คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 825 ใส่ร้ายอวี้ฉังคง
ตอนที่ 825 ใส่ร้ายอวี้ฉังคง
หญ้าคืนชีพเก้าความตายหรือที่รู้จักกันในชื่อหญ้าหุยหยาง เติบโตบนหน้าผา มีฤทธิ์ยาหลากหลาย แต่ก็มีความเป็นพิษสูงเช่นกัน เรียกว่าเป็นยาอันล้ำค่าเลยก็ได้ เพราะแค่ต้มและดื่มลงไป มันก็สามารถทำให้คนฟื้นคืนชีวิตกลับมาได้เป็นเวลาครึ่งเค่อ หลังจากนั้นคนคนนั้นจะมีเลือดออกจากทวารทั้งเจ็ดและตายทันที มันจึงเป็นยาที่ร้ายกาจชนิดหนึ่ง
และตอนนี้หญ้าชนิดนี้หาได้ยากขึ้นมาโดยไม่ทราบเหตุผล ฉินหลิวซีตามหามันเพราะมันเป็นหนึ่งในสมุนไพรที่ต้องใช้ในการหลอมยารากฐานปราณด้วย
ใช่แล้ว บางครั้งสิ่งที่มีพิษสูงสามารถช่วยชีวิตคนได้ เช่นกู่หนอนไหมทองที่เลี้ยงไว้ในร่างเฉวียนจิ่ง
ตอนนี้เฟิงซิวกลับบอกว่ารู้ว่าหญ้าหุยหยางอยู่ที่ไหน
“ที่ไหน”
“ที่ตระกูลอวี้”
ฉินหลิวซีตกตะลึง “ที่ไหนนะ”
เฟิงซิวเอ่ยอย่างอิจฉา “ตระกูลอวี้ของคุณชายฉังคงที่เรียกกันว่าเป็นเซียนตกสวรรค์ผู้นั้นแหละ”
เขาจับตามองสีหน้าของฉินหลิวซี และเห็นดวงตานางเป็นประกาย “อยู่ในบ้านของฉังคงหรือ”
ฟังดูเถิด ฉังคง เรียกเสียสนิทขนาดนั้น เคยเรียกชื่อเขากี่ครั้ง แค่เรียกเขาว่าจิ้งจอกก็แล้วไปเถิด ยังใส่คำว่าน่าตายให้เขาตลอดด้วย
ตอนนี้กลับเรียกเจ้านั่นว่าฉังคง
อิจฉา อยากคว่ำโต๊ะ
“ก็ตระกูลอวี้นั่นแหละ” เฟิงซิวเอ่ยอย่างหงุดหงิด “ท่านไม่ต้องห่วง ข้าจะไปเอามันกลับมาให้เอง”
“ไม่จำเป็น อวี้ฉังคงกับข้ารู้จักกันดี ข้าไปหาเขาเองง่ายกว่า พอดีมีเรื่องจะถามเขาด้วย” จริงสิ ดูครั้งก่อนที่เขาไหว้วานให้หลานซิ่งส่งจดหมายมา ดูเหมือนว่าจะมีแผนภาพค่ายอาคมมาด้วย พอยุ่งเข้า นางก็ลืมเรื่องนั้นไปเลย จะต้องศึกษาเสียหน่อยแล้ว
นอกจากนี้ตระกูลอวี้ยังมีหนังสือเก่าสะสมไว้มากมาย ไม่รู้ว่านางขอยืมอ่านได้หรือไม่
เฟิงซิวโกรธ ข้าแค่ไม่อยากให้ท่านไปก็เลยอาสาไป ตอนนี้ท่านกลับไม่ใช้ข้าแล้ว
“ฮูหยินผู้เฒ่าของท่านใกล้จะไม่ไหวแล้วมิใช่หรือ ท่านจะออกไปคงไม่ดีกระมัง ให้ข้าไปดีกว่าหรือไม่” เฟิงซิวเอ่ยต่อ “ถึงอย่างไรข้าก็วิ่งทำธุระจนชินแล้ว”
“ไม่ได้ใช้เส้นทางธรรมดา ไม่ได้เสียเวลาอะไร ทางฮูหยินผู้เฒ่าก็แค่รอเวลา ข้าอยู่ ก็แค่ยืดเวลาไปวันต่อวัน” ฉินหลิวซีเม้มปากก่อนจะเอ่ย “กินไม่ได้ แค่อาศัยน้ำแกงโสมประคองชีวิตไว้ นานไปก็คงป้อนให้ไม่ได้แล้ว”
จะต้องมีฐานะด้วยถึงจะยื้อชีวิตไว้ได้ ถ้าเป็นคนจน ก็คงตายไปนานแล้ว
แต่น้ำแกงโสมนี้ไม่ใช่ยาครอบจักรวาล หากสารอาหารต่างๆ ที่ร่างกายต้องการไม่เพียงพอ การทำงานต่างๆ จะค่อยๆ อ่อนแอถดถอยลง แค่เห็นฮูหยินผู้เฒ่าซูบผอมและเหี่ยวเฉาลงทุกวันก็รู้แล้ว
ฉินหลิวซีเอ่ย “ลองดูไปก่อน แล้วค่อยหาเวลาไป”
เฟิงซิวเอ่ย “คนทั้งบ้านนี้ถ่วงท่านไว้ หรือว่าท่านไปเป่าลมปีศาจใส่หูฮ่องเต้ ล่อลวงเขาให้ปล่อยตัวฉินหยวนซานกลับมา แล้วเรียกคนบ้านนี้กลับไปอยู่ในเมืองหลวงเสียเลยหรือไม่”
“นั่นมันฮ่องเต้นะ ปราณมังกรสูงสุดแล้ว เจ้าไม่กลัวตายก็ไปสิ ตระกูลฉินเองก็ไม่ต้องการให้เจ้าเสี่ยงอันตรายเช่นนี้ แล้วก็ไม่คู่ควรด้วย ในเมื่อครั้งนี้ออกไปบำเพ็ญตบะแล้วได้ผล ก็ตั้งใจบำเพ็ญต่อไป หาโอกาสเลื่อนขั้นเป็นเซียนให้ได้ ต้องทำกุศลเป็นประจำห้ามลืม” ฉินหลิวซีเอ่ยโกรธๆ
“โอ้ มองออกด้วยหรือ” เฟิงซิวยืดอกอย่างภาคภูมิใจก่อนจะเอ่ย “ก่อนที่ข้าจะกลับมา ก็จงใจไปที่อารามเฉวียนเจิงดู เจ้าอารามที่นั่นมองไม่ออกว่าข้าเป็นปีศาจด้วยซ้ำ”
“เจ้าบังเอิญเจอคนตาถั่วน่ะ”
เฟิงซิวขึงตาใส่นาง “ยอมรับว่าข้าเก่งมันยากนักหรือ”
ฉินหลิวซีหัวเราะด้วยความโกรธ “ได้ๆๆ เจ้าเก่ง งดงามที่สุดในใต้หล้า พอใจหรือยัง”
ขอไปที ไม่ตั้งใจ
“เอาเป็นว่า จะดีหรือชั่วแค่ความคิดชั่วครู่ การบำเพ็ญไม่ง่าย ถ้าเจ้าสามารถรักษาความคิดอันเป็นกุศลในใจไว้ได้ตลอดเวลา อย่าให้เต๋าที่สั่งสมมาพันปีนี้สลายหายไป เมื่อถึงคราวที่สวรรค์ยอมรับเจ้า บางทีเจ้าอาจจะนำทางข้าได้ด้วย”
เฟิงซิวเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ “ได้สิๆ” หลังจากเงียบไปชั่วครู่ เขาเอ่ยเพิ่มเติม “ท่านยังไม่ได้แก่เท่าข้าเสียหน่อย อย่าทำตัวเป็นคนแก่ ทำราวกับสั่งเสียในวาระสุดท้าย ไม่เป็นมงคลสักนิด”
ฉินหลิวซียืนขึ้น “บางเรื่องจำเป็นต้องพูดถึงบ่อยๆ ใครจะรู้ว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นเล่า ไปกันเถิด”
เฟิงซิวบ่นพึมพำเล็กน้อย จากนั้นก็ยืนขึ้นและเดินออกจากห้องไป
“ท่านเจ้าอาวาสน้อย?” หลานซิ่งเห็นฉินหลิวซีและเฟิงซิวเดินตามหลังกันออกมาจากห้อง คิ้วก็กระตุกทันที และมองหน้าเฟิงซิวอยู่นาน
ฉินหลิวซียิ้มบางๆ “อยู่ที่อารามเป็นอย่างไรบ้าง”
ตั้งแต่หลานโย่วกลับมา หลานซิ่งก็กลับมามีท่าทางในแบบคุณชายผู้สง่างามอบอุ่นเย็นชาราวกับน้ำแข็งเหมือนเดิม แต่เฉยเมยน้อยลง เขาเอ่ยด้วยสีหน้าอบอุ่นอ่อนโยน “อารามบริสุทธิ์และเงียบสงบ หอเติงเซียนก็มีหนังสือสะสมไว้มากมาย ดีมากจริงๆ”
เขายังลูบขวดหล่อเลี้ยงวิญญาณที่แขวนอยู่ตรงเอว สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ หลานโย่วเองก็จะได้รับการปลูกฝังเมตตาไปด้วย การได้เข้าเรียนช่วงเช้ากับนักพรตทั้งหลาย ช่วยทำให้จิตใจสงบได้
ฉินหลิวซีเหลือบมองขวดวิญญาณนั้นพลางเอ่ย “วิญญาณของหลานโย่วแข็งแรงขึ้นบ้างแล้ว เลี้ยงได้ดีเลย”
หลานซิ่งประสานมือ “อารามชิงผิงดีมากทีเดียว”
เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการฝึกฝนตนเอง
ฉินหลิวซี “ท่านชอบก็ดีแล้ว ตามสบายได้เลย”
ขณะที่นางกำลังจะจากไป หลานซิ่งก็เรียกนางไว้ “ช้าก่อนเจ้าอาวาสน้อย”
ฉินหลิวซีมองเขาด้วยความงุนงงเล็กน้อย
ในมือหลานซิ่งถือคัมภีร์ฉีเหมินตุ้นเจี่ยไว้ฉบับหนึ่ง มันเป็นหนังสือสะสมของอารามชิงผิง นักพรตเฒ่าชื่อหยวนไปหามาให้เขายืมเป็นพิเศษเมื่อหลานซิ่งร้องขอ
“ก่อนหน้านี้ข้าเคยไปเป็นแขกที่บ้านฉังคง เคยได้เห็นแผนภาพค่ายอาคมที่เขาได้มา ก็คือแผ่นนั้นที่ข้าเอามามอบให้ท่านนั่นแหละ ข้าเห็นแผนภาพในหนังสือเล่มนี้ แล้วรู้สึกว่ามีความคล้ายคลึงกันอยู่บ้าง ไม่แน่ใจว่าจะเป็นต้นแบบหรือเป็นอันที่พัฒนาขึ้น? เจ้าอาวาสน้อยรอบรู้ศาสตร์ทั้งห้าของเต๋า ไม่ทราบว่าจะช่วยแยกแยะได้หรือไม่ ข้าจะได้บันทึกและตอบจดหมายกลับไปให้ฉังคงด้วย”
“อ้อ?”
หลานซิ่งเปิดตำราออก และแสดงภาพหนึ่งให้นางดู “ท่านลองดูสิ”
ฉินหลิวซีรับมันไป ตำราเก่าเก็บพวกนี้เป็นของอาราม น้อยนักที่จะเปิดเผยต่อภายนอก แต่ละแผนภาพค่ายอาคมล้วนมีชื่อกำกับไว้ ดังนั้นสิ่งแรกที่นางเห็นคือชื่อของค่ายอาคมดังกล่าว
ค่ายอาคมโครงกระดูก
แต่ค่ายอาคมโครงกระดูกนี้ไม่ใช่ค่ายอาคมฝ่ายดี แต่เป็นค่ายอาคมชั่วร้ายที่มีชื่อเรียกอีกอย่างว่าค่ายอาคมเพลิงมาร มันชั่วร้ายมาก และไม่ใช่ค่ายอาคมที่สามารถสร้างขึ้นได้ด้วยวิธีที่ถูกต้องชอบธรรม
ฉินหลิวซีพิจารณาแผนภาพอย่างละเอียด และรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เฟิงซิวก็ยื่นหน้ามาดูด้วย “นี่มันค่ายอาคมชั่วร้ายมิใช่หรือ อวี้ฉังคงไปได้มาจากไหน เขาคงไม่คิดที่จะสร้างค่ายอาคมชั่วร้ายนี้ขึ้นมาหรอกนะ?”
หึ นี่เป็นโอกาาสดีที่จะได้ใส่ร้ายบุรุษเสเพล ข้าจะเหยียบๆๆ!
พอหลานซิ่งได้ยินคำว่าชั่วร้าย สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปทันที และบีบขวดหล่อเลี้ยงวิญญาณโดยสัญชาตญาณ หลังจากผ่านเรื่องของหลานโย่วมา เขาก็หวาดผวากับคำว่าชั่วร้ายนี้ไปแล้ว
ฉินหลิวซีขึงตาใส่เฟิงซิวอย่างอารมณ์เสีย “อย่าพูดเหลวไหล”
เฟิงซิวเบ้ปาก “ทำไมจะพูดไม่ได้ ถ้าสร้างค่ายอาคมเพลิงมารนี่ขึ้นมาจริง ถ้าไม่ใช่จะเผาคนก็ต้องต้มคน ถ้าไม่ใช่ค่ายอาคมชั่วร้ายแล้วจะเป็นอะไรได้”
“ท่านเจ้าอาวาสน้อย นี่…”
สีหน้าฉินหลิวซีเคร่งขรึมขึ้น นางเงยหน้าขึ้นเอ่ย “ข้าจะเอาหนังสือนี้ไปเทียบกับแผนภาพที่อวี้ฉังคงส่งมาให้สักหน่อย ท่านก็อย่าได้คิดอะไรมากมาย ตระกูลอวี้สะสมหนังสือไว้มากมาย ไม่แน่เขาเองก็อาจจะได้มันมากจากที่อื่น และเป็นเรื่องบังเอิญเช่นกัน อีกไม่กี่ว่าข้าจะไปยังตระกูลอวี้ จะได้ถามเขาด้วยพอดี”
หลานซิ่งพยักหน้า
ฉินหลิวซีพูดคุยกับเขาอีกเล็กน้อย ก่อนจะเรียกชิงหย่วนมาหาและสั่งการเรื่องในอารามสองสามคำ แล้วกลับไปที่ร้ายเฟยฉางเต๋าพร้อมกับเฟิงซิว และค้นจดหมายที่อวี้ฉังคงส่งมาให้ก่อนหน้านี้ เอาแผนภาพนั้นออกมาเปรียบเทียบกัน
เฟิงซิวเยาะออกมาเสียงหนึ่ง “ถึงจะไม่เหมือนกันทุกประการ ก็เหมือนกันถึงแปดเก้าส่วน นี่มันค่ายอารมชั่วร้ายนี่”
ฉินหลิวซีขมวดคิ้ว อวี้ฉังคงไปได้แผนภาพนี้มาจากไหนกัน