คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 827 ไปช้อนคนที่ซีเป่ย
ตอนที่ 827 ไปช้อนคนที่ซีเป่ย
……….
หลังจากรับราชโองการ บุรุษตระกูลฉินต่างก็มีความรู้สึกเหมือนฝัน แม้ว่าพวกเขาจะรู้จากปากฉินหลิวซีมาก่อนแล้วว่า ครอบครัวของพวกเขาอาจจะรอดพ้นจากสถานที่อันยากลำบากและหนาวเหน็บนี้ได้ แต่ตราบใดที่ราชโอการยังไม่มาถึง มันก็ยังเป็นเพียงจินตนาการ
แต่ตอนนี้พวกเขาได้รับราชโองการแล้ว แม้ว่าจะไม่ได้กลับไปรับตำแหน่งเดิม และยังถูกลดตำแหน่ง แต่มันก็ดีกว่าการถูกเนรเทศไม่อาจกลับบ้านได้ไปตลอดชีวิตมาก เดิมทีพวกเขาไม่กล้าคิดว่าจะได้กลับไปรับราชการอีก เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็ถูกเนรเทศมาเป็นเวลาปีกว่าแล้ว แม้ว่าในใจพวกเขาจะรู้สึกเหมือนผ่านความยากลำบากมาแล้วครึ่งชีวิต แต่ถ้าจะให้นับนิ้วจริงๆ พวกเขาก็อยู่ที่ซีเป่ยมาแค่ไม่นาน
สรปุก็คือตระกูลฉินโชคดี เรื่องดีๆ เช่นนี้แพร่ออกไปย่อมทำให้หลายคนอิจฉาและเกลียดชัง ในใจพวกเขาถึงกับสาปแช่งในใจว่าฮ่องเต้ไม่มีหลักการไม่มีขอบเขต อย่างน้อยพวกเขาก็ควรถูกเนรเทศสักหลายปี นี่ยังไม่ถึงสองปี การให้พวกเขากลับมาแล้ว นี่มันเรื่องสนุกหรือ เป็นฮ่องเต้ไม่ต้องรักษาหน้าตาเลยหรือ
ตระกูลฉินไม่ได้สนใจสิ่งที่คนอื่นคาดเดา หลังจากได้รับราชโองการแล้ว พวกเขาก็ไปที่ศาลาว่าการที่เกี่ยวข้องทันทีเพื่อดำเนินการเรื่องเดินทางกลับเมืองหลวง พวกเขารอไม่ไหวอีกต่อไป
แต่หลังจากความตื่นเต้นผ่านพ้นไป พวกเขาก็นึกถึงฉินหมิงเยี่ยนที่ยังคงนอนอยู่บนเตียง และยังไม่สามารถขยับตัวได้ขึ้นมา พวกเขาควรทำอย่างไรกับเด็กคนนี้ดี
ตอนนั้นฉินหลิวซีก็บอกไว้แล้วว่า เขาต้องพักฟื้นอยู่บนเตียงเป็นเวลาอย่างน้อยสามเดือน ตอนนี้เพิ่งจะพักได้ประมาณเดือนเดียวเท่านั้น ไม่มีทางจะไปตรากตรำลำบากระหว่างทางได้แน่ ส่วนคนตระกูลฉินเองก็ไม่อาจรอได้
โดยเฉพาะฉินหยวนซานและฉินปั๋วหง พวกเขามีตำแหน่งหน้าที่การงาน จะต้องกลับไปที่เมืองหลวงเพื่อขอบพระทัยฝ่าบาท และเข้ารับตำแหน่งหน้าที่ต่อไป
“หรือให้ข้าอยู่เป็นเพื่อนเยี่ยนเอ๋อร์จนหายดีแล้วค่อยกลับไป” ฉินปั๋วชิงเอ่ย “ท่านพ่อกับพี่ใหญ่เข้าเมืองหลวงไปก่อน ส่วนพวกพี่รองก็กลับไปพบท่านแม่ที่เมืองหลีก่อน”
ฉินปั๋วกวงเอ่ย “พวกท่านแม่ก็ต้องเข้าเมืองหลวงกระมัง เราไปพบกันที่เมืองหลวงไม่ดีกว่าหรือ”
“บัดนี้เข้าหน้าหนาวแล้ว เดินทางทางน้ำไม่ได้ จะให้คนแก่และเด็กผู้หญิงอ่อนแอเดินทางเข้าเมืองหลวงคงเป็นไปไม่ได้ ทางบกก็ไม่สะดวก” ฉินปั๋วชิงส่ายหน้า
ขณะที่ฉินหยวนซานกำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่าง เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นข้างนอก
ฉินปั๋วชิงหูไว เขารีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วก็เขาก็เห็นฉินหลิวซีปรากฏตัวขึ้นด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยหิมะจริงๆ เขาอดดีใจไม่ได้ “นางหนูซีมาแล้ว”
ทุกคนมองออกไปด้วยใจเต้นแรง พวกเขากลับลืมไปแล้ว ฉินหลิวซีมีวิชาไปมาอย่างไร้ร่องรอยเช่นนี้ พวกเขาจะสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้หรือไม่
แต่เบื้องหลังนางหนูคือใคร?
หน้าตาดูงดงามมีเสน่ห์มากกว่าสตรีเสียอีก
สะใภ้เฉามองหน้าเฟิงซิวอย่างตกตะลึง จนฉินปั๋วกวงกระแอมไอออกมาสองครั้งด้วยความไม่พอใจ นางจึงก้มหน้าลง
ฉินปั๋วหงมองประเมินเฟิงซิว บุรุษผู้นี้เป็นใคร เป็นอะไรกับนางหนู ถ้าจะมาเป็นว่าที่ลูกเขย เขาไม่เห็นด้วยเลย หน้าตาไม่จริงจังสักนิด!
ฉินปั๋วชิงเอ่ย “นางหนู ทางเมืองหลีได้รับราชโองการแล้วหรือไม่”
“อืม” ฉินหลิวซีเอ่ย”ครั้งนี้ข้ามาบอกให้พวกท่านเริ่มเดินทางโดยเร็วที่สุด ใครที่ต้องกลับเมืองหลวงไปขอบพระทัยฝ่าบาทก็ไป คนที่ควรกลับเมืองหลีก็ให้รีบเดินทางโดยเร็วไม่ต้องพัก”
ทุกคนตกตะลึงว่าทำไมถึงต้องรีบร้อนขนาดนั้น
ฉินหยวนซานใจเต้นรัว และเขาจ้องหน้าฉินหลิวซีพลางเอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้นที่บ้านหรือ”
ฉินปั๋งชิงก็จ้องหน้านางเช่นกัน รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
ฉินหลิวซีเอ่ยอย่างเฉยชา “ฮูหยินผู้เฒ่าใกล้จะไม่ไหวแล้ว”
ทุกคนหน้าซีดลงทันที ฉินหยวนซานก็ทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ ริมฝีปากสั่นเทา
ฉินปั๋วหงก้าวเข้าไปคว้าแขนนางไว้ “เจ้าเอ่ยอะไรน่ะ เจ้ากำลังบอกว่าท่านย่าของเจ้าป่วยหนักหรือ”
เฟิงซิวดึงมือของเขาออกก่อนจะเอ่ย “ไม่เข้าใจภาษาคนหรือ นอกจากนางแล้ว ยังมีใครได้อีกที่ทำให้ต้องมาเตือนพวกท่าน”
ฉินปั๋วหงขึงตาแดงๆ ใส่เขา แต่ก็ไม่เสียเวลาถกเถียง เพียงถามว่า “ท่านย่าของเจ้าเป็นอะไรหรือ ทำไมถึงได้แย่ขนาดนี้ได้”
“ตระกูลฉินตกต่ำกระทบกระเทือนจิตใจนางมาก จนมีความวิตกกังวลและหดหู่ตลอดเวลา เป็นโรคหลอดเลือดสมองแถมยังล้มลง จึงไม่ไหว” ฉินหลิวซีพูดเพียงไม่กี่คำ
“เจ้าเป็นหมอ ช่วยไม่ได้หรือ” ฉินปั๋วหงถาม
เขาถึงว่าทำไมรับราชโองการแล้วก็ยังไม่ค่อยสบายใจ ไม่ใช่เพียงเพราะถูกลดตำแหน่ง แต่เป็นเพราะเขากำลังจะต้องไว้ทุกข์ใช่หรือไม่
ฉินปั๋วหงกำลังถูกเทพแห่งความซวยเข้าครอบงำหรือ
“ข้าเป็นหมอ แต่ไม่สามารถรักษาโรคชราได้ และไม่สามารถรักษาความเจ็บป่วยที่เกิดจากการทำตัวเองได้ นางไม่ฟังคำแนะนำ มีอารมณ์หดหู่อยู่เสมอ ข้าช่วยชีวิตคนได้ แต่ช่วยรักษาจิตใจไม่ได้ อีกอย่างข้าก็ไม่ใช่เทพ เมื่ออายุขัยของคนๆ หนึ่งหมดลง ใช่ว่าข้าอยากจะรั้งก็รั้งไว้ได้ ข้ามาเพื่อแจ้งข่าวเท่านั้น ถ้าไม่อยากเสียใจภายหลังก็ให้รีบเดินทาง อย่ามัวพูดมากเสียเวลา”
ใบหน้าของฉินปั๋วหงถูกตำหนิจนหน้าแดง
ดวงตาของฉินปั๋วหงแดงไปหมดแล้ว เขาถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ท่านย่าของเจ้ายังเหลือเวลาอีกนานแค่ไหน?”
“ข้าไม่รู้ บอกได้ยาก สิ่งที่รั้งนางไว้ตอนนี้คือความเชื่อ”
ฉินปั๋วชิงได้ยินแล้วก็น้ำตาไหลทันที
“ท่านปู่!” ฉินหมิงมู่เห็นว่านายท่านผู้เฒ่าโงนเงนกำลังจะล้มลง ก็รีบเข้าไปพยุงทันที เขาเรียกฉินหลิวซีด้วยสีหน้าหวาดกลัว “พี่หญิงใหญ่มาเร็วเข้า”
ฉินหยวนซานกัดปลายลิ้นตนเองจนรู้สึกถึงรสเลือดในปาก เขาโน้มพิงอ้อมแขนหลานชาย แล้วเอ่ยด้วยใบหน้าที่ขาวซีดว่า “ไม่เป็นไร ข้ารู้อยู่แล้ว ข้าควรรู้อยู่แล้วว่านางเป็นพวกไม่ยอมแพ้ นาง…”
ขณะที่พูด น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตาชราพร่ามัว
ฉินหลิวซีเดินเข้าไปตรวจชีพจรให้ “ถ้าท่านเองก็ไม่ฟังคำแนะนำของข้า ก็ไม่รู้ว่าตระกูลจะต้องใช้เวลาอีกกี่ปีเพื่อจะกลับมา”
นางหยิบยาขวดหนึ่งวางลงบนโต๊ะ “วันละเม็ดก็เพียงพอที่จะช่วยให้ท่านกลับไปขอบพระทัยฝ่าบาทที่เมืองหลวงได้ ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาพูดเรื่องไร้สาระกัน”
ฉินหยวนซานสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเอ่ย “เจ้าพูดถูก เจ้าสาม เจ้าไปไหว้วานให้หัวหน้าจ้าวช่วยหารถหน่อย พรุ่งนี้ข้ากับพี่ใหญ่ของเจ้าจะกลับเมืองหลวงก่อน หลังจากขอบพระทัยฝ่าบาทแล้ว ค่อยขอลากลับเมืองหลี พวกเจ้ากลับไปเมืองหลีจากทางนี้เลย แต่ว่านางหนูซี เยี่ยนเอ๋อร์…”
“ข้าจะช้อน…พาเขาไปเอง”
ฉินปั๋วกวงได้ฟังเช่นนั้นจึงเอ่ย “พอจะพาพวกเรา…”
“คนกลุ่มใหญ่ออกเดินทางจากซีเป่ย ทุกครั้งที่ผ่านเมือง จะต้องแสดงหลักฐานว่าจะไปที่ไหน ถ้าหายตัวไปในอากาศและกลับไปยังเมืองหลีที่อยู่ห่างออกไปเป็นพันลี้ พวกท่านคิดจะดึงดูดความสนใจคนหรือ ไม่กลัวจะถูกเผาเพราะคิดว่าเป็นปีศาจหรือ”
ทุกคนตกใจแต่กลับลืมเรื่องนี้ไปเลย
“แล้วเยี่ยนเอ๋อร์เล่า เจ้าไม่กลัวหรือ”
“ข้าย่อมมีวิธีของข้า” ฉินหลิวซีเอ่ยเรียบๆ “เมื่อถึงเวลานั้น เขาจะอยู่กับพวกท่าน เป็นฉินหมิงเยี่ยน”
เฟิงซิวเยาะ เขาเป็นแค่ตัวแทนในช่วงเวลาวิกฤติเท่านั้น แต่ไม่ต้องห่วง เขาแค่ใช้ผมเป่าให้กลายตัวแทนเท่านั้น
ทุกคนไม่ค่อยจะเข้าใจ หญิงงาม เอ่อ บุรุษงามผู้นี้จะเป็นฉินเมิงเยี่ยนได้อย่างไร
เฟิงซิวเพียงเดินผ่านห้องข้างๆ เหลือบมองฉินหมิงเยี่ยนเล็กน้อย ก่อนจะเปลี่ยนร่าง แล้วเดินเข้ามาด้วยรูปร่างของเขา
“เยี่ยนเอ๋อร์” ทุกคนตกตะลึง นี่มันเวทมนตร์คาถาอะไรกัน
“ข้าเอง?” เฟิงซิวเปลี่ยนกลับไปเป็นตัวเองอีกครั้ง
ตึง สะใภ้เฉาเป็นลมไปแล้ว
คน คนผู้นี้เป็นมนุษย์ ผี หรือปีศาจกันแน่
“จะต้องเก็บเป็นความลับ อะไรไม่ควรพูดก็ไม่ต้องพูด ไม่อย่างนั้นคนที่จะต้องเดือดร้อนก็คือพวกท่าน” ฉินหลิวซีเตือนด้วยเสียงหัวเราะ และใช้วิชาปิดปากทุกคนที่อยู่ตรงนั้น ขอแค่พูดถึงเรื่องนี้กับคนภายนอก ก็จะพูดไม่ออก ผลลัพธ์ก็จะเหมือนกับที่ฉินเสี่ยวอู่ถูกทุบตี
รอให้กลับไปถึงที่เมืองหลีก่อน แล้วนางค่อยขอให้เฟิงซิวสะกดจิตเปลี่ยนความทรงจำของคนเหล่านี้ทันที ไม่มีตัวแทน หรือเวทมนตร์คาถาใดๆ เพื่อป้องกันปัญหา นางแค่บังเอิญผ่านไปที่ซีเป่ยและช่วยฉินหมิงเยี่ยนเด็กที่โชคร้ายคนนั้นได้พอดีเท่านั้น
เรื่องราวทั้งหมดถูกแต่งขึ้นโดยคนที่มีความสามารถ
แต่ไม่รู้ทำไมทุกคนรู้สึกเย็นเยือกไปทั้งแผ่นหลังเมื่อเห็นรอยยิ้มนั้น
รู้สึกราวกับเป็นลางไม่ดีเท่าใดนัก
……….