทางการเมืองในฐานะขุนนางก็จะไม่ถูกผู้อื่นดึงลงมา
“ผู้ที่เป็นขุนนางต้องฝึกฝนตนเองเพื่อราษฎร เจ้าจำประโยคนี้ไว้ ไปอยู่เป็นเพื่อนฮูหยินของเจ้าเถิด” ผู้เฒ่าอวี๋ยิ้มพลางโบกมือ
เถาเหวินเฉิงยกมือขึ้นโค้งคำนับอย่างเป็นทางการ “ผู้น้อยได้รับคำสอนแล้ว”
เขาเดินกลับไปที่ห้องของอวิ๋นเหนียงด้วยฝีเท้าเบาหวิว เมื่อเห็นว่านางยังไม่หลับ จึงเอ่ยอย่างร้อนใจว่า “เจ้าพึ่งคลอดบุตร ต้องพักผ่อนให้มาก ไยจึงยังไม่หลับ ให้แม่นมดูแลบุตรก็พอแล้ว”
อวิ๋นเหนียงหัวเราะ เอ่ยว่า “ข้ายังคงมีชีวิตชีวาดี ไม่ได้รู้สึกเหนื่อยมากนัก โสมชิ้นนั้นที่ท่านอาจารย์ให้ข้าดีจริงๆ ท่านรีบนั่งลงเร็ว ข้ามีเรื่องจะคุยกับท่าน”
เถาเหวินเฉิงนั่งอยู่ข้างเตียง
อวิ๋นเหนียงกระซิบสิ่งที่ฉินหลิวซีเอ่ยให้ฟัง เถาเหวินเฉิงลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วด้วยความตกใจ มองไปยังทารกน้อยผู้นั้น จากนั้นก็ยิ้ม “ท่านอาจารย์เอ่ยถูกแล้ว บุตรของข้าชะตาชีวิตดีเป็นอย่างมาก และเป็นวาสนาของพวกเรา”
ในสภาพแวดล้อมอย่างบ้านร้างกลางป่า กลับได้พบกับอวี๋เหมี่ยวผู้มีชื่อเสียง หากไม่ใช่วาสนาของนางแล้วจะเป็นอะไร
“ท่านอย่าดีใจจนเกินไป แล้วอย่าไปบอกใคร เพื่อหลีกเลี่ยงความโลภมากของคนอื่น ต้องตักเตือนคนที่ติดตามพวกเราด้วยสักหน่อย” อวิ๋นเหนียงจ้องมองเขา เอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ในภายภาคหน้าจะเป็นอย่างไรก็เป็นเรื่องของอนาคต สิ่งที่สำคัญที่สุดคือบุตรสาวเติบโตอย่างสงบสุขปลอดภัย เรื่องอื่นนั้นไม่สำคัญ”
“…”