คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 820 ฮูหยินผู้เฒ่าคือลูกธนูที่หมดแรงแล้ว
ตอนที่ 820 ฮูหยินผู้เฒ่าคือลูกธนูที่หมดแรงแล้ว
……….
เฉวียนจิ่งนึกไม่ถึงเลยว่า หลังจากที่รีบเร่งเดินทางมาทั้งวันทั้งคืนเช่นนี้แล้ว กว่าจะได้พบกับฉินหลิวซีสักครั้งไม่ใช่ง่ายๆ จู่ๆ นางก็บอกว่าจะต้องไป ซ้ำยังไปอย่างเร่งรีบโดยไม่กินข้าวด้วยซ้ำ
ก่อนออกเดินทาง นางยังเอายาที่จะให้กับสีเจิงมาให้เฉวียนจิ่งแทน เพราะถึงอย่างไร เขาก็ต้องพบกับสีเจิงก่อนอย่างแน่นอน
ฉินหลิวซีคิดถึงสถานะของสีเจิง จากนั้นจึงเอ่ยกับเฉวียนจิ่ง “จริงๆ แล้วนางก็เป็นเด็กผู้หญิงเหมือนกับข้า นางเข้าร่วมกองทหารด้วยความมุ่งมั่น ทั้งนางยังเกิดมาเพื่อเป็นทหาร หากท่านไม่ถือสาที่สตรีจะเข้าร่วมกองทัพออกรบ ท่านก็พานางไปได้ หากถือสา ก็ให้ถือเสียว่าข้าไม่เคยเอ่ยเรื่องนี้กับท่าน นางจะไปได้ไกลแค่ไหนก็แล้วแต่โชคชะตาของนาง”
เฉวียนจิ่งเหลือบมองขวดยาในมือตนเอง ก่อนจะเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “ต่อให้ข้าไม่ต้องการคนผู้นี้ ท่านก็ไม่กลัวหรือว่าข้าจะเปิดเผยเรื่องที่นางเป็นสตรีออกไป”
ฉินหลิวซี “ท่านไม่ใช่คนแบบนั้น” นางเงียบไปสักพัก ก่อนจะเอ่ย “ถ้าท่านเป็น…หึๆ”
เข้าใจแล้ว เขาเข้าใจเสียงหึๆ นั้นแล้ว
สองขาของเฉวียนจิ่งเกร็งขึ้น สีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง “ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังที่ไว้ใจ”
ฉินหลิวซีโบกมือให้เขา แล้วสั่งท่านหมอซุนให้ฝังเข็มละลายลิ่มเลือดและลดบวมให้ฉินหมิงเยี่ยนอีกครั้ง ก่อนจะกล่าวอำลากับฉินปั๋วชิง
สัญชาตญาณของฉินปั๋วชิงบอกว่ามีอะไรแปลกๆ เขาจึงถามขึ้น “เกิดอะไรขึ้นหรือ” เขารู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล
ฉินหลิวซีไม่ได้เอ่ยอะไรอีก เพียงพยักหน้า “เรื่องเร่งด่วนมาก ข้าต้องไปก่อน พวกท่านแค่รอฟังข่าวก็พอ”
หลังจากที่นางพูดจบ ก็หายตัวไปจากเรือนหลังของร้านยาไป๋เฉ่า
ท่านหมอซุนขยี้ตา “?”
เฉวียนจิ่งอยู่ในอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน เขาเรียนวิชาเต๋าตอนนี้ยังทันหรือไม่ หากเรียนวิชาที่สามารถไปไหนมาไหนได้อย่างไรร่องรอยเช่นนี้ เขาก็จะเข้าออกค่ายทหารของศัตรูได้ตามใจชอบแล้วมิใช่หรือ
แต่เขาก็รู้อยู่แก่ใจว่านี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับพรสวรรค์
เฉวียนจิ่งหันไปมองท่านหมอซุนแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านเห็นอะไรบ้าง”
“ข้า…” ท่านหมอซุนหัวไว “อ่า ข้าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าต้มนำเอาไว้บนเตา ดูความจำของข้าสิ แก่แล้วจริงๆ ลืมนั่นลืมนี่ พ่อหนุ่ม เมื่อครู่นี้ท่านถามอะไรหรือ”
เฉวียนจิ่งยิ้มและโบกมือ รู้ความก็ดีแล้ว อย่าได้เอ่ยอะไรออกไปและสร้างปัญหาให้นาง
บ้านตระกูลฉินในเมืองหลี
ทุกคนมารวมตัวกันที่เรือนของนางฉินผู้เฒ่าด้วยสีหน้าตื่นตระหนกและหวาดกลัว มากกว่านั้นคือความงุนงง
กว่าพวกนางจะได้รับข่าวดีว่าตระกูลฉินจะได้พลิกฟื้นกลับมาอีกครั้ง แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากลับกำลังจะจากไป?
“พี่หญิงรอง หากท่านย่า…”
“หุบปาก!” ฉินหมิงเย่ว์ขึงตาใส่น้องสาวทันที คำพูดไม่เป็นมงคลพวกนั้น เจ้าจะพูดออกมาทำไม
ฉินหมิงซินทำหน้าบูดบึ้ง ในใจท่านก็คิดเหมือนกัน ยังมาว่าข้าอีก คนที่ร้อนใจมากที่สุดก็คือท่านนั่นแหละ หากท่านย่าจากไปก็ต้องไว้ทุกข์ ท่านอายุเท่านี้ พอออกจากไว้ทุกข์ท่านก็สิบหกสิบเจ็ดปีแล้ว
ฉินหมิงเย่ว์มีหรือจะไม่รู้ว่านี่เป็นเรื่องน่ากังวลสำหรับนาง แต่กังวลก็ส่วนกังวล หากเอ่ยคำพูดไม่เป็นมงคลเหล่านั้นออกมา แล้วมันเกิดขึ้นจริงๆ เล่าจะเท่าอย่างไร
สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม ทั้งเรื่องท่านย่าและตัวนางเองด้วย
ภายในห้อง สะใภ้หวังและคนอื่นๆ เฝ้ามองท่านหมอเหมาจากร้านยาตำหนักอายุวัฒนะทำการฝังเข็มด้วยความตึงเครียด พอเห็นหน้าตาเคร่งเครียดของเขาแล้ว แต่ละคนก็หน้าซีด
ใครจะไปคิดว่า ฮูหยินผู้เฒ่าจะเข้าห้องน้ำแล้วล้มลงลุกไม่ขึ้นอีก?
ท่านหมอเหมายกเข็มขึ้น แต่ฮูหยินผู้เฒ่าก็ยังไม่ลืมตา พอจับชีพจรอีกครั้ง เขาก็ถอนหายใจ หันหน้าไปมองสะใภ้หวังและคนอื่นๆ ก่อนจะส่ายหน้า “ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นโรคหลอดเลือดสมองอยู่แล้ว สองปีมานี้นางยังทุกข์ทรมานจากความเศร้าโศกด้วย ความกังวลใจถือเป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับการดูแลสุขภาพ ตอนนี้นางล้มลงอีก สุขภาพของนางจึงแย่ลงไปใหญ่ วิชาแพทย์ของข้าไม่ได้ล้ำเลิศ เกรงว่า…พวกท่านเตรียมใจไว้ดีกว่า”
ใบหน้าของพวกสะใภ้หวังขาวซีด แข้งขาอ่อนแรง และคุกเข่าลงกับพื้นทันที
“ซีเอ๋อร์ รีบเรียกซีเอ๋อร์กลับมาสิ” สะใภ้เซี่ยโวยวาย
สะใภ้หวังมีสีหน้าเศร้าสร้อยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เมื่อคืนก่อนนางได้พบฉินหลิวซี แต่ไม่เห็นนางในช่วงสองวันที่ผ่านมา ฉีหวงก็บอกว่านางไม่อยู่บ้าน
สะใภ้กู้เอ่ย “ข้าจะให้หลี่เฉิงไปตามหาที่อาราม”
แต่ฉีหวงกลับพาคนมา คนที่เขานำมาคือเถิงเจา ซึ่งถือถาดอยู่ในมือ “ท่านอาจารย์กำลังเร่งเดินทางกลับมา ให้เจาเจาดูก่อนเจ้าค่ะ”
“เขาเป็นแค่เด็กคนหนึ่งจะเข้าใจอะไร” สะใภ้เซี่ยใกล้จะบ้าแล้ว ไม่ว่าเถิงเจาจะเก่งแค่ไหน เขาก็ยังเป็นแค่เด็กเพียงแปดเก้าขวบคนหนึ่งเท่านั้น
เถิงเจาก้าวเข้าไปตรวจชีพจรโดยไม่มองนางด้วยซ้ำ คิ้วของเขาขมวดมุ่น
ท่านหมอเหมาเองก็จำเถิงเจาได้และรู้ว่าฉินหลิวซีคือท่านอาจารย์ของเขา เมื่อเห็นว่าเขาสามารถจับชีพจรได้ตั้งแต่อายุยังน้อย ก็ไม่ได้พูดอะไร
ความจริงสุขภาพร่างกายของฮูหยินผู้เฒ่าได้รับความกระทบกระเทือนซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเหมือนลูกธนูที่หมดแรงแล้ว อย่าว่าแต่เถิงเจาเลย ต่อให้ท่านอาจารย์ของเขามา ก็เกรงว่าทำอะไรไม่ได้ ต้องปล่อยไปตามโชคชะตา
สีหน้าของเถิงเจาดูเคร่งขรึมเล็กน้อย ชีพจรของฮูหยินผู้เฒ่าเต้นช้ามาก ในช่วงสองสามลมหายใจจึงจะเต้นสักครั้ง ทั้งอ่อนและช้า ร้ายมากกว่าดี
“ท่านอาจารย์บอกว่าผู้สูงอายุที่เป็นโรคหลอดเลือดสมองต้องระวังเรื่องล้มมากที่สุด ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าควรจะมีคนอยู่ใกล้ๆ ไม่ห่าง แล้วนางล้มได้อย่างไร” เถิงเจาเหลือบมองสะใภ้หวัง
สะใภ้หวังเหลือบมองสะใภ้เซี่ยด้วยสายตาเฉียบคมโดยสัญชาตญาณ
สะใภ้เซี่ยก้มหน้าลง นางเม้มริมฝีปากตัวสั่นเทา
ฮูหยินผู้เฒ่าต้องการเข้าห้องน้ำ เดิมทีก็ต้องเป็นติงหมัวหมัวที่คอยดูแล เป็นนางที่ปรารถนาจะได้เงินจากฮูหยินผู้เฒ่าไปซื้อเครื่องประดับใส่ไปงานเลี้ยงจึงไปเอาใจใส่แสดงความกตัญญู แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากลับถ่ายไม่สะดวก นั่งอยู่นาน กลิ่นก็ไม่พึงประสงค์ นางอ้างว่าจะไปเอาน้ำ และหันหลังกลับเดินไปได้แค่ไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินเสียงดังตึง ฮูหยินผู้เฒ่าล้มลงกับพื้นและหมดสติไป
สะใภ้เซี่ยรู้สึกผิดอย่างยิ่ง หากฮูหยินผู้เฒ่าตายไปจริงๆ ชาตินี้นางคงไม่สามารถยืนตรงอย่างสง่าผ่าได้อีก
เถิงเจาไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับคำตอบจากพวกเขา จึงเอ่ยกับฉีหวง “การฝังเข็มของข้าก็ไม่ได้ผลเช่นกัน ต้องรอท่านอาจารย์กลับมา ป้อนน้ำแกงโสมให้นางไปก่อน”
น้ำแกงโสมนั้นตุ๋นมาจากรากโสมของปีศาจโสมน้อย แม้ว่าจะไม่สามารถเรียกชีวิตกลับมาจากความตายได้ แต่ก็ยังพอจะรอการกลับมาของฉินหลิวซีได้
เพียงแต่สุขภาพของฮูหยินผู้เฒ่าย่ำแย่มากจริงๆ เกรงว่าท่านอาจารย์กลับมาแล้วก็ยังทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน เพราะมันเป็นโรคชรา และอายุขัยของนางก็กำลังจะหมดลง เว้นแต่ว่าท่านอาจารย์จะไปยมโลกเพื่อแก้ไขอายุขัยของนาง
แต่นางจะทำหรือ
ไม่มีทาง
ประการแรกเพราะเรื่องนี้ขัดต่อบัญชาสวรรค์ ประการที่สองเป็นเพราะนางฉินผู้เฒ่าไม่สำคัญพอให้ฉินหลิวซีต้องเสี่ยงเช่นนั้น
ตอนนี้นางฉินผู้เฒ่าหมดสติไม่ยอมฟื้น ฉีหวงก็หยิบหลอดกกขึ้นมา ดูดน้ำแกงโสมแล้วป้อนลงไปทีละน้อยตามมุมปากของฮูหยินผู้เฒ่า
ท่านหมอเหมาเกิดความโลภขึ้นเล็กน้อย น้ำแกงโสมนี้มีกลิ่นหอมเข้มข้น คงจะเป็นโสมอายุมากชั้นยอด
โสมที่ดีที่สุดของร้านยาตำหนักอายุวัฒนะก็มีอายุหลายพันปี แต่มันก็หายากมาก น้ำแกงโสมชามนี้ไม่ด้อยไปกว่ากันเลย
หลังจากป้อนน้ำแกงโสมไปหนึ่งชาม ฮูหยินผู้เฒ่าก็ยังไม่ฟื้น แต่ลมหายใจของนางกลับดีขึ้นเล็กน้อย ทุกคนถอนหายใจด้วยความโล่งอก แค่ยังรักษาชีวิตไว้ได้พอแล้ว
เถิงเจาตรวจชีพจรอีกครั้ง แม้ว่ามันจะเต้นช้า แต่ก็ดีกว่าก่อนหน้านี้มาก
สะใภ้หวังยืนขึ้นอีกครั้งแล้วถามว่า “เจาเจา ฮูหยินผู้เฒ่าจะทนได้จนถึงเวลาที่อาจารย์ของเจ้าจะมาถึงหรือไม่”
เถิงเจามองมาด้วยสีหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดๆ “แทนที่จะถามว่าเราจะรอถึงเวลานั้นได้หรือไม่ ควรถามนางมีกี่ชีวิตมากกว่า ท่านอาจารย์เป็นคน ไม่ใช่เทพ ยิ่งไม่ใช่มัจจุราชที่สามารถควบคุมชีวิตและความตายได้ ใช่ว่าท่านอาจารย์มาแล้ว นางก็จะอยู่ต่อไปได้สักหน่อย”