คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 831 ตกใจเมื่อได้ยินความจริงเกี่ยวกับบิดามารดาของอวี้ฉังคง
- Home
- คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า
- ตอนที่ 831 ตกใจเมื่อได้ยินความจริงเกี่ยวกับบิดามารดาของอวี้ฉังคง
ตอนที่ 831 ตกใจเมื่อได้ยินความจริงเกี่ยวกับบิดามารดาของอวี้ฉังคง
……….
ฉินหลิวซียืนอยู่หน้าซุ้มประตูหน้าตระกูลอวี้ เงยหน้าขึ้นมองซุ้มประตูหินหยกขาวโบราณที่อยู่ตรงหน้า จากนั้นมองผ่านซุ้มประตูไปยังกลุ่มตระกูลที่ซ่อนตัวอยู่ในภูเขาที่สวยงามด้านหลัง และจิ๊ปากด้วยความชื่นชม
รวยมากจริงๆ!
ซุ้มประตูทำจากหินหยกขาวแกะสลักลายวิหคเพลิงและเมฆมงคลราคาเท่าไรไม่รู้ และปราณภูเขาของทั้งกลุ่มตระกูลซ่อนลมสะสมปราณ โชคลาภคงอยู่ตลอดไป ตระกูลอวี้นี้มิได้มีเพียงฮวงจุ้ยที่ดีเท่านั้น แต่ยังสร้างแนวฮวงจุ้ยและแนวป้องกันที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย
ภายนอกดูสงบ แต่เมื่อเดินเข้าไปในซุ้มประตูจริงๆ กลับมีอะไรแปลกๆ มากมาย คนนอกไม่สามารถบุกเข้าไปได้อย่างง่ายดาย
ฉินหลิวซีเตะหินก้อนหนึ่งเข้าไป ก็เห็นใบมีดลมผ่าหินนั้นแตกออกเป็นสองส่วน
ตระกูลอวี้นี้มีของ!
ไม่น่าแปลกใจที่คนอื่นจะยกย่องความเก่งกาจและความเย่อหยิ่งของตระกูลอวี้ บอกว่าถ้าได้ตระกูลอวี้ก็จะได้ใต้หล้ามาไว้ในมือ แค่แสดงมือนี้ออกไป ก็ทำให้คนมองดูด้วยความชื่นชมได้แล้ว ต้องการให้ลูกหลานของตระกูลอวี้ออกไปช่วยราชกิจของฮ่องเต้หรือ ได้สิ บุกค่ายกลให้ได้ก่อน
หากท่านบุกเข้ามาได้แล้วก็ใช่ว่าจะเชิญคนออกไปได้ เพราะนกที่ดีเลือกต้นไม้ที่จะเกาะ และตระกูลอวี้ก็เลือกที่จะช่วยแค่ราชาผู้มีคุณธรรมเท่านั้น
ทุกอย่างขึ้นอยู่กับโชคชะตาของท่าน
อย่างไรก็ตาม ในสายตาของคนจำนวนมาก ตระกูลอวี้ทำเช่นนี้ก็ดูเหมือนจงใจทำตัวลึกลับอยู่บ้าง แต่พวกเขาก็ไม่กล้าส่งเสียงอะไรเพราะติดที่ชื่อเสียงของตระกูลอวี้ เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็ฉลาดจริงๆ แค่ความรู้ภายในตระกูลอวี้ ก็ไม่รู้ว่าดีกว่าสถานศึกษาข้างนอกกี่เท่า
ฉินหลิวซีเองก็ไม่บุ่มบ่าม นางมาที่นี่ในฐานะแขก ไม่ต้องการต่อสู้หรือเข่นฆ่าใคร ควรจะทำตัวมีอารยธรรมหน่อย ไม่เช่นนั้นหากนางทำลายค่ายกลไปก็จะกลายเป็นปัญหาขึ้นมาอีก และคงต้องให้อวี้ฉังคงมานั่งช่วยแก้ไขอีก
จะเปลืองแรงไปทำไม?
ฉินหลิวซีดูการวางฮวงจุ้ยและโชคลาภของตระกูลอวี้ ยิ่งมองดูก็ยิ่งรู้สึกว่าตระกูลอวี้เรียกได้ว่าเป็นตระกูลเร้นลับจริงๆ โชคลาภนี้มากมายมหาศาลจนน่าอิจฉา ไม่รู้ว่าเคยสร้างคนที่มีพรสวรรค์ระดับโลกมาแล้วกี่คนในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา จึงได้มีร่มเงาแผ่ไพศาลเช่นนี้
“เสี่ยวฉิน” อวี้ฉังคงรีบเดินเข้ามา
ฉินหลิวซีหันกลับมา ก็เห็นว่าอีกฝ่ายสวมชุดคลุมยาวสีดำ โดยมีแถบผ้าฝังหยกสีดำคาดอยู่กลางหน้าผาก ซึ่งทำให้ใบหน้าของเขาดูงดงามล้ำค่าอย่างไม่อาจพรรณนาได้
“ฉังคง” ฉินหลิวซีประสานมือคำนับเขา และยิ้มให้ “ไม่พบกันนาน”
ดวงตาของอวี้ฉังคงเต็มไปด้วยความสุข เขามองนางขึ้นๆ ลงๆ และคำนับกลับ ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ “ไม่ได้พบกันมาหนึ่งปีแล้ว ท่านผอมลงและสูงขึ้น แต่ก็สง่างามยิ่งขึ้นเช่นกัน”
ไม่พบกันมาปีหนึ่ง นางก็ดูโตขึ้น ไม่เพียงแต่สูงขึ้นเท่านั้น แต่บุคลิกของนางก็ดูบริสุทธิ์มากขึ้นด้วย
“ฉังคง เจ้าดูสะอาดผ่องใสมากขึ้น ฮวงจุ้ยของตระกูลอวี้หล่อเลี้ยงคนจริงๆ โชคดีที่เจ้าอยู่ในตระกูลอวี้ไม่ออกไป ไม่เช่นนั้นบุรุษข้างนอกคงไม่มีที่ยืนแล้ว” ฉินหลิวซียิ้ม ถูกอกถูกใจกับหน้าตาฟ้าประทานของอีกฝ่าย ใบหน้าหล่อเหลาเช่นนี้ ถ้าออกไปข้างนอกจะไม่ทำให้หญิงสาวนับพันนับหมื่นหลงใหลตายไปเลยหรือ?
เมื่อได้ยินคำหยอกล้อที่ไม่เหมาะสมนี้ อวี้ฉังคงก็ยิ้มอย่างจนใจ “ดูท้องฟ้าแล้ว หิมะน่าจะใกล้ตกแล้ว ลมก็แรงด้วย ท่านไปนั่งจิบชาอบอุ่นร่างกายที่เรือนข้าก่อนเป็นอย่างไร?”
“ข้าจะปฏิเสธก็คงเสียมารยาท”
อวี้ฉังคงนำนางเข้าไปในตระกูลอวี้ ในขณะที่เข้าไปยังที่พักของเขา เขาก็นำทางไปส่วนต่างๆ ของตระกูลอวี้ แม้ว่าพื้นที่ขนาดใหญ่นี้จะเป็นสมาชิกของตระกูลอวี้ทั้งหมด แต่ก็มีทั้งสายตรงและสายสาขา เขาเป็นทายาทสายตรง หัวหน้าตระกูลคนปัจุบันคือท่านปู่แท้ๆ ของเขาซึ่งเป็นทายาทสายตรง
ทายาทสายตรงของตระกูลอวี้นั้นสูงส่งอย่างยิ่ง ระหว่างที่เดินผ่านไปนั้น เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาพบผู้คน ไม่ว่าจะอายุมากหรือน้อย พวกเขาก็ต่างก็คารวะอวี้ฉังคงและเรียกเขาว่าคุณชายฉังคง แสดงความเคารพอย่างสูง สำหรับฉินหลิวซีที่ติดตามเขาไป แม้จะมีสายตามองประเมินอย่างสงสัย แต่พวกเขาก็ยังพยักหน้าให้ด้วยรอยยิ้ม
คนที่คุณชายฉังคงนำทางด้วยตนเองจะต้องเป็นแขกผู้มีเกียรติของเขาอย่างแน่นอน
ฉินหลิวซีเอ่ย “ข่าวที่ว่าเจ้ากลับมามองเห็นได้แล้วแพร่กระจายออกไปแล้วหรือ”
อวี้ฉังคงพยักหน้า “หลังจากเทศกาลฤดูใบไม้ร่วงก็ไม่ได้ปิดบังอีกต่อไปแล้ว”
ฉินหลิวซีไม่ได้ถามอะไรอีก
อวี้ฉังคงไม่ได้พูดอะไรมากนัก เพียงถามว่า “ทำไมจู่ๆ ท่านถึงมาที่ตระกูลอวี้ ข้าเคยได้รับจดหมายตอบกลับจากหลานซิ่งก่อนหน้านี้ แม้จะไม่ได้ลงรายละเอียด แต่จากท่าทีในจดหมายก็บอกได้ว่า รู้สึกขอบคุณท่านมากแค่ไหน เรื่องต่างๆ คลี่คลายไปอย่างน่าพอใจแล้วหรือ”
“ก็ยังไม่น่าพอใจ แต่ก็ดีกว่าไร้ผล” ฉินหลิวซีเอ่ย “ที่ข้ามาที่นี่ ประการแรกก็เพราะแผนภาพค่ายกลที่เจ้าส่งมาก่อนหน้านี้ ประการที่สอง ซึ่งเป็นประเด็นที่สำคัญที่สุด ข้าได้ยินมาว่าพวกเจ้าเก็บหญ้าคืนชีพเก้าความตายไว้ต้นหนึ่ง ไม่ทราบว่าจะพอสละให้ได้หรือไม่”
อวี้ฉังคงตกตะลึง “หญ้าคืนชีพเก้าความตาย?”
“ใช่ มันเรียกอีกอย่างว่าหญ้าหุยหยาง”
อวี้ฉังคงขมวดคิ้วเล็กน้อย “ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าในตระกูลมีสมุนไพรชนิดนี้ ท่านไปรู้มาจากไหน?”
“ไม่มีหรือ” ดวงตาของฉินหลิวซีวูบไหวทันที
อวี้ฉังคงลังเล “ข้าไม่ได้เป็นคนดูแลคลังสมบัติ และข้าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน แต่ข้าสามารถถามท่านปู่ของข้าได้ เพียงแต่…”
เขาเงียบไปสักพัก ดวงตาที่หลุบลงมีประกายเฉียบคมและสับสนวาบผ่าน
“มีปัญหาหรือ” ฉินหลิวซีเห็นว่าเขามีท่าทางลำบากใจ ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ หรือว่านางจะไม่ได้หญ้านี้แล้ว?
“ก็ไม่ใช่อย่างนั้น ถ้ามีหญ้านี้อยู่ในตระกูลข้า อย่างไรข้าก็จะเอามันมาให้ท่าน” อวี้ฉังคงเงยหน้าขึ้นมองดูบ้านที่ตั้งอยู่สูงขึ้นไปในกลุ่มตระกูลแล้วเอ่ยว่า “แค่มีบางอย่างที่ข้าไม่สามารถเข้าใจได้ในขณะนี้ และก็ไม่กล้ายืนยันเช่นกัน”
น้ำเสียงเย็นชาราวกับหิมะที่กองทับถมอยู่ข้างถนน
ฉินหลิวซีเหลือบมองเขา แล้วเปลี่ยนเรื่อง “แผนภาพค่ายอาคมนั่น…”
“แผนภาพค่ายอาคมนั่น…”
ทั้งสองเอ่ยขึ้นพร้อมกัน และมองหน้ากันทันที
“ท่านเอ่ยก่อนเถิด” อวี้ฉังคงสงบลง
ฉินหลิวซีรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ นางเอ่ย “เป็นค่ายอาคมโครงกระดูก หรือค่ายอาคมเพลิงมาร ข้าสงสัยว่าท่านได้มันมาจากไหน มันเป็นค่ายอาคมที่สร้างความเสียหายและฝืนธรรมชาติอย่างยิ่ง ใช้ไฟเผาหรือไอน้ำเดือดทำให้คนตายอย่างน่าอนาถแล้วค่อยตั้งค่ายอาคม…”
อวี้ฉังคงหายใจถี่ขึ้น เขาหยุดฝีเท้าทันที และหันไปมองนาง “ไฟเผา?”
ฉินหลิวซีเห็นว่าดวงตาที่แวววาวเริ่มแดง คิ้วขมวด นางพยักหน้าและเอ่ยต่อ “เพื่อสร้างค่ายอาคมนี้ จะต้องทำให้คนตายอย่างน่าสังเวช ไม่ว่าจะโดยการเผาด้วยไฟ หรือ…หรือต้มทั้งเป็นในหม้อต้มน้ำ แล้วเอากระดูกมาสร้างร่างเทียม ทำให้วิญญาณติดที่ไม่สามารถออกมาได้ จึงกลายเป็นค่ายอาคมโครงกระดูก”
“เมื่ออยู่ใกล้ค่ายอาคมนี้ มักจะได้ยินเสียงร้องโหยหวน ความจริงแล้วมันเป็นเสียงร้องไห้โหยหวนอันเจ็บปวดของดวงวิญญาณที่ตายอย่างอนาถซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่สำหรับคนภายนอกมันจะทำให้เกิดความรู้สึกไม่พอใจและทำให้ป่วยหนักหรืออ่อนแอ หากสัมผัสศพ ก็จะถูกวิญญาณที่ตายอย่างน่าอนาถลากไปยังจุดที่พวกเขาตาย จะต้องทนทุกข์ทรมานด้วยวิธีตายแบบเดียวกันและตายไปทันที”
อวี้ฉังคงกำหมัดแน่น “จากที่ท่านเอ่ย คนผู้นี้ไม่เพียงแต่ตายอย่างอนาถ แต่วิญญาณก็จะยังติดอยู่กับกระดูกและไม่สามารถไปเกิดใหม่ได้ ไม่ใช่แค่ว่าเขากำลังแสดงฉากของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นการตายแล้วตายอีกแบบเดิมซ้ำๆ ซากๆ ทั้งวันทั้งคืนอย่างนั้นหรือ”
“จะว่าเช่นนั้นก็ได้ ไม่อย่างนั้นจะบอกว่าค่ายอาคมนี้น่ากลัวหรือ”
หัวใจอวี้ฉังคงบีบแน่น สองขาของเขาอ่อนแรงจนต้องคุกเข่าลงกับพื้น ลำคอรู้สึกได้ถึงรสคาว แล้วเขาก็กระอักเลือดออกมาย้อมหิมะสีขาวให้กลายเป็นสีแดง สีหน้าของเขาก็หดหู่ซึมเซาลงทันที
ฉินหลิวซีตกใจทันที “เจ้าเป็นอะไร?”
อวี้ฉังคงใช้มือข้างหนึ่งยันพื้น มืออีกข้างกุมหน้าอก หอบหายใจเอาอากาศเข้าไปอย่างแรง และเงยหน้าขึ้นมองไปข้างหน้า “ข้าเคยบอกท่านหรือไม่ว่าท่านพ่อท่านแม่ข้าตายอย่างไร”
นัยน์ตาของฉินหลิวซีหดลงเล็งทันที คงไม่กระมัง?
“หลังจากถูกสับเป็นชิ้นๆ แล้ว ก็ถูกส่งในหม้อและต้มด้วยไฟ” อวี้ฉังคงกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง
ค่ายอาคมโครงกระดูกหรือ ที่แท้พวกเขาก็ถูกใช้สร้างค่ายอาคมอย่างนั้นหรือ