คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 836 ล้างสมองอวี้ฉังคง เก่าไม่ไปใหม่ไม่มา
บท
ที่ 836 ล้างสมองอวี้ฉังคง เก่าไม่ไปใหม่ไม่มา
อวี้ฉังคงมองซุ้มประตูตระกูลอวี้ด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความบ้าคลั่งทำลายล้าง ต้องการทำลายทั้งหมดนี้
ฉินหลิวซีเห็นกลิ่นอายชั่วร้ายไหลเวียนอยู่รอบตัว ราวกับว่ากำลังจะเปลี่ยนเป็นสีดำ นางยื่นมือออกไปกดไหล่เขาไว้
อวี้ฉังคงหันไปมองนาง ดวงตาของเขาแดงก่ำราวกับสีเลือด “นี่คือตระกูลอวี้ที่โลกทั้งโลกยกย่องขึ้นแท่นบูชาราวกับเทพ ท่านคิดว่ามันน่าขยะแขยงหรือไม่”
ฉินหลิวซีหันไปมองกลุ่มตระกูลอวี้ทั้งหมดนั้น โชคลาภนั้นมากมายมหาศาล แต่เมื่อคิดว่านั่นอาจได้มาเพราะการเหยียบย่ำลูกหลานที่โดดเด่นที่สุดและมีโชคแข็งแกร่งที่สุดของตระกูลอวี้จากรุ่นสู่รุ่นแล้ว สายตานางก็ฉายแววรังเกียจ
“จะน่าขยะแขยงหรือไม่ มันก็คือสัตว์ใหญ่ยักษ์ที่อยู่ตรงหน้าทเจ้า หากเรื่องเป็นไปอย่างที่ข้าคาดเดาไว้จริงๆ ฉังคง เจ้าจะต้องเป็นศัตรูกับทั้งตระกูล นี่ไม่ใช่แค่อาศัยอารมณ์โกรธแค้นของเจ้าเพียงอย่างเดียวแล้วจะลากมันลงจากแท่นบูชาได้” ฉินหลิวซีเอ่ยเรียบๆ
นี่คือกลุ่มตระกูลที่ยืนหยัดมาหลายร้อยปี แค่เขาคนเดียว จะต่อต้านได้หรือ
ฉินหลิวซีรู้สึกว่าเรื่องนี้ลึกลับมาก
อวี้ฉังคงสูดลมหายใจเข้าลึก หลับตาลงเล็กน้อย เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง น้ำเสียงก็กลับไปสงบเหมือนเดิม “ตอนนี้พวกเราไปสุสานบรรพชนใช่หรือไม่”
“อืม”
ตระกูลอวี้ โถงหมิงซิง
เมื่อได้ยินทหารยามบอกว่าอวี้ฉังคงและฉินหลิวซีหายไปเสียเฉยๆ กลางอากาศ หัวหน้าตระกูลอวี้และผู้อาวุโสทั้งหลายตั้งก็หน้าเปลี่ยนสี และโบกมือให้พวกเขาออกไป
“ดูท่าแล้ว นักพรตน้อยที่ฉังคงพามาคงจะไม่ได้มีพลังแค่นิดหน่อยแล้ว เกรงว่าจะไม่ด้อยไปกว่าท่านอาจารย์อารามเป่าหวาเท่าใด” ผู้อาวุโสรองมองหน้าหัวหน้าตระกูลอวี้ด้วยสายตามืดมน “อาคุน เจ้าว่าอย่างไร”
หัวหน้าตระกูลอวี้ยังไม่เอ่ยอะไร ผู้อาวุโสที่นั่งอยู่กลุ่มผู้อาวุโสรองของตระกูลซึ่งเล่นกับขวดยานัตถุ์อยู่ในมือก็เอ่ยขึ้น “จะว่าอย่างไรได้อีก เห็นชัดอยู่แล้วว่าฉังคงชักนำหมาป่าเข้ามาในคอกแกะ”
หัวหน้าตระกูลอวี้เอ่ยเสียงเข้ม “ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาพูดเรื่องพวกนี้กัน อารอง อาสาม เราควรจะไปเชิญท่านผู้นั้นที่อารามเป่าหวามาดีหรือไม่ นางพูดถึงเรื่องปลูกฐานชีวิตขึ้นมาแล้ว ข้ากลัวว่านางจะทำอะไรอีก”
“เจ้าไม่ควรพูดถึงการสร้างค่ายอาคมเลย อยากอวดฉลาดแต่กลับโง่” ชายชราที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับหัวหน้าตระกูลอวี้มองเขาด้วยสายตาไม่เป็นมิตร
สีหน้าหัวหน้าตระกูลอวี้แสดงว่าเขาเองก็ไม่คาดคิด “อาสี่ ความตั้งใจเดิมของข้าคือไม่อยากให้ฉังคงสืบเรื่องนี้ต่อ”
“ฉังคงถูกท่านพ่อท่านแม่เขาสอนให้เป็นพวกต่อต้านอยู่แล้ว เจ้ายิ่งพูดเช่นนี้ ก็ยิ่งเป็นการกระตุ้นเขาให้ต่อต้านมากขึ้น ไม่สืบต่องั้นหรือ เจ้าไม่สู้พูดออกมาเลยว่าต้องการเอาตัวเองออกจากเรื่องนี้ อวี้คุน เวลานี้จะมาเล่นบทปู่หลานผูกพันลึกซึ้งก็สายไปแล้ว ถ้าเจ้าไม่อยากเป็นหัวหน้าตระกูลแล้วก็สามารถหลีกทางให้คนอื่นได้”
สายตาอวี้คุนมีประกายความรุนแรงวาดผ่าน เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หากตระกูลหาคนที่สามารถรับโชคมหาศาลและรักษาโชคลาภร้อยปีของตระกูลอวี้ไว้ได้ จะให้หลานหลีกทางก็ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้”
เขาในยามนี้ไม่ได้ใจดีมีเมตตาเหมือนเวลาอยู่ต่อหน้าอวี้ฉังคงและฉินหลิวซีอีกแล้ว ทั้งร่างเขากลับมีความน่าเกรงขามและความโหดเหี้ยมของผู้ที่เหนือกว่าเอาไว้
และคำพูดของพวกเขาก็อดทำให้คนคิดไปไกลไม่ได้
“เอาล่ะ ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาเอ่ยเรื่องนี้ ไม่ว่าอย่างไร จะปล่อยให้คนกันเองมาทำลายโชคลาภของตระกูลอวี้ไม่ได้ รีบส่งคนไปเชิญท่านอาจารย์ที่อารามเป่าหวามา ชักช้าไปอาจจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงได้” ผู้อาวุโสรองเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา “แล้วก็รีบส่งข่าวไปบอกคนเฝ้าสุสานบรรพชนว่าอย่าให้พวกเขาเหยียบเข้าไปในสุสานได้ ใครฝ่าฝืนสังหารทันที”
ใครบางคนรับปากในความมืด
“อารอง…” หัวหน้าตระกูลอวี้ตกใจทันที
ผู้อาวุโสรองมองมา “อาคุน ตอนนี้นี้ไม่ใช่เวลาจะมาลังเล เป็นหัวหน้าตระกูลจะต้องโหดเหี้ยม และต้องมองภาพรวม ก่อนหน้านี้เจ้าก็ทำได้ดีมาก ทำไมตอนนี้ถึงได้กลัวโน่นกลัวนี่ขึ้นมาเล่า?”
“จะเพราะอะไรอีก ไม่ใช่เพราะฉังคงมองเห็นได้แล้วหรือ ข้าบอกแล้วว่า ดวงตาของเขาจะทำให้เป็นเรื่อง ควรจะตาบอดไปชั่วชีวิต พอหายดีก็สืบนั่นสืบนี้ อยู่ไม่นิ่งเลยสักนิด เหมือนบิดาของเขา รับตำแหน่งหลานชายคนโตของตระกูลอวี้ไม่ได้ ข้าว่าลิ่งหลานก็ไม่เลว รู้สึกมองภาพรวม ทั้งยังมีใจกล้าหาญ ไม่ยึดติดกับเรื่องเล็กๆ น้อย” ผู้อาวุโสสามเยาะออกมาเล็กน้อย
ผู้อาวุโสสี่เองก็เอ่ย “อวี้คุน เจ้าเองก็ต้องมีมั่นใจ ความลังเลจะนำไปสู่ความวุ่นวายไม่รู้จบ หากโชคลาภของตระกูลอวี้ขาดการสืบทอดไปเพราะคนผู้นี้คนเดียว ใครในที่นี้จะมีหน้าไปพบบรรพชนได้”
“ใช่ เรื่องดีเจ้าก็รับไปแล้ว จะปล่อยให้คนอื่นมาแบกรับความโชคร้ายไม่ได้” ผู้อาวุโสสามเอ่ยอย่างเย็นชา
หัวหน้าตระกูลอวี้หน้าแดงขึ้น ริมฝีปากเขาเม้มแน่นเป็นเส้นตรง “พวกท่านก็อย่าได้ลืมว่า ฉังคงก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าท่านพ่อเขา และเป็นคนโดดเด่นที่สุดในรุ่นนี้”
ทุกคนตกนิ่งไปทันที ตามมาด้วยการเยาะหยัน “แล้วจะอย่างไร ต่อให้โดดเด่นแค่ไหน ถ้าไม่สามารถทำประโยชน์ให้กับตระกูลอวี้ได้ กลับจะเป็นตัวถ่วง แล้วจะมีประโยชน์อะไร เขาแซ่อวี้ ก็ต้องทำเพื่อบรรพชนที่ให้แซ่นี้กับเขา ไม่อย่างนั้นตระกูลอวี้ก็ไม่ได้ขาดหลายชายคนโต”
“อวี้คุน ถ้าเขากล้าทำอะไรที่ไม่เป็นผลดีต่อตระกูลเรา ตระกูลก็ไม่มีทางยอมรับว่ามีลูกหลานเช่นนี้ จุดจบของคนทรยศ เจ้าเป็นหัวหน้าตระกูลก็น่าจะเข้าใจดี เตรียมตัวไว้เถิด” ผู้อาวุโสสี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาอีกครั้ง
หัวหน้าตระกูลอวี้กำหมัดแน่น เขาหลับตาลงเล็กน้อย สีหน้าของเขาดูหมองเศร้าและอดกลั้น
และในเวลานี้อวี้ฉังคงและฉินหลิวซีก็มาถึงบริเวณใกล้กับสุสานบรรพบุรุษแล้ว บนตัวเขายังมียันต์ล่องหนติดอยู่ ตอนแรกเขารู้สึกงุนงงเล็กน้อย แต่เมื่อเขามาถึงทางเข้าสุสานบรรพบุรุษ และได้เห็นคนที่เฝ้าทางเข้าอยู่ ใบหน้าหล่อเหลาของเขาก็ดำมืดลงเล็กน้อย
ตอนนี้คงยากที่จะไม่เชื่อว่าสุสานบรรพบุรุษนั้นไม่มีอะไรผิดปกติ
ป้องกันเช่นนี้ กีดกันใครก็เห็นได้ชัดอยู่
ฉินหลิวซีเดินเข้าไปข้างในกับเขาพลางเอ่ย “อันที่จริงความจริงก็ใกล้เข้ามามากแล้ว ฉังคง สิ่งที่เจ้าควรคิดคือ จะเป็นศัตรูกับคนทั้งตระกูลได้อย่างไร”
ความหมายเป็นเช่นนั้น พวกเขากำลังปิดกั้นไม่ให้อวี้ฉังคงขุดค้นความลับลึกลงไปมิใช่หรือ
คนที่พวกเขากีดกัดอยู่ก็คือเขา
แต่ถ้าจะให้พูดไม่น่าฟังสักหน่อย ต่อให้อวี้ฉังคงรู้แล้วจะอย่างไร วิชานี้ทำกันมานานเป็นสิบกว่าปีแล้ว บิดามารดาเองก็ไม่อยู่แล้ว กระทั่งวิญญาณก็ไม่อยู่แล้ว เขาคนเดียวจะต่อกรกับทั้งตระกูลอวี้ได้อย่างไร?
ดูท่าตระกูลอวี้เองก็คงใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้เช่นกัน ต่อให้เขาเปิดเผยความลับนี้ พวกเขาก็ยังมีความมั่นใจไม่เกรงกลัวอะไรอยู่ดี เพราะเป็นตระกูลอวี้
อวี้ฉังคงเยาะ “ถ้าอย่างนั้นมันก็จะเป็นเหตุผลที่เหมาะสมให้ข้าละทิ้งจากไปอยู่ดี ตระกูลนี้แซ่นี้ไม่มีก็ได้”
“เหอะ เจ้าก็ยังเป็นอวี้ฉังคงอยู่ จะจากไปอย่างนี้น่ะหรือ ไม่รู้สึกผิดต่อบิดามารดาที่สั่งสอนอบรมเจ้ามาบ้างหรือ ตระกูลอวี้ผิดต่อเจ้าก่อน มีเหตุจึงมีผล เจ้าต้องการทวงความยุติธรรม สวรรค์ก็ว่าอะไรไม่ได้” ฉินหลิวซีล้างสมองเขาด้วยท่าทางรังเกียจความเอาไหน “จะจากไปก็ได้ แต่ตระกูลอวี้อย่าได้คิดว่าจะอยู่ดีมีสุข ไม่ทำให้พวกเขาวุ่นวายจนแก้ปัญหาไม่ทัน และถอยหลังกลับไปสองร้อยปี แล้วจะระบายแค้นนี้ไปได้อย่างไร บิดามารดาของเจ้าจะสงบใจได้หรือ”
อวี้ฉังคงหันหน้าไปมองนาง
“ตระกูลเกิดขึ้นได้เพราะบรรพบุรุษเป็นคนสร้างขึ้น บรรพบุรุษของเจ้าสร้างขึ้นได้ แล้วทำไมเจ้าจะสร้างไม่ได้ ตระกูลอวี้ในวันนี้ไม่เหมือนตระกูลอวี้ในอดีต ล้วนแต่เป็นทายาทรุ่นหลังของบรรพบุรุษ พวกเขาแซ่อวี้และสามารถเซ่นไหว้บูชาได้ เจ้าก็ทำได้เหมือนกัน ใครบ้างจะไม่มีบรรพบุรุษ”
อวี้ฉังคงเริ่มงุนงง “ทำไมคำพูดของท่านฟังแล้วเหมือนกับเล่นลูกไม้หน้าด้านๆ อย่างนั้นเล่า?”
ฉินหลิวซีส่ายศีรษะอย่างจริงจัง “ข้ากำลังบอกเจ้าว่า เก่าไม่ไปใหม่ไม่มา ทำลายก่อนแล้วค่อยสร้างใหม่!”