คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 835 ดูเหมือนจะสารภาพออกมาเองแล้ว
ตอนที่ 835 ดูเหมือนจะสารภาพออกมาเองแล้ว
……….
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับดวงตาฉินหลิวซีที่ดูเหมือนจะสามารถเจาะเข้าไปในจิตใจคนได้ หัวหน้าตระกูลอวี้ก็ยกชาที่เย็นแล้วขึ้นจิบเพื่อสงบสติอารมณ์
“ชิงกู่จื่อนั่นถูกอารามเป่าหวาจับได้และสังหารไปแล้ว เรื่องนี้จบไปแล้ว ฉังคงเจ้า…”
อวี้ฉังคงหรี่ตาลง “ท่านปู่หมายความว่าชิงกู่จื่อตายแล้ว หนึ่งชีวิตต่อสองชีวิต ยุติธรรมแล้วหรือ”
หัวหน้าตระกูลอวี้เม้มริมฝีปาก
“ตระกูลอวี้ทำข้อตกลงอะไรกับอารามเป่าหวาหรือ ผลประโยชน์นั้นยิ่งใหญ่มากจนสามารถชดเชยกับชีวิตของท่านพ่อท่านแม่ของข้าได้งั้นหรือ”
นัยน์ตาหัวหน้าตระกูลอวี้หดเล็กลงทันที “บังอาจ”
แววตาอวี้ฉังคงมีแต่ความเย็นชา “ข้าหวังว่าท่านปู่จะบอกความจริง ไม่อย่างนั้นหลานจะไปถามอารามเป่าหวาให้ชัดเจนว่าความจริงเป็นอย่างที่ท่านปู่พูดหรือไม่”
ฉินหลิวซีหลุบตาลง เมื่อเห็นว่ามือของหัวหน้าตระกูอวี้สั่นเล็กน้อย นางก็หัวเราะ
เสียงหัวเราะที่ดังขึ้นอย่างกะทันหันทำให้คนทั้งสองหันไปมอง
ฉินหลิวซีจึงเอ่ย “จู่ๆ ข้าก็นึกถึงเรื่องตลกขึ้นมา พวกท่านไม่จำเป็นต้องสนใจข้า ต่อเลย”
หัวหน้าตระกูลอวี้โกรธเล็กน้อย เขาเอ่ยเสียงเข้ม “ฉังคง เจ้าเกินไปแล้ว”
อวี้ฉังคงลุกขึ้นยืน “ในเมื่อท่านปู่ไม่พูด เช่นนั้นข้าก็ต้องไปสืบเอง เสี่ยวฉิน พวกเราไปกันเถิด”
ฉินหลิวซีลุกขึ้นมองหัวหน้าตระกูลอวี้จากเบื้องสูง และถามด้วยรอยยิ้ม “หัวหน้าตระกูล ไม่ทราบว่าท่านเคยได้ยินว่าลัทธิเต๋ามีวิชาหนึ่งที่เรียกว่าปลูกฐานชีวิตหรือไม่?”
สายตาหัวหน้าตระกูลอวี้เฉียบคมขึ้น หนังหน้าสั่นเล็กน้อย เขาลุกขั้นยืน ริมฝีปากเม้มเป็นเส้นตรง
ฉินหลิวซีเหลือบมองไปในทิศทางหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ ดวงตาไร้รอยยิ้มก่อนหน้านี้ แต่กลับมีความเย็นเยียบและความรังเกียจเข้ามาแทน นางหันหลังเดินออกไป
อวี้ฉังคงตามไปด้วยความสงสัยเต็มเปี่ยม
หลังจากที่ทั้งสองเดินออกไป ในห้องก็มีเสียงแหบแห้งหนึ่งดังขึ้น “หัวหน้าตระกูล ต้องการกำจัดหรือไม่”
หัวหน้าตระกูลอวี้กระสับกระส่ายเล็กน้อย “ไปแจ้งเหล่าผู้อาวุโส”
ทันทีที่ฉินหลิวซีออกมาจากเรือนหัวหน้าตระกูล นางก็เอ่ยกับอวี้ฉังคง “ไปเอาหญ้าหุยหยางมาก่อน”
อวี้ฉังคงอยากจะถาม แต่เขารู้ว่าฉินหลิวซีจะต้องมีความมั่นใจอยู่แล้วจึงพานางไปที่คลังสมบัติ และพูดกับผู้ดูแล แล้วก็รออยู่หน้าประตู
“ลุงเฉียนและซื่อฟังเป็นคนของเจ้า เจ้าอยากให้พวกเขาออกไปก่อนหรือไม่?” จู่ๆ ฉินหลิวซีก็มองหน้าอวี้ฉังคงและเอ่ยขึ้น
อวี้ฉังคง “ท่านหมายถึงอะไร?”
ฉินหลิวซีเอ่ย “ข้าเกรงว่าการตายของบิดามารดาท่านนั้นจะไม่ได้แค่เพื่อสร้างค่ายอาคมธรรมดาแล้ว ข้าพอจะเดาได้เลาๆ แต่ไม่รู้ว่าถูกต้องหรือไม่”
“มันเกี่ยวกับวิชาปลูกฐานชีวิตที่ท่านพูดถึงใช่หรือไม่ มันคืออะไร” อวี้ฉังคงลดเสียงลงจนเบามาก
น้ำเสียงของฉินหลิวซีเย็นชา “ปลูกฐานชีวิตหรือที่รู้จักกันทั่วไปว่ารากฐานของชีวิต การปลูกฐานชีวิตคือการใส่แก่นแท้วิญญาณของมนุษย์ทั้งหมด เช่น ผม เลือด เล็บ และกระดาษยันต์ที่เขียนแปดอักษรวันเดือนปีเกิดเวลาตกฟากไว้ลงไปในโลงศพ หลังจากทำพิธีบูชาในวันและเวลาอันเป็นมงคลแล้วก็จะนำไปฝังในถ้ำมังกร โชคที่เกิดจากฮวงจุ้ยถ้ำมังกรทำให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการสร้างชีวิต ผันโชคมาให้มีบุญวาสนามีชีวิตยืนยาว”
อวี้ฉังคงขมวดคิ้ว “มันไม่เหมือนกับการฝังศพคนเป็นหรือ การทำเช่นนี้ไม่ถือว่าอัปมงคลหรอกหรือ”
คนเป็นส่วนใหญ่มักเชื่อเรื่องห้ามพูดถึงความตาย ไม่ต้องพูดถึงการฝังศพในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่เช่นนี้ คงจะไม่เป็นมงคลอย่างยิ่ง
“ความจริงแล้วเป็นการแสร้งทำเป็นฝังทั้งเป็น หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าแกล้งตายเพื่อหลบซ่อนตัวจากเซียนที่ควบคุมเรื่องชีวิตและความตาย และเพื่อหลีกเลี่ยงเคราะห์ภัย นี่ก็เป็นวิชาใช้หยางกับสุสาน ตามหาปรมาจารย์ระดับสูงมาช่วยทำให้ถูกต้อง เพื่อยืดอายุขัยและเพิ่มบุญวาสนา” แน่นอนว่าถ้าใช้พวกหลอกลวงต้มตุ๋นความรู้งูๆ ปลาๆ ก็เท่ากับเป็นการฆ่าตัวตายเท่านั้น
“เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับการตายของท่านพ่อท่านแม่ข้า” อวี้ฉังคงรู้สึกงุนงงเล็กน้อย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็น่าจะต้องใช้แก่นแท้วิญญาณของคนเป็นที่เกี่ยวข้องมาแสร้งฝังมิใช่หรือ
แต่จากที่ฉินหลิวซีพูด ดูเหมือนว่าท่านพ่อท่านแม่เขาถูกนำไปปลูกฐานชีวิต
“ต้องรู้ว่าถ้าการปลูกฐานชีวิตสามารถยืดอายุและเพิ่มบุญวาสนาได้ แต่ถ้าทำไม่ดี การตายหลอกๆ กลายเป็นตายจริง มันก็เป็นจริงขึ้นมา และมีการปลูกฐานชีวิตอีกแบบ เรียกได้ว่าเป็นการปลูกฐานชีวิตฉบับปรับปรุง นั่นคือการเอาแก่นแท้วิญญาณของคนที่โชคดีมากๆ มาปลูก ส่งผลต่อคนที่รับชีวิตไป นอกจากนี้ยังสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ในการยืดอายุขัยและเพิ่มบุญวาสนาได้เช่นกัน หากโชคของอีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่าของตนเอง บุญวาสนาก็จะแข็งแกร่งไปด้วย หากถ้ำมังกรที่ปลูกฐานชีวิตเป็นสถานที่ที่สุสานของบรรพบุรุษตั้งอยู่จะส่งเสริมคนส่งเสริมตระกูล ทำให้ลูกหลานรุ่นต่อๆ ไปมีโชคลาภวาสนา การใช้แก่นแท้วิญญาณคนอื่นปลูกฐานชีวิตยังไม่มีผลสะท้อนกลับหากล้มเหลวด้วย ผลสะท้อนที่มีอย่างมากก็แค่ล้มป่วยเล็กน้อย ซึ่งดีกว่าตายมาก”
สีหน้าของอวี้ฉังคงจากที่ขาวๆ กลายเป็นมืดมน เขาเค้นเสียงรอดไรฟัน “ท่านสงสัยว่าท่านพ่อท่านแม่ของข้าถูกใช้ปลูกฐานชีวิตหรือ” เขานึกถึงคำพูดประโยคหนึ่งที่ฉินหลิวซีเอ่ยกับท่านปู่ของเขาก่อนหน้านี้ว่า จะอยู่ต่อไปอีกห้าสิบปีก็ไม่เป็นปัญหา ลมหายใจเขาหยุดชะงักไปทันทีและเอ่ยถาม “ท่านปู่ของข้าเป็นคนรับชีวิตหรือ”
สีหน้าฉินหลิวซีซับซ้อนเล็กน้อย “อันที่จริงการใช้พลังชีวิตของผู้อื่นท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ดีเท่ากับญาติทางสายเลือดของตัวเอง เพราะถึงอย่างไรก็เป็นสายเลือดเดียวกัน มีเหตุและผลเกี่ยวเนื่องกัน เป็นการลงแรงครึ่งเดียวเก็บเกี่ยวผลสองเท่า ตอนนี้ท่านก็ดูปราณได้แล้ว เห็นปราณบนร่างของท่านปู่ท่านหรือไม่”
อวี้ฉังคงพยักหน้า “น่าจะเป็นปราณมงคล แต่ก็แปลกๆ รู้สึกไม่บริสุทธิ์”
“ปราณมงคลมีจริง แต่มีสองชนิด ปราณมงคลสายหนึ่งไม่ใช่ของเขา แต่ตกใส่ตัวเขาโดยไม่มีการต่อต้าน ที่ไม่บริสุทธิ์เป็นผลมาจากไอเลือดที่รวมตัวกันเหนือศีรษะเขา ทำให้เกิดปราณมงคลที่มีความชั่วร้าย ซึ่งอาจทำให้เขาเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ ได้บ้างเป็นบางครั้ง แต่ก็ไม่ถึงแก่ชีวิต”
อวี้ฉังคงขนลุกซู่ สองตาของเขาแดงก่ำ มิน่าเล่าปีที่แล้วท่านปู่จึงล้มป่วย แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้เป็นอะไรมากมาย
“เมื่อครู่นี้ท่านปู่ของเจ้าไม่ได้แปลกใจหรือไม่เข้าใจคำว่าปลูกฐานชีวิตเลย เห็นได้ชัดว่าเขารู้จักวิชานี้ เจ้า…” ฉินหลิวซีถอนหายใจ และตบแขนเขา “ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ถ้าได้เห็นหลุมศพของท่านพ่อท่านแม่เจ้าก็รู้แล้ว เจ้าว่าเป็นสุสานเสื้อผ้ามิใช่หรือ”
“แต่พวกท่านถูกเอาไปสร้างค่ายอาคมโครงกระดูกมิใช่หรือ ถ้าเป็นอย่างนั้น แล้วจะมาปลูกฐานชีวิตอีกได้อย่างไร”
“สมมุติว่าถูกนำไปปลูกฐานชีวิตก่อนแล้วค่อยสร้างค่ายอาคมโครงกระดูกเล่า?” ฉินหลิวซีฝืนยิ้ม “แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการคาดเดาของข้า ข้าอาจจะเดาผิดก็ไม่แน่”
คำปลอบใจของท่านช่างดูฝืนจริงๆ
เมื่อชายชราที่ดูแลคลังสมบัติหยิบกล่องหยกที่บรรจุหญ้าหุยหยางออกมา อวี้ฉังคงก็รับมันมามอบให้ฉินหลิวซี “ลองดูเถิด”
ฉินหลิวซีเปิดกล่องหยกออกดู จากนั้นก็ปิดกล่องหยกแล้วเอ่ย “เป็นหญ้าหุยหยาง”
“ไปกันเถิด”
พออวี้ฉังคงและฉินหลิวซีออกจากคลังสมบัติ พวกเขาก็ถูกคนล้อม สีหน้าก็เคร่งขรึมลงทันที
“คุณชายใหญ่ เหล่าผู้อาวุโสตระกูลเชิญคุณชายใหญ่ไปที่โถงหมิงซิน”
อวี้ฉังคงเอามือไพล่หลังแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา “นี่คือท่าทีเชิญคนของพวกท่านหรือ”
“คุณชายใหญ่อย่าได้ทำให้พวกเราต้องลำบากใจเลย”
ฉินหลิวซีเอ่ย “เอ๊ะ ข้าว่านี่เป็นการตั้งใจสารภาพออกมาเองนิดหน่อยแล้วนะ”
ทุกคนขมวดคิ้ว กำลังจะพูดอะไร
ฉินหลิวซีชี้ไปทางด้านหลังพวกเขา “ดูสิ มีงูตัวใหญ่…”
ทุกคนไม่ได้หันกลับไปมอง ลูกไม้ตื้นๆ แค่นี้ คิดว่าพวกเขาโง่หรือ
ไม่หลงกลหรอก ดูสิว่าท่านจะอายหรือไม่
ฉินหลิวซียิ้มกว้าง โบกมือให้พวกเขา และลากตัวอวี้ฉังคงเข้าไปในเส้นทางหยินที่แยกออก!
ทุกคนตกตะลึงปากอ้าตาค้าง และรีบพุ่งเข้าไปทันที แต่ก็พบแต่ความว่างเปล่า สีหน้าพวกเขาแสดงอารมณ์หลากหลาย
อวี้ฉังคงเดี๋ยวก็ถูกดึงเดี๋ยวก็ถูกลาก จนมาอยู่นอกตระกูลอวี้แล้ว เขาหันศีรษะกลับมองไปที่ซุ้มประตูหยกขาวของตระกูลอวี้ มองเข้าไปในตระกูลด้วยสีหน้าย่ำแย่เกินทน
คนในตระกูลเปลี่ยนท่าทีอย่างกะทันหัน คงเป็นเพราะฉินหลิวซีพูดอะไรบางอย่างถูกต้อง จนพวกเขารู้สึกร้อนตัว
ส่วนท่านปู่…
หัวใจอวี้ฉังคงบีบรัดเป็นระลอกๆ ดวงตาเบิกกว้างด้วยความโกรธสุดขีด