คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 864 ผู้ใดคิดเล็กคิดน้อยกับข้า ข้าจริงจังแน่
- Home
- คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า
- ตอนที่ 864 ผู้ใดคิดเล็กคิดน้อยกับข้า ข้าจริงจังแน่
ตอนที่ 864 ผู้ใดคิดเล็กคิดน้อยกับข้า ข้าจริงจังแน่
กองทัพโครงกระดูกเป็นอย่างไร
หลังจากที่ฉินหลิวซีเคยเห็นกองทัพโครงกระดูกนับหมื่นของชื่อเจินจื่อ ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใหม่อะไรแล้ว กองทัพโครงกระดูกในป่านี้ไม่น่ากลัวเท่ากองทัพในค่ายอาคมนั้น เพียงดูน่าขยะแขยงและมีกลิ่นเหม็นเน่า ยิ่งไปกว่านั้น บางโครงกระดูกยังมีหนอนเกาะอยู่ เมื่อพวกมันขยับ หนอนเหล่านั้นจะกระเด็นมาใส่เจ้า ถ้าเผลอเปิดปากล่ะก็ หึๆ ความรู้สึกนั้นสุดจะบรรยาย
ทุกคนเห็นโครงกระดูกที่กองอยู่บนพื้นเหล่านั้นราวกับมีชีวิต เริ่มขยับแกร๊กๆ รวมตัวกันโจมตีมาทางพวกเขา ทยอยหยิบอาวุธอาคมของตัวเองออกมา แม้แต่องครักษ์ที่หน้าซีดเซียวก็ต้องฝืนใจนำดาบออกมาฟัน
แต่ไม่ว่าพวกเขาจะทำลายโครงกระดูกได้กี่ครั้ง พวกมันก็จะประกอบขึ้นมาใหม่เรื่อยๆ
บึ้ม
เสียงระเบิดดังขึ้น ไฟสว่างวาบ
ซู่หมิงมองตามเสียงไป เห็นเถิงเจาถือยันต์หลายแผ่นโยนไปยังโครงกระดูกทีละแผ่นๆ ทำให้โครงกระดูกระเบิดกระจายเป็นชิ้นๆ
นี่มันยันต์ระเบิดไฟหรือ
เถิงเจาระเบิดโครงกระดูกหนึ่งตัว เห็นองครักษ์ฝั่งนั้นกำลังทำอะไรไม่ถูก โครงกระดูกห้อมล้อมไปทางพวกเขา จึงโยนยันต์ไปอีกหนึ่งแผ่น
ครืน
ยันต์ห้าสายฟ้า
ซู่หมิง “…”
ยันต์ห้าสายฟ้ามีค่ามากนะ ระเบิดโครงกระดูกเพียงไม่กี่ตัวใช้ไปตั้งหนึ่งแผ่น สิ้นเปลืองมาก
ปวดใจยิ่งนัก
สิ่งที่ทำให้เขายิ่งปวดใจก็คือ เจ้าเด็กอายุไม่ถึงสิบขวบนั่นยังมีหนึ่งแผ่น หรือสองแผ่น
ซู่หมิงเริ่มมึนงง
ที่แท้นี่ก็คือสิ่งที่นางบอกว่าใช้ยันต์ทุบมันให้ตาย ร่ำรวยจริงๆ
ทุกคนไม่เข้าใจ แต่เห็นนางถือยันต์และเห็นเถิงเจาใช้ยันต์อย่างฟุ่มเฟือย ตามด้วยคำสั่งของปรมาจารย์ไท่เฉิง ทุกคนรีบถอยไปยังจุดที่นางบอก
ฉินหลิวซีเสริมพลังไฟนรกเข้าไปในยันต์ห้าสายฟ้า โยนเข้าไปในกองโครงกระดูก เสียงฟ้าผ่าดังสนั่น ไฟลุกไหม้
ทุกคนรู้สึกถึงความร้อน ยกแขนเสื้อขึ้นมาปิดหน้า คล้ายได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนของวิญญาณ ทำให้แก้วหูเจ็บปวด
เนิ่นนาน เสียงกรีดร้องค่อยๆ หายไป พวกเขามองไปอีกครั้ง โครงกระดูกแหลกสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน ถูกลมพัดปลิวไปในป่าลึก
จบแล้วเหรอ
แล้วที่พวกเขาสู้กันเหนื่อยหอบเมื่อครู่คืออะไรกัน
เฉิงหยางจื่อมองไปที่ฉินหลิวซี เอ่ยชื่นชม “ที่อารามชิงผิงมีคนเก่งจริงๆ นักพรตน้อยยอดเยี่ยมมาก ช่วยเหลือได้มากแล้ว”
“ท่านชมเกินไปแล้ว ข้าเป็นเพียงคนอาศัยบารมีบรรพบุรุษ ดูสิ ยันต์ห้าสายฟ้าแต่ละใบ ใช้ไปหนึ่งก็หมดไปหนึ่ง ขุดรากถอนโคนอารามหมดแล้ว” ฉินหลิวซีกวาดตามองพวกเขา “ข้าใช้ยันต์บรรพบุรุษทำงานใหญ่ ช่วยท่านประหยัดแรงเพียงนี้ พวกท่านควรแสดงน้ำใจบ้างหรือไม่”
ทุกคน “?”
ไม่ใช่ว่า คนทั่วไปได้รับคำชมจะต้องภูมิใจหรือถ่อมตน แต่นางกลับต้องการให้พวกเขาให้รางวัล นี่มันเรื่องอะไรกัน ความคิดไม่เหมือนใครจริงๆ
ปรมาจารย์ไท่เฉิง มาแล้ว หลุมกับดักที่คุ้นเคย
“อารามชิงผิงก็เป็นฝ่ายกำจัดปีศาจรักษาความยุติธรรมเช่นกัน การออกแรงรับมือกับสิ่งชั่วร้ายเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องปกติหรอกหรือ” มีนักพรตอายุราวสามสิบฉายาฉังซิงขมวดคิ้วเอ่ยขึ้นอย่างรู้สึกไม่พอใจ
ฉินหลิวซีส่งเสียงหึ “ท่านหมายความว่าข้าออกแรงต่อสู้จนหัวหลุด เพื่อให้ท่านได้ของรางวัลสบายๆ อย่างนั้นใช่หรือไม่”
ใบหน้าของนักพรตฉังซิงเปลี่ยนสีเป็นเขียว “ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้นเลย”
“เช่นนั้นก็ขี้โกง[1]แล้ว”
นี่ ไม่ใช่ความหมายเดียวกับก่อนหน้านี้หรอกหรือ
นักพรตฉังซิงโกรธจนเคราสะบัดไปมา “เจ้ากำลังเถียงข้างๆ คูๆ”
“ที่ใดกัน ข้าเป็นคนพูดตรงไปตรงมา ไม่พูดจาอ้อมค้อม เพราะกลัวคนไม่เข้าใจเลยไม่เอ่ยคำหวาน[2]”
นักพรตฉังซิง “…”
เจ้าอย่าคิดว่าข้าไม่เข้าใจว่าที่เจ้าพูดนั้นกำลังด่าว่าข้าโง่
เห็นท่าว่าทั้งสองคนจะทะเลาะกัน ปรมาจารย์ไท่เฉิงรีบเอ่ยขึ้น “นี่ๆ สหายนักพรตฉังซิงจะเอาเรื่องกับนักพรตน้อยไปทำไม นางเพียงต้องการคลายบรรยากาศ ทุกคนล้วนเป็นผู้เดินทางสายเดียวกัน สถานที่แห่งนี้ลึกลับแปลกประหลาด ไม่ควรอยู่ที่นี่นาน เรารีบตามหาคนดีกว่า”
นักพรตฉังซิงส่งเสียงหยัน
ฉินหลิวซีอยากจะพูดว่าข้าไม่ได้ล้อเล่นนะ ใครมาคิดเล็กคิดน้อยกับข้า ข้าจะจริงจังแล้ว
แต่นางเห็นแววตาของปรมาจารย์ไท่เฉิง ที่กำลังส่งสัญญาณ กลับไปจะชดเชยให้เจ้าหนึ่งแผ่น รีบหยุดเถอะ
ฉินหลิวซีชูสองนิ้วขึ้น
ปรมาจารย์ไท่เฉิงกัดริมฝีปากหนึ่งครั้ง พยักหน้าตกลง
บรรพบุรุษของข้า เขารู้สึกว่าครั้งนี้จะขาดทุน
ฉินหลิวซีเห็นว่าปรมาจารย์ไท่เฉิงจะให้รางวัล จึงเรียกลูกศิษย์มา “ตามอาจารย์มา โครงกระดูกเป็นเพียงทัพหน้า ข้างในยังไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร อย่าไปไกล”
เถิงเจาเดินตามนางมาอย่างเชื่อฟัง
กลุ่มคนเดินต่อไป รู้สึกว่าเดินมาชั่วยามแล้ว ทุกคนแทบเปียกชุ่มไปด้วยน้ำค้างเย็นถึงกระดูก แต่กลับไม่พบใครเลย
“ท่านอาจารย์ ไม่ปกตินัก พวกเราเหมือนเดินเป็นวงกลมวนอยู่ที่เดิม” เสวียนชิงจื่อขมวดคิ้วดึงปรมาจารย์ไท่เฉิงเอาไว้
ปรมาจารย์ไท่เฉิงสังเกตนานแล้วแต่ไม่เอ่ยออกมา เขากำลังลอบใช้เวทมนตร์แก้ไขวงกลมปีศาจนี้อยู่
ยามนี้หมอกหนา ในหมอกยังมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ทำให้เหนื่อยล้า ไม่ว่าเขาจะใช้ยันต์หรือเวทมนตร์ ก็ไม่สามารถทำลายวงกลมปีศาจนี้ได้
“หยุดกันก่อน” ปรมาจารย์ไท่เฉิงบอกกับทุกคน “นี่คือวงกลมปีศาจ ข้าใช้วิธีทำลายหลายวิธีแต่ไม่สำเร็จ ไม่รู้ว่าสหายนักพรตมีวิธีหรือไม่ ลองดูสักหน่อยเถิด”
เดินมาเป็นชั่วยาม สีหน้าของทุกคนไม่ดีนัก โดยเฉพาะองครักษ์ที่ไม่มีเวทมนตร์คาถา หากพวกเขาไม่มีพลังหยางมากพอ คงไม่อาจตามมาได้แล้ว
“ข้าจะลองดู” เฉิงหยางจื่อรู้สึกผิดปกติมานานแล้ว หยิบแท่นค่ายอาคมออกมา เอายันต์ออกมาอีกสองสามแผ่น ใช้แส้หางม้าปัดถามเทพเจ้า เดินส่องแสง ร่ายเวทมนตร์ท่องคาถา แส้หางม้าลอยออกจากมือ ปึก
แส้หางม้าราวกับชนเข้ากับกำแพง ถูกสะท้อนกลับมา
เฉิงหยางจื่อโดนผลสะท้อน เลือดสีเข้มไหลออกจากมุมปาก สีหน้าอ่อนแรง
“ท่านอาจารย์” ซู่หมิงตกใจรีบไปพยุง
สีหน้าของทุกคนแย่ลงเรื่อยๆ แม้แต่ปรมาจารย์ไท่เฉิงและเฉิงหยางจื่อที่มีฝีมือสูงสุดก็ไม่สามารถทำลายวงกลมปีศาจนี้ได้ แล้วพวกเขาเล่า
แต่เพราะทุกคนได้รับคำเชิญจากเฉิงเอินโหว จำเป็นต้องแสดงฝีมือ พวกเขาจึงใช้วิธีต่างๆ นานาที่ตนถนัด
เถิงเจายืนมองตาไม่กะพริบมองวิชาคาถาของทุกคน อาจารย์เคยบอกว่า เวทมนตร์มีหลากหลาย แต่ละสำนักมีความชำนาญเฉพาะตัว เขาอายุน้อยไม่ต้องทำอะไร แค่มองและจำไว้ ดูเวทมนตร์ของคนอื่นโดยไม่ต้องเสียเงิน…ไม่ใช่สิ เพียงแค่ซึมซับความรู้ใส่สมองเท่านั้น
ดังนั้นทุกคนผลัดกันแสดง แต่ไม่เป็นผล เถิงเจาดูเวทมนตร์หลายอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน สมองก็คิดอะไรไปเอง ไม่เชื่อฟัง
ดูโดยไม่ต้องเสียเงินนี่มันสุดยอดจริงๆ
ทุกคนแสดงเวทมนตร์ แต่ไม่สำเร็จ หน้าเขียวขึ้นเรื่อยๆ
พวกเขานึกถึงคำพูดของฉินหลิวซีที่บอกว่าไม่มีความมั่นใจ จึงไม่สัญญาว่าจะพาคนกลับมาอย่างไร ตอนนี้พวกเขาเข้าใจแล้ว รู้สึกเจ็บหน้าขึ้นมาเล็กน้อย
แต่พอนึกถึงคนผู้นี้ เหมือนฉินหลิวซียังไม่แสดงฝีมือ
เฉิงหยางจื่อจับแขนซู่หมิงเดินมาหาฉินหลิวซี “นักพรตน้อย ไม่รู้ว่ามีเวทมนตร์ทำลายค่ายอาคมนี้หรือไม่”
ใช่แล้ว ถ้าเป็นเพียงแค่วงกลมปีศาจธรรมดา พวกเขาคงไม่ถูกขังไว้ในนี้ทั้งหมด มีคำอธิบายเดียวก็คือค่ายอาคมนี้อาจมีการเสริมเวทย์มนตร์ชั่วร้ายบางอย่าง
ฉินหลิวซีมองไปที่พวกเขา “ผู้ใดบอกพวกท่านว่านี่เป็นค่ายอาคมชั่วร้าย”
[1] เป็นสแลงในภาษาจีนที่หมายถึงการใช้หรือได้รับประโยชน์จากบางสิ่งโดยไม่จ่ายเงินหรือไม่ให้สิ่งตอบแทนใด ๆ
[2] หมายถึงการพูดคำที่ดูดี ฟังแล้วเหมาะสมกับสถานการณ์ แต่ขาดความจริงใจหรือไม่ได้มาจากความรู้สึกจริง ๆ มักใช้เพื่อรักษามารยาทหรือสร้างความประทับใจให้กับผู้อื่นในสถานการณ์ทางสังคม