คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 889 ถ่ายทอดศาสตร์ฝังเข็ม เชิญชวนผู้ศรัทธา
ตอนที่ 889 ถ่ายทอดศาสตร์ฝังเข็ม เชิญชวนผู้ศรัทธา
เมื่อมาถึงเมืองหลวง ตระกูลฉินเองก็ถูกกลับคำพิพากษาแล้ว ทว่าฉินหลิวซีไม่ได้กลับไปที่จวนฉิน กระทั่งไม่ให้ใครไปบอกกล่าวสักคำ ถึงแม้จะมีคนตระกูลฉินอยู่ที่นี่ แต่นางก็ยังพักอยู่ร้านยาตำหนักอายุวัฒนะหนึ่งคืน วันต่อมาเมื่อถึงยามเฉิน หมิงหุยก็พาคนมา จากนั้นนางก็ฝังเข็มให้เขาตามที่ตกลงก่อนหน้านี้
เพียงแต่นางยังคิดไม่ถึงว่า นอกจากหมอหลวงที่ติดตามหมิงหุยมาแล้ว ยังมีท่านผู้เฒ่า ซึ่งก็คืออ๋องสกุลพระราชทานหมิงอ๋องโผล่มาด้วย
ท่านผู้เฒ่าสูงศักดิ์ดูมีราศี รูปร่างอ้วนท้วม ใบหน้าอวบอิ่ม ดูทรงอายุราวๆ ห้าสิบหกสิบ สวมชุดสีแดงชาดคลุมทั้งร่าง บนศีรษะประดับด้วยกวานสีทอง พอปริแก้มยิ้มที ตาก็ยิ้มหยีกลายเป็นร่องแคบ
ตระกูลหมิงมีลูกโทนสืบสกุลมาเก้าชั่วคนแล้ว ทุกๆ รุ่นจะปรากฏเพียงบุรุษคนเดียว โดยที่ไม่มีบุตรอื่นๆ โผล่มาอีก แม้แต่หญิงสาวก็ไม่มีสักคน ถึงแม้ภรรยาที่คนรุ่นก่อนแต่งเข้าเรือนจะดูท่าทางคลอดลูกง่าย แต่สุดท้ายก็เหลือเพียงลูกโทนสืบทอดต่อกันมา
กระทั่งรุ่นของหมิงอ๋อง เพิ่งให้กำเนิดบุตรตอนอายุเกือบสามสิบ ทว่าพอช่วงรุ่งโรจน์สี่สิบกว่ากลับต้องมาเสียบุตรชายและสะใภ้ไป เขาเลยทำได้แค่ฝากความหวังไว้ที่หมิงหุยคนเดียว
บัดนี้จวนยิ่งใหญ่ของหมิงอ๋อง เจ้านายที่แท้จริงกลับมีเพียงสองคน หมิงอ๋องมีอนุอยู่สองสามคน ทว่ากลับไร้บุตร ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีตัวตนสักเท่าไร
ความจริงพอตกมาถึงรุ่นของหมิงหุย จวนหมิงอ๋องก็ยิ่งวิตกกังวล เกรงว่าทายาทผู้นี้จะอยู่ไม่รอดแล้วไร้คนสืบทอด ในเมื่อเขามีโรคหัวใจติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด ส่วนจะเลี้ยงจนโตหรือไม่คงพูดยาก
เพราะเหตุนี้ หากเทียบกับมู่ซีผู้โดดเด่นที่มีทางเลือกมากกว่าแล้ว หมิงหุยยิ่งโดดเดี่ยว หากมู่ซีตาย ตระกูลมู่ก็แค่ให้บุตรสาวหาบุตรเขยแต่งเข้าจวนแล้วให้กำเนิดเลือดเนื้อเชื้อไข แต่หากหมิงหุยตาย เช่นนั้นคงจบเห่ นอกจากหมิงอ๋องจะดิ้นรนด้วยปณิธานอันแกร่งกล้า ยอมให้กำเนิดบุตรเองในยามชรา
แต่หากให้กำเนิดได้คงทำไปนานแล้ว กระทั่งทำลายคำสาปเรื่องทายาทลูกโทนสืบสกุลซึ่งมีมายาวนานถึงเก้าชั่วคน
ดังนั้นหมิงอ๋องจึงประคบประหงมหมิงหุยดุจไข่ในหิน กลัวว่าพลังโชคลาภที่บรรพบุรุษปกปักในจวนหมิงอ๋องจะรักษาหลานชายเพียงคนเดียวนี้ไว้ไม่ได้ จึงอุ้มเขาไปพักที่วัดอวี้ฝอตั้งแต่เด็กอยู่บ่อยครั้ง ฟังบทสวดจุดธูปตั้งจิตอธิษฐาน วิงวอนให้พระองค์ท่านช่วยปกปักดูแลหลานชายร่างบอบบางอ่อนแอผู้นี้ด้วย
กล่าวได้ว่าตลอดสิบสองปีของหมิงหุย ใช้ชีวิตในวัดอวี้ฝอมาแล้วครึ่งชีวิต ทว่าต่อให้อยู่วัดมานานกลับไม่ช่วยให้เจ้าเด็กคนนี้ซึมซับในรสพระธรรมบ้างเลย ในทางกลับกันกลับบ่มเพาะให้เป็นเด็กอารมณ์ฉุนเฉียวขี้โรคที่ทั้งดื้อด้านต่อต้านและไร้ขื่อไร้แปมาแทน
แต่ดันไม่มีใครจัดการเขาได้ ในเมื่อเป็นทายาทเพียงคนเดียว จึงทำได้แค่ตามใจ!
พอหมิงอ๋องได้ยินว่าหลานชายสุดที่รักเจอฉินหลิวซี บวกกับได้ยินฮุ่ยเฉวียนกล่าวถึง ทันใดนั้นเขาก็มั่นใจว่านางก็คือผู้สูงศักดิ์ฟ้าลิขิตที่ท่านอาจารย์เคยทำนายไว้ให้กับหลานชายตน
เจอ ต้องมาเจอแน่นอน!
ไม่ใช่แค่มาเจอ แต่ยังหอบตั๋วเงินหนึ่งปึกมาเจอด้วย!
“เงินค่ารักษาหมื่นตำลึงน้อยเกินไป ได้ยินมาว่าเฉิงเอินโหวจ้างคนไปอารามปิดทองช่วยบูรณะยอดทองก็ให้สองหมื่นกว่าตำลึงแล้ว เพื่อแสดงถึงความจริงใจ จวนหมิงของพวกเราก็ขอปิดทองด้วยสักหลัง และเป็นทองบริสุทธิ์ด้วย!” หมิงอ๋องเอ่ยกับฉินหลิวซีพร้อมยิ้มตาหยี “หวังว่าท่านเจ้าอาวาสน้อยจะเสียเวลาช่วยรักษาดูแลร่างกายของหลานชายข้าด้วย”
ฉินหลิวซีมองพับปึกตั๋วเงินนั้นด้วยความรู้สึกคันยุบยิบที่ฟัน
แต่สุดท้ายก็รับไว้แค่หมื่นตำลึง อีกทั้งกล่าวกับหมิงอ๋องอย่างชัดเจนว่าหมิงหุยเป็นโรคหัวใจมาตั้งแต่กำเนิด ไม่มีทางรักษาหาย ทำได้แค่บำรุงรักษาร่างกาย อีกทั้งนางเองก็ให้แบบแผนในการดูแลร่างกายไปแล้ว ขอแค่หมิงหุยไม่รนหาที่ตายเอง เรื่องมีชีวิตอยู่รอดคงไม่ใช่ปัญหาอะไร
ถึงแม้หมิงอ๋องจะเศร้าใจ แต่เขาก็ไม่ได้รบเร้า ในเมื่อเรื่องสุขภาพของหลายชายตนนั้นใช่ว่าจะเคยหาหมอมาแค่คนเดียว มีหมอชื่อดังมากมายต่างวินิจฉัยเช่นนี้เหมือนกัน
“เช่นนั้นก็ต้องลำบากเจ้าด้วย”
ฉินหลิวซีพยักหน้าแล้วให้หมิงหุยนอนลงบนเตียง หลังจากปลดเสื้อผ้าออกแล้วก็เริ่มฝังเข็มรวมถึงให้ท่านหมอหลิวหมอประจำจวนที่หมิงอ๋องพามาด้วยคอยดูอยู่ด้านข้าง นางฝังเข็มพร้อมกับสอนศาสตร์การฝังเข็มให้เขา
เดิมทีท่านหมอหลิวเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งเรื่องที่หมิงหุยสั่งให้เขามาเรียนศาสตร์การฝังเข็ม ในเมื่อหากเป็นหมอที่มีความสามารถและทักษะจริงๆ จะยอมถ่ายทอดให้คนนอกง่ายๆ ได้อย่างไร
ทว่าบัดนี้เขากลับเห็นว่าฉินหลิวซีฝังเข็มโดยอธิบายให้เขาฟังโดยไม่คิดหลีกเลี่ยง อีกทั้งอธิบายรายละเอียดส่วนน่าทึ่งของการสกัดจุดของศาสตร์ฝังเข็มนี้โดยไม่คิดปิดบังเลยสักนิด
ท่านหมอหลิวรู้สึกว่าตนได้กำไรไม่น้อย เขาเหลือบมองเด็กปรุงยาที่ติดตามมาด้วย จากนั้นคนด้านหลังก็ส่งภาพตำแหน่งจุดลมปราณมาให้ เขาจึงเขียนกำกับทุกจุดด้วยตนเอง เพื่อสะดวกต่อการทบทวนในวันหน้าและหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาด เพราะการฝังเข็มต้องพิถีพิถันเรื่องลำดับตำแหน่งและแบ่งแยกหลักรองอย่างเด่นชัด หากเกิดข้อผิดพลาด ผลลัพธ์ย่อมต่างกัน
คนเราตอนตั้งใจมักดูดีที่สุด
หมิงหุยจับจ้องฉินหลิวซีตาไม่กะพริบ แววตาเต็มไปด้วยความกระหายครอบครอง เพียงแต่ชั่วขณะต่อมากลับร้องซี๊ด
เจ็บชะมัด!
ฉินหลิวซีกลับไม่มองแววตาน้อยๆ ที่ฉายชัดถึงความเจ็บปวดและตัดพ้อส่งมาให้สักนิด นางเพียงเอ่ยกับท่านหมอหลิวด้วยท่าทีจริงจังว่า “ในตำราฝังเข็มจุดลมปราณกล่าวไว้ว่า ‘เส้นลมปราณสามารถตัดสินความเป็นความตายได้ ขจัดร้อยโรค ปรับอาการโรคโดยอย่าทำให้ติดขัด ส่วนจะไหลเวียนคล่องหรือไม่ หากเส้นลมปราณติดขัด ย่อมไร้หนทางจะปรับสมดุลหยินหยางในอวัยวะร่างกาย แต่หากไร้สิ่งอุดตัน ร่างกายและเลือดลมถึงจะทำให้อวัยวะภายในเชื่อมต่อติดกัน หยินหยางสอดประสาน ลำเลียงหากันทั้งนอกและใน แบบนี้ถึงจะหล่อเลี้ยงไปถึงหัวใจได้โดยตรง”
ท่านหมอหลิวพยักหน้า “รับทราบแล้ว”
จากเข็มของเจ้าเมื่อครู่ เหมือนเก็บงำความแค้นไว้ไม่น้อย ลงมือโหดเหี้ยมอย่างเห็นได้ชัด!
ฉินหลิวซีลงมืออย่างโหดเหี้ยมด้วยสีหน้าราบเรียบ ฝังเข็มต่อไปแล้วเอ่ยต่อ “ท่านอย่ามัวแต่กลัวเขาเจ็บจนไม่กล้าฝังเข็ม หากเข็มฝังเข้าไปไม่ตรงจุดย่อมเสียเปล่า คนเป็นหมออย่างเรา เรียนการรักษาก็เพื่อช่วยคน แต่หากมัวแต่กลัวนั่นกลัวนี่ หวาดระแวงไปทุกอย่าง มีความสามารถแต่ไม่กล้าใช้ แล้วจะเป็นหมอช่วยชีวิตคนได้อย่างไร ทั้งๆ ที่ท่านรู้ว่าสิ่งใดดีต่อเขา แต่เพราะกลัวเขาร้องโอดโอยเลยไม่กล้าลงไม้ลงมืออย่างเด็ดขาด แบบนั้นไม่ใช่ความหวังดี แต่เป็นการทำร้ายเขามากกว่า”
ท่านหมอหลิวกระตุกมุมปาก ฉีกยิ้มเจื่อนเล็กน้อยโดยไม่เสียมารยาท “ท่านพูดถูกที่สุด”
ถึงแม้จะสัมผัสได้ว่าเจ้าชักแม่น้ำทั้งห้าและโน้มน้าวให้ข้าลงมืออย่างเด็ดขาดกับเจ้าเด็กดื้อด้านผู้นี้ แต่ฟังๆ ดูแล้วก็ตรงใจ วันหน้าทำตามนี้แหละ!
หมิงหุย “!”
เขาสัมผัสได้ถึงความเจตนาร้ายที่พรั่งพรูออกมา
แม้หมิงอ๋องที่คอยสอดส่องอยู่ด้านข้างจะไม่เข้าใจอะไรเลย แต่กลับรู้สึกได้ถึงความเก่งกาจ!
หลังจากฝังเข็มเสร็จแล้ว ฉินหลิวซีก็ล้างมือก่อนจะเอ่ย “ลมปราณและเลือดเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น หากสองอย่างนี้มีมากพอ ย่อมช่วยต่ออายุให้ยืนยาว มิเช่นนั้นเหตุใดเราถึงต้องพูดถึงเลือดลมบ่อยๆ หากไหลเวียนไม่ติดขัด เลือดลมมากพอ ความเจ็บปวดย่อมทุเลาลง ดังนั้นต้องดูแลเรื่องเลือดลมด้วย ศาสตร์ฝังเข็มที่ข้าสอนท่านไปเมื่อครู่ เป็นการเปิดช่องทำให้เลือดลมไหลเวียนดี หากลมปราณไม่ติดขัดแล้วก็ไม่ต้องฝังเข็มทุกวัน แต่ยังต้องคอยดูแลเรื่องเลือดลม ซึ่งก็คือการบำรุงร่างกายนั่นเอง”
ฉินหลิวซีเอ่ยกับท่านหมอหลิวอย่างมีเหตุมีผล โดยเจาะจงเรื่องสุขภาพร่างกายของหมิงหุยเป็นหลัก ซึ่งผนวกสี่ฤดูเข้าด้วยกันแล้วกำหนด ในเมื่อการดูแลร่างกายใช่ว่าจะดูแลได้ดีภายในวันเดียว แต่ต้องเกิดจากความเคยชินในแต่ละวัน
“นักพรตเองก็มีหลักการดูแลร่างกายอย่างหนึ่ง นั่งสมาธิปิดความคิดก็ไม่เลว ลบล้างความคิดอันวุ่นวาย ช่วยดึงดูดพลังแห่งฟ้าดินเข้าสู่ร่างกายได้ด้วย ซึ่งย่อมได้ผลดีเป็นเท่าทวีคูณ สร้างความแข็งแรงให้กับร่างกาย” ฉินหลิวซีหาจังหวะส่งคัมภีร์เต๋าไปให้ เอ่ยกับหมิงอ๋องและท่านหมอหลิวว่า “นี่เป็นคัมภีร์เต๋าใช้ดูแลร่างกายที่อารามชิงผิงของเราจัดทำขึ้นเอง มีทั้งคาถาและอักษรบทสวด สามารถฝึกฝนตามได้ทุกวัน พวกเรามีวาสนาต่อกัน ข้าจึงขอมอบคัมภีร์เต๋านี้ให้พวกท่าน”
ทุกคนต่างนิ่งตะลึง “…”
ไม่สิ เหตุใดการสอนฝังเข็มถึงเปลี่ยนมาเป็นเชิญชวนผู้ศรัทธาได้เล่า
หมิงหุยปิดตาแกล้งตายอย่างเงียบๆ คนผู้นี้สุดยอดจริงๆ!