คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 830 เจ้าอาวาสน้อยมาตระกูลอวี้แล้ว
ตอนที่ 830 เจ้าอาวาสน้อยมาตระกูลอวี้แล้ว
……….
สะใภ้หวังเต็มไปด้วยความสุขเมื่อแม่ลูกได้พบหน้ากันอีกครั้ง หากไม่เห็นว่าฉินหมิงเยี่ยนดูเหนื่อยล้า นางก็แทบจะไม่อยากจากไป อยากจะลากเขาให้เล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงสองปีที่ผ่านมาให้ฟัง
แต่นางก็ยังมีเหตุผลอยู่ ประการแรกร่างกายของบุตรชายนางจำเป็นต้องพักฟื้น ประการที่สอง วิธีการที่เขากลับมาจะแพร่งพรายออกไปไม่ได้ หากมีคนรู้ว่าเขากลับมาแล้ว เกรงว่าจะเกิดปัญหา ดังนั้นต่อให้นางจะอาลัยอาวรณ์แค่ไหน ก็ยังต้องกลับไปก่อน
แต่มันไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว บุตรชายของนางกลับมาแล้ว อยู่ใต้ชายคาเดียวกันแล้ว ตอนนี้ในบ้านมีบ่าวรับใช้ไม่กี่คน หูตาไม่มาก เรือนของฉินหลิวซีก็ป้องกันแน่นหนาบุกเข้ามาส่งเดชไม่ได้ นางสามารถมาพูดคุยกับบุตรชายที่นี่ได้ทุกวัน
หลังจากเฝ้าดูฉินหมิงเยี่ยนหลับไปแล้ว สะใภ้หวังก็เดินออกไปอย่างอาลัยอาวรณ์ และไปหาฉินหลิวซี เมื่อเห็นว่านางกำลังอ่านหนังสือวิชาแพทย์เล่มหนึ่งอยู่ ก็เข้าไปคุกเข่าลงต่อหน้านางทันที
ฉินหลิวซีหลบเลี่ยงและรีบพยุงนางขึ้นมาก่อนที่เข่าของนางจะกระทบพื้น นางขมวดคิ้วและเอ่ย “ท่านแม่ เหตุใดจึงทำเช่นนี้”
สะใภ้หวังสะอื้น “ซีเอ๋อร์ ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้า เยี่ยนเอ๋อร์ก็คงจะตายไปแล้ว ถ้าเขาไม่อยู่ ข้าก็คงอยู่ต่อไปไม่ได้ เจ้าคือผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเราสองแม่ลูกไว้ สมควรที่จะข้าจะคุกเข่าให้แล้ว”
ฉินหลิวซีเอ่ย “ต่อให้ท่านจะไม่ใช่มารดาที่ให้กำเนิดข้ามา แต่ข้าก็เรียกท่านว่าท่านแม่ ทั้งใต้หล้าล้วนรับรู้ บิดามารดาคุกเข่าให้บุตรสาว ใครจะไปรับไว้ได้ ท่านคงไม่อยากให้ข้าอายุสั้นกระมัง?”
สะใภ้หวังตกตะลึงไปเล็กน้อย “ดูสิ ข้าเลอะเลือนจริงๆ”
ฉินหลิวซีประคองนางนั่งลงพลางเอ่ย “ต่อไปอย่าได้ทำอย่างนี้อีก เขารอดมาได้ก็เป็นเพราะดวงชะตาของเขายังมีถึงฆาต ข้าจึงช่วยเข้าได้ หากอายุขัยเขาหมดลงแล้ว ต่อให้ข้ามีความสามารถแค่ไหน ก็ช่วยไม่ได้เหมือนอย่างฮูหยินผู้เฒ่านั่นอย่างไรเล่า”
“ข้าเข้าใจ แต่ก็ต้องขอบคุณเจ้ามา ข้าได้ยินมาแล้วว่า ตอนนั้นอาการเขาอันตรายมาก ถ้าไม่ได้เจ้า…” สะใภ้หวังนึกถึงเหตุการณ์นั้น ก็รู้สึกหวาดผวาขึ้นมาทันที จนมือสั่นไปหมด
“เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ไม่ต้องเอ่ยถึงแล้ว ค่อยๆ รักษาตัวไปก็พอ” ฉินหลิวซีปลอบนางด้วยรอยยิ้ม “ตระกูลฉินก็กลับมาได้แล้ว เคราะห์นี้ผ่านไปแล้ว ขอแค่พวกเขาพี่น้องมีอนาคต ต่อไปก็จะมีอนาคตที่ราบรื่น”
“ขอให้เป็นเช่นนั้น” สะใภ้หวังเอ่ยต่อ “ทางนั้นจะจัดการอย่างไรหรือ นายท่านผู้เฒ่ากับท่านพ่อของเจ้าและคนอื่น?”
“ข้าบอกแล้วว่าให้พวกเขาเข้าเมืองหลวงไปขอบพระทัยฝ่าบาทก่อน พวกท่านอาสามจะตรงกลับมาที่เมืองหลี่ ส่วนจะทันหรือไม่ก็ต้องแล้วแต่ลิขิตสวรรค์” ฉินหลิวซีเอ่ย
สะใภ้หวังเข้าใจ
“ฮูหยินผู้เฒ่าจากไปแล้ว เขาจะต้องไว้ทุกข์ ท่าน…”
เมื่อเห็นว่านางไม่ยินดีที่จะเรียกฉินปั๋วหง สะใภ้หวังจึงเอ่ย “การไว้ทุกข์เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ อันที่จริงมันก็อาจจะไม่ใช่เรื่องไม่ดีสำหรับเขา ตำแหน่งเจ้าเมืองขุนนางขั้นห้าชั้นโท แถมยังต้องไปยังสถานที่ยากจนอย่างมณฑลกว่างหนิง เขาพอใจก็แปลกแล้ว”
ฉินหลิวซีพอจะเดานิสัยของฉินปั๋วหงได้ ก็จริง การถูกลดตำแหน่งและถูกส่งไปรับตำแหน่งยังสถานที่ยากจนจะดีไปกว่าการได้เป็นขุนนางในเมืองหลวงที่เจริญรุ่งเรืองได้อย่างไร แม้ว่าเขาจะถูกส่งไปที่อื่น แต่เขาก็ตั้งตารอที่จะได้ไปในที่เจริญๆ หากตอนนี้เขาต้องไว้ทุกข์ ในใจก็คงจะแอบดีใจที่รอดพ้นคราวเคราะห์นี้ไปได้ หลังจากไว้ทุกข์สักสองสามปีและพยายามฟื้นฟูสถานะ ก็คงไม่ต้องไปมณฑลกว่างหนิงที่ยากจนนั่นแล้วกระมัง
นางยกถ้วยชาขึ้นจิบ
สะใภ้หวังกล่าวเสริม “ข้าได้ยินจากเยี่ยนเอ๋อร์ว่าอารองของเจ้ารับอนุที่นั่นหรือ?”
“เขาเป็นผู้ชายยังหัดซุบซิบนินทาด้วย เรื่องในบ้านรองก็เอามาพูดกับท่าน”
สะใภ้หวังอธิบายแทนลูกชาย “เป็นข้าเองที่ถามเขาว่าทุกคนเป็นอย่างไรบ้าง เด็กคนนั้นก็เป็นคนตรงๆ เขาก็เลยเอ่ยขึ้นมา”
“รับมาจริงๆ ไม่ได้เรียบร้อยเหมือนอนุพานด้วย ข้าเห็นนางเมื่อคืน น่าจะตั้งครรภ์แล้ว” ฉินหลิวซียิ้ม “ในหมู่คนที่ถูกเนรเทศไปด้วยกัน อารองถือว่าเป็นคนมีบุญวาสนา สองปีที่ถูกเนรเทศเขาไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ แถมยังได้ลูกมาด้วย ไม่ขาดทุนเลย”
สะใภ้หวังสูดปากด้วยความตกใจ “อาสะใภ้ร้องจะไม่ฉีกอกเขาหรือ”
ฉินหลิวซีหลุบตาลง “ไม่ใช่คราวที่นางจะพูดอะไรได้ ถึงอย่างไรที่พึ่งคนสำคัญของนางก็ล้มลงแล้ว และก็ล้มลงเพราะนางเองด้วย”
สะใภ้หวังตกตะลึงไปครู่หนึ่งและถอนหายใจ
หลังออกจากเรือนไกลมาแล้ว สะใภ้หวังก็สาวเท้าไปที่เรือนฮูหยินผู้เฒ่าอย่างรวดเร็ว สะใภ้เซี่ยเห็นนางแล้วก็มองนางขึ้นๆ ลงๆ “พี่สะใภ้ใหญ่ มีเรื่องอะไรดีๆ หรือ”
เห็นสะใภ้หวังหน้าตายินดีมีความสุขราวกับจะได้เป็นสตรีบรรดาศักดิ์จนปิดไม่มิด ทั้งที่แม่สามีก็ยังนอนเป็นตายไม่รู้อยู่เลย
สะใภ้หวังใจเต้นกระตุก สมองของนางไม่เฉียบคมเท่าที่ควรจะเป็น นางจึงตอบไปว่า “แค่คิดว่าพวกท่านพ่อและคนอื่นๆ กำลังจะกลับมาแล้ว ก็รู้สึกว่าท้องฟ้าสดใสเหลือเกิน” แต่ฟ้าของเจ้า น้องสะใภ้รอง หลังจากนี้จะมืดมนหม่นหมองแล้ว
สะใภ้เซี่ยอยากเออออไปกับนางด้วย แต่เมื่อเห็นสายตาเห็นอกเห็นใจของอีกฝ่าย จู่ๆ นางก็รู้สึกแปลกๆ ในใจ แผ่นหลังนางก็เย็นยะเยือก และอดประชดออกมาไม่ได้ “กลับมาแล้วจะทำอย่างไรได้ ถ้าท่านแม่ไม่ดีขึ้นมา ก็คงจะต้องไว้ทุกข์กันอยู่ดี”
“เงียบเถอะ!” สะใภ้หวังดุนางทันที “ถ้าเจ้าพูดอะไรดีๆ ไม่เป็น อย่างน้อยก็คิดถึงตัวเองเถิด”
สะใภ้เซี่ยเบ้ปากด้วยความไม่พอใจ
สะใภ้หวังคร้านจะสนใจนาง ช่างเถิด ซีเอ๋อร์พูดถูก ตอนนี้นางก็ทำได้แค่เหน็บแนมเล็กน้อยเท่านั้น รอให้เจ้ารองพาผู้หญิงที่อุ้มท้องกลับมาก่อนเถิด นางจะต้องเสียสติแน่
“แปลก” สะใภ้เซี่ยรู้สึกว่าวันนี้พี่สะใภ้ใหญ่ดูแปลกๆ นางคิดกับตัวเอง ต่อให้พี่ใหญ่จะได้รับราชการต่อไป แต่ก็ต้องถูกลดตำแหน่งลงมาเป็นขุนนางขั้นห้าชั้นโท แม้แต่ตำแหน่งสตรีบรรดาศักดิ์ก็ไม่อาจเป็นได้ ภาคภูมิใจอะไร
แต่อย่างไรก็ตาม แม้จะคิดว่านางไม่สามารถเป็นสตรีบรรดาศักดิ์ได้ ก็ยังสามารถได้รับการแต่งตั้งได้ แต่ตัวนางกลับไม่มีอะไรเลย เป็นแค่คนธรรมดา
สะใภ้เซี่ยย่อมรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย
ฉินหลิวซีเรียกเฉินผีกลับมาดูแลฉินหมิงเยี่ยน และนำแผนภาพจุดฝังเข็มและเส้นลมปราณของมนุษย์มาให้เขาดูบ่อยๆ เพราะถึงอย่างไรเฉินผีก็คุ้นเคยอยู่แล้ว เขาอยู่บนเตียงจะได้ไม่รู้สึกเบื่อ
หลังจากจัดการเรียบร้อย นางก็ไปตรวจชีพจรให้ฮูหยินผู้เฒ่าอีกครั้ง เมื่อเห็นว่านางหลับใหลและมีชีพจรเบาช้า ใบหน้าก็ซูบตอบ หายใจแผ่วเบา นางจึงฝังเข็มให้อีกครั้ง
“ซีเอ๋อร์ ฮูหยินผู้เฒ่าจะอยู่ได้นานแค่ไหน” สะใภ้กู้ถาม
ฉินหลิวซียกเข็มขึ้นก่อนจะเอ่ย “บอกยาก”
สะใภ้กู้เศร้าเล็กน้อย “หวังว่าพวกอาสามของเจ้าจะกลับมาทัน”
ความยึดติดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของฮูหยินผู้เฒ่าคือเรื่องนี้ หากนางตายไปไม่ได้เห็นพวกบุรุษก่อน นางก็คงจะตายตาไม่หลับ
ฉินหลิวซีไม่ได้ตอบคำถามนี้ ต่อให้จะเดินทางทั้งกลางวันกลางคืน แต่ก็ยังต้องขึ้นอยู่กับลิขิตสวรรค์ด้วย เพราะถึงอย่างไร อากาศในปีนี้ก็หนาวมาก บางแห่งมีพายุหิมะด้วยซ้ำ
หลังจากออกจากเรือนของฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว นางก็ไปตามเฮยซากลับมาดูแลร้านเฟยฉางเต๋า ถึงอย่างไรเว่ยเสียก็มักจะต้องรับมือกับความไม่แน่นอนอยู่แล้ว และต่อให้จะเตรียมแผนการไว้ก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี ส่วนนางจะนำแผนภาพที่อวี้ฉังคงมอบให้มาไปบ้านตระกูลอวี้
เวลานี้อวี้ฉังคงกำลังเดินหมากกับท่านปู่ของเขา แต่เขาค่อนข้างเหม่อลอย นานแล้วก็ยังไม่สามารถวางตัวหมากที่คีบไว้ระหว่างนิ้วลงได้ จู่ๆ เขาก็ถามว่า “ท่านปู่ ท่านหมอที่เคยมารักษาดวงตาให้ข้าล้วนเป็นคนที่อารองไปตามหามาหรือ”
นายท่านตระกูลอวี้นิ่งอึ้ง เขามองหน้าหลานชายคนโตแล้วเอ่ย “ทำไมจู่ๆ ถึงถามเรื่องนี้ขึ้นมาเล่า?”
อวี้ฉังคงเงยหน้าขึ้น ดวงของเขาเป็นประกาย “ข้าก็แค่สงสัย”
นายท่านตระกูลอวี้เห็นดวงตาคู่นั้นแล้ว ก็ราวกับมองเห็นบุตรชายคนโตที่มีพรสวรรค์และงดงามอย่างน่าประหลาดใจ แต่กลับหันหลังให้ศีลธรรม และอยากจะเอื้อมมือออกไปโดยสัญชาติญาณ เขาเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ไม่ว่าใครตามหามา มันก็ผ่านไปแล้ว ดวงตาของเจ้ากลับมามองเห็นได้ก็ดีแล้ว”
อวี้ฉังคงหลับตาลง สายตาจ้องมองไปที่รัศมีอันเป็นมงคลที่อยู่รอบๆ ท่านปู่ของเขา และรับคำเบาๆ
“คุณชาย เจ้าอาวาสน้อยมาขอรับ” ซื่อฟังเข้ามารายงานด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความยินดี
แปะ
นายท่านตระกูลอวี้มองตัวหมากสีดำที่หลานชายคีบอยู่ระหว่างนิ้วตกลงโดยไม่รู้ตัวอย่างประหลาดใจ เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง อีกฝ่ายก็ลุกขึ้นยืนและเดินออกไปแล้ว เจ้าอาวาสน้อย ท่านหมอที่รักษาดวงตาให้เด็กคนนี้น่ะหรือ