คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 882 ผู้ใดให้ความกล้านี้กับนาง
ตอนที่ 882 ผู้ใดให้ความกล้านี้กับนาง
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในชั่วพริบตา มีทั้งคนยินดีและคนกลัดกลุ้มใจในเวลาเดียวกัน ยินดีที่เด็กน้อยถูกช่วยชีวิตแต่ก็ถูกงูฉก และกลัดกลุ้มใจเพราะไม่รู้คนที่ช่วยชีวิตเด็กน้อยนั้นเป็นมิตรหรือศัตรู โดยเฉพาะเหล่าบรรดาคนรับใช้ ที่อยากจะตายให้รู้แล้วรู้รอด
หากเป็นศัตรู นายน้อยของพวกเขาถูกนางป้อนยาเรียบร้อยแล้ว เช่นนี้ก็แสดงว่านายน้อยคงต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย แล้วพวกเขาที่เป็นคนรับใช้ ไม่เท่ากับว่าต้องตายตามไปด้วยอย่างนั้นหรือ
ฉินหลิวซีฉีกขากางเกงของเด็กน้อยออก เผยให้เห็นบาดแผลที่ถูกงูฉก เวลานี้บาดแผลบวมเป็นอย่างมาก บริเวณรอบๆ แผลดำช้ำเป็นวงกว้าง
นางกวาดตามองรอบๆ จากนั้นก็ดึงผ้าผูกผมออกจากมวยผมบนศีรษะของสาวใช้ที่อยู่ใกล้ที่สุด นำผ้าผูกผมพันรอบบาดแผลจนแน่น แล้วจึงค่อยจับชีพจรของเขา ชีพจรวิ่งเร็วเป็นอย่างมาก พิษของงูตัวนี้รุนแรงจริงๆ
ต้องรีบขจัดพิษของงูก่อนเป็นอันดับแรก
ฉินหลิวซีหยิบเอามีดเล่มเล็กออกจากถุงผ้าที่นางมักจะพกติดตัวตลอดเวลา เล็กขนาดไหนน่ะหรือ เล็กขนาดที่ว่าใส่นิ้วมือเข้าไปได้เพียงแค่นิ้วเดียวเท่านั้น หากจะบอกว่าเป็นมีด อันที่จริงมันก็คือมีดหั่นธรรมดาทั่วไป ทว่าเล่มนี้ค่อนข้างเล็กกะทัดรัด พกพาสะดวก เป็นมีดที่นางมักจะใช้ในการผ่าตัดอยู่เสมอ
เมื่อเห็นนางหยิบเอามีดออกมา เหล่าบรรดาคนใช้ต่างก็ตกใจเป็นอย่างมาก รีบออกมาห้ามนางทันที ไม่กล้านิ่งเฉยต่อ “ท่านจะทำอะไร”
ทันใดนั้นเอง จู่ๆ ก็มีเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงตะโกนดังลั่น ผู้ที่มาก็คือคนในตระกูลของคุณชายน้อยคนนี้นั่นเอง ผู้คนต่างก็พากันหลีกทางให้ หญิงสาวใบหน้าซีดเผือดนางหนึ่งรีบโผเข้าหาเด็กน้อยพร้อมกับร้องเรียกด้วยความตกใจ “เซิ่งเอ๋อร์”
ทันทีที่หญิงสาวได้เห็นบาดแผลอันบวมช้ำจนกลายเป็นสีม่วงของเด็กน้อยแล้ว เห็นได้ชัดว่าใบหน้าที่ขาวซีดนั้นตกใจอย่างสุดขีด จากนั้นก็หน้ามืดเป็นลมหมดสติจนหงายหลังไป
“ซื่อจื่อฮูหยิน” คนที่อยู่ด้านหลังนางตะโกนเรียกด้วยความตกใจพร้อมกับรีบเข้าไปประคองนาง จากนั้นก็กดไปที่ร่องเหนือริมฝีปากอย่างเต็มแรง จะมาเป็นลมหมดสติตอนนี้ไม่ได้เป็นอันขาด
ฉินหลิวซีเหลือบมองอยู่ครู่หนึ่ง เสื้อผ้าที่หญิงสาวผู้นี้สวมใส่นั้นไม่ธรรมดา ดูมีฐานะสูงส่ง ทั้งยังมีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับเด็กน้อยคนนี้อีกด้วย ใบหน้าของทั้งสองละไม้คล้ายคลึงกัน คงจะเป็นแม่ลูกกันอย่างไม่ต้องสงสัย ดูจากบุคลิกภายนอกแล้ว เกรงว่าคงจะเป็นตระกูลสูงศักดิ์ในเมืองหลวงอย่างแน่นอน
นางเดาไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย นี่คือคนในจวนเจิ้นกั๋วกง เจิ้นกั๋วกงคือผู้สืบทอดสมัยที่สี่ มาตอนนี้ถือว่าเป็นสมัยสุดท้ายแล้ว หากมีการสืบทอดต่อ ก็จะมาถึงรุ่นของเด็กน้อยคนนี้ และในภายภาคหน้าก็จะถูกลดบรรดาศักดิ์เหลือเป็นตำแห่งโหวแทน
เด็กน้อยคนนี้ก็คือหรงเซิ่ง หลานชายสายเลือดหลักของเจิ้นกั๋วกง บุตรชายของสะใภ้หรงหนิง
พอหรงฮูหยินฟื้นขึ้น ก็ถูกคนรอบข้างเตือนสติ นางรีบโผเข้าไปหาเด็กน้อยอีกครั้ง “บุตรชายที่น่าสงสารของข้า”
“หยุดร้องไห้ได้แล้ว พิษงูชนิดนี้ต้องรีบจัดการทันที มิเช่นนั้นหากพิษแล่นเข้าสู่หัวใจก็จะไม่ทันการแล้ว สรุปจะรักษาหรือไม่”
“ท่าน ท่านเป็นหมอรึ”
“อืม”
คนรับใช้คนหนึ่งกัดลิ้นตนเองเต็มแรง ความเจ็บที่ปลายลิ้นทำให้เขาได้สติไม่น้อย เขารีบเล่าเหตุการณ์ที่ฉินหลิวซีและเฟิงซิวเข้ามาจับงูและช่วยเด็กน้อยเอาไว้อย่างรวดเร็ว
หรงฮูหยินหันไปมองเฟิงซิวที่กำลังจับงูขนาดรอบลำตัวราวเจ็ดนิ้วทั้งสองตัวเหวี่ยงฟาดไปมาแล้ว ก็รู้สึกเวียนหัวจะเป็นลมอีกครั้ง จึงรีบละสายตา พลางหันกลับไปเอ่ยกับฉินหลิวซีว่า “ท่านหมอช่วยลูกข้าด้วย”
ตอนนี้นางไม่มีเวลามานั่งคิดอะไรมากมาย ความน่ากลัวของงูพิษ นางรู้ซึ้งเป็นอย่างดี นอกจากไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายแล้ว ยังต้องรีบขับพิษออกให้เร็วที่สุดอีกด้วย หากมัวแต่รอหมอหลวง ย่อมไม่ทันการอยู่แล้ว
ฉินหลิวซีได้ยินแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ หยิบเอามีดเล่มเล็กกรีดไปยังบาดแผลที่บวมช้ำเป็นรูปกากบาท เด็กน้อยรู้สึกเจ็บแปล๊บขึ้นมา ร้องไห้เสียงดังลั่น
หรงฮูหยินปวดใจประหนึ่งถูกกรีดแทงก็ไม่ปาน นางทนต่อไม่ไหว จึงเข้าไปกอดบุตรชายพลางพูดปลอบโยน “ไม่ต้องกลัว แม่อยู่นี่แล้ว”
แต่ไม่พูดก็ยังพอว่า พอพูดออกมาแล้วเด็กน้อยกลับร้องไห้หนักกว่าเก่าด้วยความน้อยใจ แถมยังจะดิ้นอีกด้วย
ฉินหลิวซีจึงเอ่ยขึ้นว่า “หากยังร้องอีก ข้าจะปล่อยงูแล้วนะ”
เสียงร้องไห้ชะงักไปทันควัน
คนของจวนเจิ้นกั๋วกงไม่มีใครเลยที่ไม่จ้องมองฉินหลิวซีตาเขม็ง แม้แต่เด็กน้อยก็ตกใจเป็นอย่างมาก เกินไปแล้ว!
หรงฮูหยินเองก็ไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่นัก ทว่าเมื่อเห็นเลือดสีดำทะลักออกมาจากบาดแผลของบุตรชายแล้วก็รู้สึกหูอื้อตาลายไปหมด ทำได้เพียงกอดบุตรชายแน่นพร้อมกับปลอบโยนเสียงเบา
ฉินหลิวซีเหลือบมองหรงเซิ่ง พลางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “ลูกผู้ชายหลั่งเลือดไม่หลั่งน้ำตา โดนงูฉกแค่นี้จะร้องไห้ไปทำไมกัน”
เซิ่อเอ๋อร์คิดไม่ตกจริงๆ เขาซบเข้าหาอ้อมกอดของมารดาอย่างไร้เรี่ยวแรง ส่วนฉินหลิวซีก็เริ่มทำการรีดพิษออกจากบาดแผล
“ใช้วิธีบีบเค้นเช่นนี้จะได้ผลหรือ ให้บ่าวช่วยดูดพิษออกดีหรือไม่” บ่าวรับใช้ชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุกข์ใจ
ฉินหลิวซีบีบเค้นบาดแผลพร้อมกับเอ่ยขึ้น “ใช้วิธีรีดพิษได้ เหตุใดถึงต้องใช้วิธีดูด ดูดแล้วจะสะอาดหมดจดอย่างนั้นหรือ อย่าชมละครเยอะเกินไป ถูกงูฉกแล้วต้องรีบดูดพิษออก กรีดบาดแผลแล้วใช้วิธีบีบเค้นพิษก็ได้เช่นกัน ใครจะไปรู้ว่าปากของเจ้ามีบาดแผลอื่นหรือเปล่า มีโรคประจำตัวหรือไม่ หากเกิดการติดเชื้อซ้ำซ้อนขึ้นมา จะยิ่งแย่ไปกันใหญ่”
บ่าวรับใช้ชายได้ยินแล้วก็สีหน้าเหยเกไปในทันที
ฉินหลิวซีว่องไวเป็นอย่างมาก ทั้งกดทั้งบีบเค้น รอให้เลือดกลายเป็นสีแดงนางจึงค่อยหยุดลง จากนั้นก็โรยผงยาจินชวงลงบนบาดแผล แล้วจึงนำผ้าสะอาดมาพันจนมิดชิด เพียงครู่เดียวทุกอย่างก็เสร็จสิ้น สุดท้ายจึงค่อยจับชีพจรของเด็กน้อยอีกครั้ง
“ชีพจรคงที่แล้ว ข้าน้อยป้อนยาถอนพิษไปเรียบร้อย ตอนนี้นับว่าพ้นขีดอันตรายมาแล้ว หากกลับไปแล้วไม่วางใจก็ให้หมอมาตรวจใหม่และทำแผลให้อีกรอบ ดื่มยาต้มที่มีฤทธิ์ขับความร้อนและชะล้างสารพิษ” ฉินหลิวซีเช็ดมีดจนสะอาด จากนั้นก็ร่ายอาคมชะล้าง แล้วจึงนำอุปกรณ์เหล่านี้เก็บใส่ถุงผ้า
“ขอบคุณท่านหมอ มิทราบว่าท่านหมอมีนามว่าอย่างไร จวนเจิ้นกั๋วกงของข้าจะจดจำบุญคุณอันใหญ่หลวงครั้งนี้ไว้เป็นอย่างดี”
“ข้าน้อยแซ่ฉิน จดจำบุญคุณก็ไม่ต้องแล้ว ยาถอนพิษของข้าน้อยราคาค่อนข้างแพง ท่านจ่ายค่ารักษาเถิด” ฉินหลิวซีเอ่ยขึ้น
หรงฮูหยินรีบตอบกลับ “แน่นอนอยู่แล้ว ไม่ทราบว่า…”
“ข้าน้อยขอค่ารักษาหนึ่งพันตำลึง ส่วนนี่คือยาถอนพิษ สามารถใช้ถอนพิษร้อยชนิด ลดราคาเหลือสองพันตำลึง”
หรงฮูหยินชะงักไปชั่วขณะ “?”
ฝูงชนที่มุงดูต่างก็สูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ด้วยความตกตะลึง
โลภมากเกินไปกระมัง
นางกล้าเกินไปแล้ว!
ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายได้เปิดเผยฐานะออกมาอย่างชัดเจน ซึ่งก็คือจวนเจิ้นกั๋วกงอันสูงศักดิ์ ทว่านางกลับยังกล้าเรียกค่ารักษาแพงขนาดนี้ ผู้ใดเป็นคนให้ความกล้านี้กับนางกัน
“แพงไปหรือ”
พอหรงฮูหยินได้สติ ก็ยิ้มกว้างขึ้นมาทันที “ไม่แพง ไม่แพง”
“ย่อมไม่แพงอยู่แล้ว ชีวิตของคุณชายน้อยจวนเจิ้นกั๋วกงมีค่ายิ่ง หากจวนเจิ้นกั๋วกงจะติดเป็นบุญคุณ คงจะไม่ใช่ราคานี้อย่างแน่นอน จ่ายขาดด้วยราคาสามพันตำลึง ไม่แพงเลย” ฉินหลิวซียิ้มขึ้นจางๆ
หรงฮูหยินได้ยินแล้ว ดวงตาก็เป็นประกายขึ้นมาทันที เช่นนี้ก็แสดงว่านางรับค่าจ้างในการรักษา ไม่ให้จวนเจิ้นกั๋วกงติดหนี้บุญคุณนางอย่างนั้นหรือ
สิ่งที่เรียกว่าบุญคุณ ไม่สามารถใช้เงินตรามาตีค่าราคาได้ มันเป็นการให้คำมั่นสัญญา อีกฝ่ายสามารถยึดบุญคุณในครั้งนี้ เรียกร้องความต้องการอื่นๆ เช่นตำแหน่งข้าราชการระดับสูงเป็นต้น
ทว่าฉินหลิวซีไม่ต้องการให้ติดเป็นหนี้บุญคุณ นางเลือกที่จะรับเป็นเงินแทน จะได้จบเรื่องราวเสียตรงนี้
อันที่จริงหรงฮูหยินยินดีเป็นอย่างมาก จ่ายด้วยเงิน ดีกว่าติดหนี้บุญคุณเป็นไหนๆ ใครจะไปรู้ว่าอีกฝ่ายจะขออะไร
นางหันไปมองคนรับใช้ข้างกาย หมัวหมัวคนใช้ก็รีบหยิบเอาตั๋วเงินออกมาจากถุงผ้า ทว่าพวกนางเดินทางมาไหว้พระ จึงไม่ได้พกเงินติดตัวมามากมายเท่าไหร่นัก พอรวบรวมแล้ว ทั้งหมดมีเพียงหนึ่งพันห้าร้อยตำลึงเท่านั้น
ขายหน้าจะแย่!