คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 815 สาเหตุเกิดจากรากฐานไม่มั่นคง
ตอนที่ 815 สาเหตุเกิดจากรากฐานไม่มั่นคง
……….
ตระกูลทังมีกระปุกยาทังเอ้อร์ซึ่งเป็นที่รู้จักของคนทั้งเมือง ทุกครั้งที่คุณชายรองทังเป็นลมไป ราษฎรในเมืองล้วนคุ้นเคย เป็นกระปุกยาที่ในตระกูลมีเหมืองแร่เป็นลมอีกแล้ว แต่ก็อย่างที่พวกเขาคิด ตระกูลทังไม่มีทางแขวนโคมไฟสีขาว แม้ว่าพวกเขาจะได้รู้จากพี่ป้าน้าอาของตัวเองว่าตระกูลทังได้เตรียมชุดและโลงเอาไว้ให้คุณชายรองทังนานแล้ว
ท่านหมอซุนพาฉินหลิวซีเข้าไปในจวนทัง มุ่งหน้าไปที่เรือนคุณชายรองตระกูลทังอย่างคุ้นเคย คาดว่าเขาเป็นหมอประจำที่ดูแลคุณชายรองทังจริงๆ แม้ว่าจะไม่ได้มีประโยชน์มากนักก็ตาม
ผู้คนมากมายมาที่เรือนของคุณชายรองทัง ตั้งแต่พ่อแม่ของเขา ไปจนถึงพี่ชายใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่ กระทั่งหลานชายหลานสาวก็อยู่ด้วย ใบหน้าของทุกคนดูเศร้าเล็กน้อย
เมื่อฉินหลิวซีเห็นท่าทางเช่นนี้ ก็มีความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกที่คนผู้นั้นเตรียมตัวที่จะจากไปได้ทุกเมื่อ ทุกคนที่อยู่ตรงหน้าเตรียมที่จะพบกันเป็นครั้งสุดท้าย
ความคิดนี้เป็นบาปจริงๆ
“ท่านหมอซุนมาแล้ว โย่วเอ๋อร์เป็นลมไปอีกแล้ว” ฉังซุ่นปั๋วคนปัจจุบันนามว่าทังเจิ้งเฉวียนกล่าวด้วยความเหนื่อยล้าเล็กน้อย “ได้ป้อนยาไปแล้ว รบกวนท่านด้วย”
ฮูหยินทังร้องไห้ไปแล้วหนึ่งรอบ มีลูกสะใภ้กับบ่าวรับใช้พยุงไว้ ท่าทางราวกับจะล้มลงได้ทุกเมื่อ
ท่านหมอซุนเอ่ยว่า “ท่านปั๋ว ผู้นี้คือท่านเจ้าอาวาสน้อยอารามชิงผิง นามเต๋าว่าปู้ฉิว เป็นหมอลัทธิเต๋า ข้ามีวาสนาได้รู้จักโดยบังเอิญ วิชาแพทย์เป็นเลิศ ข้าได้ยินว่าคุณชายรองเป็นลมอีกแล้ว จึงได้เชิญเขามาช่วยจับชีพจรให้คุณชาย”
ใช่ว่าทุกคนจะไม่ได้สังเกตเห็นฉินหลิวซี เนื่องจากท่านหมอซุนเป็นหมอที่ตระกูลของตัวเองไว้ใจมากที่สุด จึงไม่คิดมากเกี่ยวกับเด็กหนุ่มแปลกหน้าที่เขาพาเข้ามา เพียงแต่คิดว่าเป็นญาติของหมอซุนเท่านั้น พามาเป็นผู้ช่วย แต่กลับไม่คิดว่าคนผู้นี้จะเป็นหมอลัทธิเต๋า?
“หมอลัทธิเต๋าในอารามเต๋า?” ทังเจิ้งเฉวียนมองฉินหลิวซีด้วยความประหลาดใจ จากนั้นก็มองไปยังท่านหมอซุน แม้ว่าข้าจะเชื่อใจเจ้า แต่เด็กหนุ่มผู้นี้อายุน้อยเกินไปหรือไม่
ฉินหลิวซีถูกบุญกุศลของทังเจิ้งเฉวียนและคนอื่นๆ ทำให้แสบตา น้ำลายจะไหลออกมาอยู่แล้ว สว่างจ้าจนรู้สึกโลภมาก
อยากได้
ท่านหมอซุนไม่ได้หลอกนาง ตระกูลทังเป็นตระกูลสั่งสมบุญกุศลจริงๆ ดูแสงสีทองแห่งบุญกุศลเหล่านี้สิ รู้สึกใจเต้นเป็นอย่างมาก
ทังเจิ้งเฉวียนรู้สึกหนาวไปตามกระดูกสันหลัง รู้สึกว่าสายตาของเด็กหนุ่มผู้นี้มีบางอย่างผิดปกติ ราวกับหมาป่าได้เห็นเนื้อหลังจากที่หิวโซมาเป็นเวลานาน
ท่านหมอซุนกระแอมเบาๆ
ฉินหลิวซีได้สติกลับมา มองดูผู้คนเบียดเสียดกันเต็มไปหมด ซ้ำยังรู้สึกถึงความอบอุ่น อากาศมีกลิ่นเหมือนถ่านกำลังลุกไหม้
นี่พึ่งจะเดือนสิบ แม้ว่าเมืองอู่จะสวมเสื้อผ้าหนาเล็กน้อย แต่ในตอนเช้ากับตอนเย็นนั้นหนาวที่สุด ตอนกลางวันอุณหภูมิยังพอรับได้ แต่ในห้องนี้ได้วางเตาถ่านไว้แล้ว
ประกอบกับความแออัดของผู้คน ซ้ำยังมีกลิ่นเครื่องหอมของเสื้อผ้า ทำให้กลิ่นในห้องอุดอู้เล็กน้อย
“ไม่ใช่ว่าสถานที่ที่มีคนมากจะหายใจลำบากหรอกหรือ ห้องเล็กๆ เช่นนี้มีคนอัดกันมากมายเพียงนี้ ซ้ำยังไม่เปิดหน้าต่างระบายอากาศ อากาศไม่หมุนเวียน กลิ่นก็ค่อนข้างแรงและอุดอู้เล็กน้อย แยกย้ายกันไปเถอะ” ฉินหลิวซีเอ่ยว่า “คนไข้อยู่ที่ไหน”
ทุกคนต่างมองหน้ากัน มองไปยังทังเจิ้งเฉวียน ท่านหมอซุนจึงเป็นคนกล่าวขึ้นมาว่า “ออกไปกันเถิด มีหมอน้อยมหัศจรรย์อยู่ คุณชายรองไม่เป็นอะไรแน่นอน”
ท่านนี้เป็นบุคคลที่สามารถดึงผู้ป่วยบาดเจ็บสาหัสที่มีแต่ลมออกไม่มีลมเข้ากลับมาจากประตูวิญญาณได้
ฉินหลิวซีเหลือบมองเขา ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์
ท่านหมอซุนยิ้มประจบประแจง
ทังเจิ้งเฉวียนให้ผู้น้อยทั้งหมดออกไป เมื่อเห็นใบหน้าซีดเซียวและท่าทางสั่นคลอนของฮูหยิน จึงกล่าวว่า “ท่านก็ไปรออยู่ข้างนอกเถิด”
“ไม่เจ้าค่ะ” ฮูหยินทังส่ายหน้า
ฉินหลิวซีเหลือบมองนางแล้วละสายตา จากนั้นก็ตามท่านหมอซุนผ่านม่านกันลมเข้าไปในห้อง
บนเตียง เด็กหนุ่มรูปร่างผอมบางนอนอยู่ สีหน้าเขียวซีด ริมฝีปากมีสีม่วงเล็กน้อย ตาทั้งสองข้างหลับสนิทนอนอยู่บนเตียง แม้ว่าจะสลบไป ก็ยังขมวดคิ้วแน่น
เป็นคนที่อ่อนแอพอๆ กันกับเฉวียนจิ่ง แต่เฉวียนจิ่งอ่อนแอเพราะถูกวางยาพิษจนทะลุเข้าสู่ไขสันหลังจึงได้ทนทุกข์ทรมาน แต่ท่านนี้กลับเป็นเพราะไม่สมประกอบตั้งแต่กำเนิด หากสตรีเรียกว่าเจ้าหญิงนิทรา เช่นนั้นบุรุษก็คือเจ้าชายนิทรา
เขาถูกคลุมด้วยผ้าห่มหนาเตอะ แต่ไม่มีเหงื่อออกบนหน้าผากแม้แต่นิด
ฉินหลิวซีหยิบเข็มเงิน แทงเบาๆ บนจุดเหนือกลางริมฝีปากของเขา จากนั้นก็ใช้น้ำมันยาวางไว้ใต้จมูกให้เขาดม เอามือของเขาออกมาจากผ้าห่ม นวดที่บริเวณระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้เบาๆ
ขนตายาวๆ ของทังเอ้อร์ขยับเล็กน้อย ค่อยๆ ลืมตาขึ้น
ทังเจิ้งเฉวียนและคนอื่นๆ ดีใจเล็กน้อย คราวนี้ตื่นขึ้นเร็วมาก คิดว่าไม่ว่าอย่างไรก็คงต้องรอถึงตอนกลางคืนเสียอีก
สายตาที่เดิมทีมีความสงสัยฉินหลิวซี ตอนนี้ได้หายไปแล้ว
ทังเอ้อร์ได้สติกลับมา เมื่อเห็นใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยของฉินหลิวซีก็ตกตะลึง “ท่านเป็นใคร”
เมื่อฉินหลิวซีเห็นดวงตาของเขาก็แอบถอนหายใจ ดวงตาคู่นี้สะอาดเกินไปแล้ว บริสุทธิ์ชัดเจน สะอาดยิ่งกว่าหลานโย่วเสียอีก ไม่มีฝุ่นเปรอะเปื้อนเลยแม้แต่นิดจริงๆ
“ข้าเป็นหมอ ดวงตาของเจ้าสวยจริงๆ”
ทังเอ้อร์ตกตะลึง แก้มทั้งสองข้างของเขาแดงก่ำอย่างอธิบายไม่ถูกเพราะคำชมนี้ สายตาแฝงไว้ด้วยความเขินอายเล็กน้อย
เขาดิ้นเล็กน้อย ลุกขึ้นมานั่งบนเตียง ทันทีที่ขยับ การหายใจไม่ค่อยสะดวก หอบเล็กน้อย
ฉินหลิวซีถอนหายใจ อ่อนแอมากจริงๆ
สองนิ้วของนางวางลงบนข้อมือจับชีพจรของเขา สายตาจ้องมองไปที่เส้นเลือดที่นูนออกมาเป็นพิเศษเนื่องจากความผอมบางพลางขมวดคิ้ว
ในห้องเงียบมาก ทุกคนไม่กล้าส่งเสียงรบกวน
ฉินหลิวซีเปลี่ยนมือ คราวนี้นางหลับตาลงเล็กน้อย มือข้างหนึ่งจับชีพจร อีกข้างหนึ่งร่ายคาถา ใช้วิชาจับชีพจรไท่ซู่ตรวจสอบดู
นางใช้เวลาจับชีพจรนานกว่าเดิมเล็กน้อย ซึ่งทำให้ทังเจิ้งเฉวียนและคนอื่นๆ เริ่มรู้สึกหนักใจ ความหวังเดิมเริ่มเบาบางลง
ท่านหมอมีชื่อเสียงหลายคนล้วนล้มเหลวในการรักษาเด็กคนนี้ พวกเขาไม่กล้าคาดหวังมากเกินไปแล้ว ทำได้เพียงยื้อไว้วันต่อวันเท่านั้น
ฉินหลิวซีลืมตาขึ้น เอ่ยกับท่านหมอซุนว่า “องค์รวมอ่อนแอ ลอยตัวไม่มั่นคง ชีพจรช้าแทบจะหาไม่เจอ นี่คือชีพจรที่อ่อนแอ”
ท่านหมอซุนเดินไปข้างหน้า จับข้อมือของทังเอ้อร์ขึ้นมาตรวจสอบ ขมวดคิ้ว “เกี่ยวกับที่พึ่งเป็นลมไปเมื่อครู่นี้หรือไม่”
ฉินหลิวซีวางมือลง เอ่ย “มีบ้างเล็กน้อย แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เป็นเพราะเขาเดิมทีก็มีชีพจรอ่อนแออยู่แล้ว และเป็นโรคที่ขาดจากครรภ์ของมารดาจริงๆ ไม่ใช่เพียงเพราะทารกในครรภ์สุขภาพไม่แข็งแรงพอและคลอดก่อนกำหนด ความจริงแล้วตอนที่เกิดการปฏิสนธิ สารจิง[1]ของบิดาไม่เพียงพอ ร่างกายของคนเป็นมารดาก็ไม่แข็งแรงพอ อ่อนแออย่างเห็นได้ชัด ด้วยเหตุนี้การฝังตัวอ่อนจึงมีข้อบกพร่องหลายประการ แต่ที่สามารถอยู่รอดมาได้ถึงตอนนี้ เป็นเพราะบุญบารมีของบรรพบุรุษปกป้องไว้จริงๆ แต่การคุ้มครองนี้ก็เพียงแต่ทำให้เขามีชีวิตอยู่ได้ แต่ร่างกายแข็งแรงนั้นกลับไม่ควรไปคาดหวัง”
ทุกคนได้ยินดังนั้นก็สับสน ดูเหมือนพวกเขาจะเข้าใจ แต่ก็ไม่เข้าใจ นี่หมายความว่าอย่างไร
“ท่านหมอน้อยมหัศจรรย์กล่าวเช่นนี้ ไม่ทราบว่าหมายความว่าอย่างไรหรือ” ทังเจิ้งเฉวียนเอ่ยถาม
“เรียกข้าว่าเจ้าอาวาสน้อยก็พอ หรือไม่ก็เรียกนามเต๋าปู้ฉิวของข้า” ฉินหลิวซีมองเขาพลางเอ่ย “ข้าหมายความว่าสารจิงของท่านไม่แข็งแรงพอ และฮูหยินของท่านก็ร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก หมายความว่าพวกท่านในฐานะที่เป็นบิดามารดารากฐานในการตั้งครรภบุตรนั้นไม่แข็งแรงพอ ดังนั้นรากฐานของเขาจึงไม่มั่นคง”
รากฐานไม่มั่นคง บ้านก็ย่อมพัง ในทำนองเดียวกันหากพันธุกรรมไม่ดีพอ แล้วจะแข็งแรงได้อย่างไร
[1] สารจิง(精元) กักเก็บไว้ที่ไต สารจิงชนิดนี้จะได้รับการบำรุงจากอาหารและพัฒนาเป็นสารแห่งการสืบพันธุ์
……….