คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 811 ปูทางให้สีเจิง
ตอนที่ 811 ปูทางให้สีเจิง
……….
ยากนักที่จะได้พบฉินหลิวซีในเมืองอู่ สีเจิงทิ้งพรรคพวกของตัวเองไปในทันที ให้พวกเขากินเสร็จแล้วกลับไปรับคำสั่งทางด้านผู้บัญชาการ ส่วนตัวเองจะพบปะสหายก่อนแล้วค่อยกลับไป จากนั้นก็เปิดห้องส่วนตัวกินอาหารกับฉินหลิวซีอีกห้องหนึ่ง
สั่งอาหารท้องถิ่นชื่อดังหลายจาน สีเจิงแทบรอไม่ไหวที่จะพูดคุยกับฉินหลิวซี เอ่ยว่า “เหตุใดท่านจึงมาที่เมืองอู่ มีเรื่องอะไรหรือ”
“คนในตระกูลของข้าถูกเนรเทศมาที่เมืองอู่ น้องชายไม่เอาไหนได้รับบาดเจ็บสาหัส ก็เลยมาเป็นคนดีอยู่ที่นี่” ฉินหลิวซีอธิบายให้ฟังอย่างคร่าวๆ
“เนรเทศ?” สีเจิงตกใจ
“อืม อดีตของอดีตเสนาบดีสำนักกวงลู่ ฉินหยวนซานคือท่านปู่ของข้า”
สีเจิงเดิมทีเกิดจากตระกูลแม่ทัพ ไม่ได้รู้จักกับขุนนางนักปราชญ์ทุกคน แต่ก็เคยได้ยินมาอยู่บ้าง ยิ่งเป็นขุนนางขั้นสามในเมืองหลวงยิ่งไม่ต้องพูดถึง
นางไม่ได้รู้จักฉินหยวนซานเป็นอย่างดี แต่ก็รู้ว่ามีคนผู้นี้ เป็นท่านปู่ของฉินหลิวซีอย่างนั้นหรือ
ฉินหลิวซีไม่ได้พูดถึงคนในครอบครัวของตัวเองมากนัก แต่กลับมองไปที่นาง ก่อนจะเอ่ย “เจ้าล่ะ เข้ากันได้ดีในกองทัพหรือไม่”
สีเจิงยิ้มเล็กน้อย “พอได้ ได้เป็นนายกองตำแหน่งเล็กๆ แล้ว”
น้ำเสียงไม่ทะนงตนไม่กังวล เรียบง่าย
นางเล่าให้ฟังอย่างคร่าวๆ แต่ฉินหลิวซีรู้ว่ามันยากแค่ไหนสำหรับสตรีที่เข้าร่วมกับกองทัพบุรุษจำนวนมาก และสถานะของสตรีก็ไม่สะดวกเป็นอย่างมาก เพียงแค่รักษาสถานะนี้ก็เปลืองแรงเป็นอย่างมากแล้ว ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการได้รับตำแหน่งนี้
ไม่จำเป็นต้องเล่าอย่างละเอียด นางก็รู้ว่าสีเจิงทุ่มเทอะไรไปบ้าง นั่นไม่ใช่สิ่งที่เอ่ยเพียงสองสามคำก็สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจน
“ยื่นมือมา”
สีเจิงตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ยื่นมือมาวางลงบนโต๊ะ ฉินหลิวซีวางสองนิ้วลงไป สัมผัสชีพจรเป็นเวลานาน จากนั้นก็เปลี่ยนมืออีกข้าง เอ่ย “บนตัวเจ้ามีอาการบาดเจ็บซ่อนอยู่ไม่น้อย ไม่เคยให้แพทย์ทหารรักษาเลยหรือ”
สีเจิงหัวเราะเบาๆ “นั่นคือค่ายทหาร หากลงสนามรบแล้วได้รับบาดเจ็บกลับมา แพทย์ทหารสามารถช่วยชีวิตได้ แต่การตรวจดูอย่างละเอียดนั้นไหนเลยจะมีเงื่อนไขเช่นนั้น อีกอย่าง สถานะของข้าเช่นนี้ก็ยิ่งไม่สะดวก”
“ไม่เคยให้แพทย์ทหารตรวจมาก่อนเลยหรือ”
“ก็ไม่ถึงขั้นนั้น ข้าก็เป็นเพียงคนธรรมดา เมื่อได้รับบาดเจ็บก็ต้องไปหาหมอ แพทย์ทหารในค่ายของข้าผู้นั้นเคยได้รับความเมตตาจากท่านพ่อของข้า ไม่ได้เปิดเผยตัวตนของข้า ในวันปกติก็คอยดูแลอยู่เสมอ มิเช่นนั้น ไหนเลยข้าจะสามารถเป็นนายกองได้”
ชีพจรของบุรุษและสตรีนั้นแตกต่างกัน แค่สัมผัสดูก็รู้ หากไม่ใช่เพราะค่ายทหารที่นางไป และแพทย์ทหารผู้นั้นเคยเป็นหน่วยงานเก่าของท่านพ่อ สถานะสตรีของนางคงถูกเปิดเผยไปนานแล้ว
สีเจิงจิบชา กล่าวว่า “ในวันปกติเขาก็ดูแลข้ามากพอแล้ว ไม่สามารถดูแลเรื่องอื่นๆ ได้มากกว่านี้แล้ว หากไม่มีอะไรข้าก็ฝึกการต่อสู้ทุกวัน ร่างกายยังคงดีอยู่”
ฉินหลิวซีเอ่ยว่า “เจ้าคิดว่ายังดีอยู่ แต่ข้าเห็นว่ามีบาดแผลสะสมซ้ำยังมีความเย็นในร่างกาย ตอนนี้อาจไม่เป็นอะไร แต่เมื่อเจ้าอายุมากขึ้นปัญหาก็จะมากขึ้นแล้ว โดยเฉพาะความเย็นในร่างกายยิ่งจะทำให้สตรีตั้งครรภ์ได้ยาก อีกอย่าง เจ้าใช้ยาระงับหยินหยางและธาตุทั้งห้าของสตรีหรือ”
สีเจิงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง “ท่านสามารถมองสิ่งนี้ออกได้จากการจับชีพจรด้วยหรือ ข้าใช้ยาอยู่บ้าง ท่านก็รู้ว่าเป็นทหารนั้นเวลาค่อนข้างกระชั้นชิด หากข้ามีระดูทุกเดือนก็จะไม่สะดวก ดังนั้นจึงขอให้เขาใช้ยาอยู่บ้าง ตั้งแต่ที่ข้าเข้าสู่ค่ายทหารจนถึงตอนนี้มีระดูมาแล้วสองครั้ง”
ไม่แปลกใจเลยที่หยินหยางในร่างกายของนางยุ่งเหยิง
เมื่อสีเจิงเห็นฉินหลิวซีถอนหายใจ จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ความจริงแล้วก็ไม่ได้สำคัญอะไร ไม่มีระดูก็สะดวกดี ข้าก็ไม่ได้คิดอยากจะแต่งงานมีบุตร”
นับตั้งแต่ที่เริ่มต้นเดินบนเส้นทางนี้ นางก็ถือว่าตัวเองเป็นบุรุษแล้ว
“ร่างกายคือต้นทุน หากเจ้าทำลายมันตั้งแต่เนิ่นๆ ในภายภาคหน้าเจ้าจะได้ไม่คุ้มเสีย แม้ว่าเจ้าจะไม่ได้คิดที่จะแต่งงานมีบุตร ก็ต้องทนกับความเจ็บปวดไม่สบายของร่างกาย เหตุใดต้องทำเช่นนั้น” ฉินหลิวซีกล่าวว่า “ข้าจะไปเอาวัตถุดิบยาบางอย่างมาปรุงเป็นยาลูกกลอนให้เจ้ากิน สามารถปรับสภาพร่างกายได้ด้วย”
สีเจิงรู้สึกอบอุ่นใจ ขอบตาร้อนเล็กน้อย บรรดาทหารในค่ายทหารเห็นว่านางเลื่อนขั้นอย่างรวดเร็ว แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่านางต้องจ่ายอะไรไปบ้าง และจะมีสักกี่คนที่ใส่ใจร่างกายของนางจริงๆ
ฉินหลิวซีกับนางก็เคยพบกันเพียงแค่สองครั้ง แต่กลับมีความจริงใจ นางอดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปจับมือของฉินหลิวซี “ขอบใจท่านมาก”
“ก็ไม่ใช่วัตถุดิบยาที่ปรุงยากอะไรเช่นนั้น ขอบใจอะไรกัน” ฉินหลิวซีหัวเราะเบาๆ เอ่ยว่า “แต่เจ้าทำเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่อง ปิดไว้ได้หนึ่งปี แต่ไม่สามารถปิดได้ตลอดชีวิต หากเจ้าต้องการเดินบนเส้นทางนี้ให้ถึงที่สุด สถานะสตรีของเจ้าต้องเปิดเผยออกมาในเวลาที่เหมาะสม เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าอาจจะสามารถสร้างกองทัพสตรีของตัวเองได้ ก็ไม่จำเป็นต้องอยู่กับบรรดาชายฉกรรจ์เหล่านั้นแล้ว”
“อืม”
ฉินหลิวซีคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “เหตุใดเจ้าจึงมาที่นี่ เมื่อครู่ได้ยินว่าเจ้ายังต้องกลับไปรับคำสั่ง”
“ข้าก็ถือได้ว่าเป็นองครักษ์ ชื่อสื่อ[1]เมืองหลานฉลองวันเกิด ผู้บัญชาการระดับสูงแม่ทัพเวยหย่วนไปร่วมฉลองวันเกิด ข้าในฐานะเป็นนายกอง ก็ต้องติดตามเป็นองครักษ์ส่วนตัว”
“คนผู้นี้นิสัยเป็นอย่างไร”
สีเจิงชะงักไปครู่หนึ่ง ลังเลอยู่เล็กน้อยก่อนจะเอ่ยเสียงเบาว่า “เป็นคนอารมณ์ร้อน ใช้กองทัพอย่างกล้าหาญแต่ไม่มีแผนการที่ดี เป็นคนเลือกที่รักมักที่ชัง เอาแต่ใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้สนใจที่จะใช้ประโยชน์ความสำเร็จทางการทหารมาดูหมิ่นผู้ใต้บังคับบัญชา ควรเป็นของใครก็ให้คนนั้น”
ฉินหลิวซีเคาะโต๊ะ เอ่ยว่า “เจ้ารู้จักตระกูลเฉวียนกระมัง เฉวียนจิ่ง แม่ทัพน้อยเฉวียนของตระกูลนั้น เจ้าเคยได้ยินหรือไม่”
“ตระกูลเฉวียนควบคุมกองทัพทหารหลายแสนคนของซีเป่ย บุตรชายตระกูลเฉวียนกระทั่งบุตรสาวล้วนเติบโตมาบนหลังม้า ทุกคนในกองทัพซีเป่ยไม่มีใครไม่รู้จัก” สีเจิงถามด้วยความอยากรู้ว่า “เหตุใดท่านจึงได้เอ่ยถึงเขา”
“เขาเป็นคนไข้ของข้า”
สีเจิงประหลาดใจเป็นอย่างมาก “ได้ยินมาว่าแม่ทัพน้อยเฉวียนถูกวางยาพิษมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานแล้ว เมื่อเร็วๆ นี้ได้ยินมาว่าดีขึ้นมากแล้ว เป็นท่านที่ช่วยไว้หรือ”
“อืม อีกฝ่ายให้สิ่งตอบแทนมากมายเกินไป ไม่อาจปฏิเสธได้” ฉินหลิวซีฉีกยิ้มพลางเอ่ย “อย่างไรเสียก็ล้วนต้องการต่อสู้เพื่อปกป้องราษฎร เจ้าไปทำงานอยู่ใต้บังคับบัญชาของเขาดีหรือไม่”
สีเจิงตกตะลึง นี่กำลังปูทางให้นางอยู่หรือ
“เฉวียนจิ่งผู้นี้ไม่ใช่คนหัวโบราณ ได้ยินมาว่าตระกูลเฉวียนของพวกเขาก็เคยมีแม่ทัพหญิง หากเจ้ามีความแข็งแกร่งและมีความสามารถ ไปเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา ดีกว่าทำงานใต้บังคับบัญชาคนเอาแต่ใจ ข้าจะอธิบายสถานะของเจ้าแก่เขาให้ชัดเจน เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าก็ไม่ต้องกังวลตลอดเวลาว่าสถานะสตรีของตัวเองจะถูกเปิดเผย” ฉินหลิวซีมองนาง เอ่ยว่า “แม้ว่าเจ้าจะไม่กลัวความตาย ไม่กลัวต้องอยู่อย่างลำพัง แต่เมื่อเจ้าประสบความสำเร็จขึ้นมาจริงๆ มีสายฟ้าขนาดใหญ่อยู่บนศีรษะที่สามารถระเบิดได้ตลอดเวลา เมื่อมีคนวิพากษ์วิจารณ์เจ้ามากขึ้น ความพยายามทั้งหมดในอดีตก็จะเปล่าประโยชน์ เจ้าเต็มใจหรือ”
สีเจิงลำคอแห้งเล็กน้อย “แต่ว่านั่นเป็นน้ำใจของท่าน อีกอย่าง ข้ายังมีความแค้นของตระกูลอยู่…”
“เจ้าคิดว่าระหว่างศัตรูคู่อาฆาตของเจ้ากับตระกูลเฉวียนใครมีอำนาจมากกว่ากัน ข้าไม่ได้บอกว่าแม่ทัพเวยหย่วนผู้นั้นไม่ดี แต่เจ้าก็บอกแล้วว่าเขาเอาแต่ใจตัวเอง บางครั้งก็ไม่ฟังคำแนะนำของผู้อื่น จะทำให้ตัดสินใจผิดพลาดได้ง่าย แม้แต่คนที่อยู่ข้างกายก็จะพลอยเดือดร้อนไปด้วย บางทีเจ้าอาจคิดว่าข้าอ้างความเป็นจริง แต่คนเราเมื่อเดินไปยังที่สูง หากเจ้าไม่มีกำลังก็ไม่เป็นไร แต่หากมีกำลัง ไหนเลยจะยังต้องดิ้นรนอยู่ภายใต้บังคับบัญชา เมื่อมีคนคอยปกป้อง เจ้าก็จะเข้าใกล้เป้าหมายไปอีกหนึ่งก้าว และเข้าใกล้ความตั้งใจเดิมที่จะเข้าค่ายทหารในฐานะสตรีอีกหนึ่งก้าว” ฉินหลิวซีดวงตาเป็นประกาย เอ่ย “ข้าเชื่อมั่นในตัวเจ้า แม้ว่าความตั้งใจเดิมของเจ้าจะเพื่อล้างแค้นให้กับตระกูล แต่เจ้าก็ไม่ได้เพิกเฉยที่จะปกป้องอาณาเขตชายแดนและราษฎร”
[1] ชื่อสื่อ ผู้ตรวจการมณฑล