คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 810 พบคนคุ้นเคยอีกครั้งหลังจากห่างหายไปนาน
ตอนที่ 810 พบคนคุ้นเคยอีกครั้งหลังจากห่างหายไปนาน
……….
สำหรับเรื่องที่หมอเฒ่ามาติดตามอาการให้ฉินหมิงเยี่ยน ฉินหยวนซานและคนอื่นๆ ต่างก็รู้สึกประหลาดใจและรู้สึกยินดี อย่างไรเสียทางด้านของตัวเองก็ไม่ได้เป็นคนเชิญ และอีกฝ่ายก็รู้ดีว่าตัวเองเป็นเพียงแค่คนที่ถูกเนรเทศ ก็ยังมีความกระตือรือร้น ดังนั้นจึงรู้สึกซาบซึ้งอยู่บ้าง
แต่พวกเขากลับไม่รู้ว่าหมอเฒ่าเพียงแค่มาดูว่าฉินหมิงเยี่ยนผ่านด่านประตูวิญญาณนี้ไปได้จริงๆ หรือไม่ อย่างไรเสียอาการบาดเจ็บก็ไม่เบาเลย
แต่หลังจากที่ตรวจสอบถามไถ่ และเห็นว่าเขานอนหลับอย่างสงบ หมอเฒ่าก็รู้ว่าเด็กหนุ่มที่ยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่ซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสผู้นี้สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้จริงๆ
“ท่านหมอน้อยท่านนั้นเล่า” ความจริงแล้วหมอเฒ่าอยากจะมาหาฉินหลิวซี
ฉินหยวนซานเห็นว่าสายตาของเขาดูตื่นเต้นและเป็นร้อนใจเล็กน้อย นึกบางอย่างขึ้นมาได้ คิดว่าการมาติดตามผลการรักษานั้นมีจุดประสงค์เพื่อยืนยันอะไรบางอย่าง ความจริงแล้วก็เพื่อมาหาฉินหลิวซี
เจตนาเดิมมิใช่อยู่ที่จุดนี้แต่อยู่ที่จุดอื่น!
ฉินหยวนซานเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ช่างบังเอิญเสียจริง นางพึ่งจากไปเมื่อครู่นี้ ไม่ทราบว่าท่านหมอซุนหานางมีธุระอะไรหรือ”
หมอซุนเอ่ยว่า “ข้าประทับใจฝีมือของท่านหมอน้อยผู้นั้น มีแผนการรักษาอยากจะปรึกษากับนางสักหน่อย นางจะกลับมาเมื่อไหร่”
“นางบอกว่าพรุ่งนี้ยังต้องฝังเข็มอีก” ส่วนเวลาที่แน่นอนนั้นบอกได้ยาก
ท่านหมอซุนลูบเครา เอ่ยว่า “ได้ เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะมาแต่เช้า”
ฉินหยวนซานเอ่ยตอบรับ ถามอีกว่า “จากประสบการณ์ของท่านหมอซุน หลานชายของข้าผู้นี้จะหายดีได้หรือไม่”
ท่านหมอซุนก็เป็นคนชราที่มีไหวพริบ ในฐานะที่เป็นหมอ สิ่งที่ไม่ควรทำคือการตัดสินอย่างเด็ดขาด เนื่องจากใครก็ไม่รู้ว่าในภายภาคหน้าจะเกิดอะไรขึ้น เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ตราบใดที่ทำตามคำแนะนำของท่านหมอน้อยผู้นั้น แม้ว่าจะไม่สามารถหายได้สมบูรณ์แบบทุกประการ แต่ก็ฟื้นตัวได้แปดถึงเก้าส่วน อย่างไรเสียนางก็ฝืนดึงคนที่กำลังจะตายกลับมาได้ เห็นได้ชัดว่าวิชาแพทย์ยอดเยี่ยม ข้าอายุปูนนี้แล้วก็ยังไม่สู้นาง”
เมื่อวานเขาอยู่ที่นี่ ได้ยินอะไรมาบ้าง ถามหยั่งเชิงว่า “แต่ที่ผู้เฒ่าฉินถามข้าเป็นเพราะไม่รู้ว่าวิชาแพทย์ของท่านหมอน้อยผู้นั้นดีหรือไม่ดีงั้นหรือ นางเป็นคนตระกูลฉินของพวกท่านไม่ใช่หรือ”
ฉินหยวนซาน “…”
ถูกกระบี่แทงเข้าที่หัวใจ!
เขาเอ่ยไม่กี่คำ แล้วให้ฉินปั๋วหงเป็นคนส่งออกไป
ท่านหมอซุนยืนอยู่นอกบ้านอยู่ครู่หนึ่ง พิจารณาสีหน้าของฉินหยวนซานกับท่าทางของท่านหมอน้อยคนเมื่อวานผู้นั้นอยู่ครู่หนึ่ง เลิกคิ้วเล็กน้อย ดังนั้นในตระกูลนี้ แต่ละครอบครัวล้วนมีเรื่องของตัวเอง
ในเวลานี้สองมือของฉินหลิวซีกำลังถือเนื้อแกะย่างสองสามไม้มาแทะโดยไม่สนใจเลยว่าตัวเองกำลังเดินอยู่บนถนน เอ่ยตามตรง เนื้อแกะของซีเป่ยนั้นอร่อยมาก เนื้อแกะย่างเสียบไม้หลิ่วแดงจากแผงขายของข้างถนน มันและเนื้อกำลังพอดี ย่างอยู่ในเตาร้อนๆ ส่งเสียงฉ่าๆ โรยด้วยเครื่องเทศ กลิ่นหอมลอยมา สูดดมเข้าไป
ข้างหลังนางมีเด็กเล็กๆ เดินตามมาเป็นแถว น้ำลายไหลเป็นทาง มองดูเนื้อแกะเสียบไม้ในมือของนางด้วยความตะกละ
หอม อยากกิน
แต่ฉินหลิวซีราวกับกลั่นแกล้งพวกเขา จงใจแสดงต่อหน้าพวกเขา วางไม้ไว้ใกล้ปาก สูดดมกลิ่น เนื้อหอมๆ เข้าไปในปาก
เด็กน้อยร้องไห้โวยวาย อยากกิน ทำให้ผู้คนที่ผ่านไปมองมาด้วยสายตาตำหนิ
มันใช่เรื่องที่คนทำกันหรือ
มีคนนั่งอยู่ริมหน้าต่างหอสุราแห่งหนึ่งเห็นภาพนี้จึงหัวเราะ “คนผู้นี้นิสัยเสียมาก ก็ไม่กลัวว่าจะถูกคลุมกระสอบ แต่เมื่อดูใบหน้าของนางแล้ว ก็เหมือนกับนายกองฉินของพวกเราอยู่บ้าง ดูไม่ออกว่าเป็นบุรุษหรือสตรี”
“ชู่ เจ้าอยากตายหรืออย่างไร ไม่รู้หรือว่านายกองไม่ชอบให้ผู้อื่นพูดเรื่องใบหน้าของเขาเป็นที่สุด”
“หยุดพูดได้แล้ว เขามาแล้ว”
หลายคนมองไปที่บันได มีคนเดินลงมาจากบันไดชั้นสอง สวมชุดคลุมสีดำคอสูง สีผิวราวกับข้าวสาลี คิ้วยาวพาดเฉียงขึ้น ดวงตาทั้งสองข้างสีดำและเย็นชา เม้มริมฝีปาก แต่กลับยังคงเห็นริมฝีปากแดง ผมถูกเกล้ามวยสูงผูกด้วยผ้าสีดำ
“กำลังคุยอะไรกันหรือ” ชายหนุ่มผู้นั้นเดินเข้ามาอย่างน่าเกรงขามแล้วนั่งลง ถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ไม่มีใครคิดว่าเขาหยิ่งยโส เพราะนิสัยของเขาเป็นเช่นนี้มาโดยตลอด แต่ในกองทัพก็มีคนรู้สึกขัดหูขัดตา ไม่พอใจงั้นหรือ เช่นนั้นก็ถกแขนเสื้อแล้วมาสู้กัน!
เจ้าเด็กคนนี้เป็นคนสู้สุดชีวิต เมื่อขึ้นสังเวียนก็ราวกับลูกหมาป่า ดุร้ายเป็นอย่างมาก ดุร้ายชนิดที่ไม่กลัวตาย ถูกต่อยจนจมูกบวมใบหน้าช้ำก็ไม่สนใจ แต่ความโหดร้ายนี้กลับทำให้หลายคนที่เห็นเขาขัดหูขัดตาเริ่มยอมรับเขา
โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในสนามรบ เขาก็ไม่กลัวตาย ซ้ำยังมีกลยุทธ์เล็กๆ น้อยๆ มีคุณธรรม เมื่อเวลาผ่านไปนานก็ทำให้คนยอมรับ และเขาก็สามารถก้าวขึ้นตำแหน่งนายกองได้ภายในเวลาเพียงปีกว่าเท่านั้น
ตำแหน่งนี้ไม่ได้ได้มาเพราะหน้าตาที่ดูดีของเขา แต่เป็นเพราะความสามารถจากหัวหน้ากองทัพเล็กๆ ไปจนถึงสิบ ถึงร้อย เมื่อเกิดสงคราม เขาก็จะเสนอตัวทำหน้าที่ ลงสนามรบก็มีความกล้าหาญ ทำผลงานทางทหาร ย่อมได้รับเลื่อนตำแหน่ง
ในค่ายทหารล้วนใช้หมัดพูดคุยกันมาแต่ไหนแต่ไร ใครแข็งแกร่งก็ต้องยอมผู้นั้น สหายฉินแข็งแกร่งและมีกลยุทธ์ พวกเขาย่อมเชื่อฟัง
การได้เลื่อนตำแหน่งเป็นนายกองเป็นเรื่องเมื่อเดือนที่แล้ว เป็นเขาที่เข้าไปในทุ่งหญ้ากับกองทัพใหญ่ ซ้ำยังตัดศีรษะของหัวหน้าเผ่าน้อย จึงได้รับเลื่อนตำแหน่ง
“พวกเรากำลังพูดถึงเด็กที่อยู่ข้างนอกผู้นั้นว่าทำเรื่องไม่เป็นเรื่อง เอาเนื้อแกะเสียบไม้มาหลอกล่อเด็ก ทำเอาเด็กน้อยเหล่านั้นร้องไห้ นิสัยไม่ดี” หนึ่งในนั้นยิ้มพลางบุ้ยปากไปข้างนอก
ชายหนุ่มผู้นั้นเหลือบมองไปข้างนอกอย่างไม่ใส่ใจ เอ่ยว่า “เอาล่ะ รีบกินเร็วเข้า ยังต้องกลับไปทำงานที่ทางด้านแม่ทัพ…”
เมื่อเขาหยุดเอ่ยไป ดวงตาก็จ้องไปที่คนที่ถือเนื้อแกะเสียบไม้หัวเราะอย่างสนุกสนานอยู่ข้างนอก ลุกขึ้นยืนในทันที มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่น สายตาเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
ทุกคนพากันตกตะลึง มองหน้ากัน เกิดอะไรขึ้น
“นายกองฉิน มีอะไรหรือขอรับ”
ฉินสีออกไปจากโต๊ะ พุ่งออกไปราวกับพายุ
ในเวลานี้ฉินหลิวซีได้แกล้งเด็กๆ จนพอใจแล้ว กำลังจะแบ่งเนื้อแกะเสียบไม้ในมือให้พวกเขาคนละไม้ ทันใดนั้นรู้สึกถึงลมกระโชกแรง ย้ายเด็กๆ ไปไว้ข้างหลังตามสัญชาตญาณ ส่วนตัวเองเผชิญหน้ากับลมกระโชกแรงนั่น เนื้อแกะเสียบไม้ในมือชี้ไปข้างหน้า
ใช่แล้ว หากคนที่ไม่ดูตาม้าตาเรือพุ่งเข้ามา จากเนื้อแกะเสียบไม้ก็จะกลายเป็นเนื้อคนเสียบไม้แล้ว!
โชคดีที่ลมกระโชกแรงมาหยุดอยู่ตรงหน้านาง เพียงแต่มองนางด้วยดวงตาแดงก่ำ ริมฝีปากสั่น กลับไม่ได้เอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว
ฉินหลิวซีกะพริบตา ชูไม้ในมือขึ้นมา “เจ้าก็อยากกินเนื้อแกะเสียบไม้ของข้าด้วยหรือ”
คิดไม่ถึงว่าเมื่อเอ่ยจบอีกฝ่ายก็น้ำตาไหล
ฉินหลิวซีตกใจแทบแย่ รีบยื่นไปให้หนึ่งไม้ “ก็แค่เนื้อย่างหนึ่งไม้ ไม่เห็นต้องขนาดนี้ เอาไปกินสิ”
ฉินสีรับมาอย่างงงๆ เหลือบมองเนื้อแกะเสียบไม้ในมือ จากนั้นก็มองนาง รู้สึกโกรธเล็กน้อย “ท่านจำข้าไม่ได้แล้วหรือ”
หา คนคุ้นเคย?
ฉินหลิวซีมองนาง คนผู้นี้มีใบหน้าเที่ยงธรรม และมีพลังชั่วร้าย นั่นเป็นพลังสังหารที่มีเฉพาะผู้ที่เป็นทหาร ใบหน้าคุ้นเคยเล็กน้อย ใครกัน
ฉินสีดึงเชือกแดงจากคอออกมา หยิบเครื่องรางหยกที่เชือกยื่นไปตรงหน้านาง สูดลมหายใจ เอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าเอง สีเจิง พี่สาวของน้องชาย ที่หลินพัวในหยางจื่อหลิ่งของมณฑลหนิงโจว ข้าเป็นคนพี่”
ทันทีที่ฉินหลิวซีเห็นเครื่องรางหยกก็รู้ว่าเป็นฝีมือของตัวเอง เมื่อได้ยินนางเอ่ยถึงสถานที่นี้ ความทรงจำก็กลับมาทันที มองสำรวจนางด้วยความประหลาดใจ “เป็นเจ้านี่เอง เจ้าได้เป็นขุนนางน้อยแล้วหรือ”
“เป็นข้า” นางยิ้มทั้งน้ำตา
ทหารหลายคนที่หมอบดูความครึกครื้นตรงหน้าต่าง ถอนหายใจ “นี่คือฉากการพบกันอีกครั้งของคนคุ้นเคยหลังจากห่างหายไปนาน ดูท่าทางแปลกๆ ไม่รู้ว่าใคร”
ฉินหลิวซีหูตาไวจึงมองออกไป ก่อนจะเลิกคิ้ว แปลกๆ อย่างนั้นหรือ