คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 892 รักษาความดื้อด้านได้ทุกประเภท
ตอนที่ 892 รักษาความดื้อด้านได้ทุกประเภท
ความจริงด้วยสถานะของตระกูลจั่ว หากเป็นอาการซึมเศร้าเพราะความทุกข์ใจทั่วไป ลำพังแค่เชิญตัวหมอหลวงมาย่อมง่ายที่สุด แต่ถ้ารักษาไม่ได้ย่อมเป็นเพราะผู้ป่วยไม่ยอมเดินก้าวผ่านออกมาเอง อาการแบบนี้ไม่ว่าหมอคนใดก็อับจนหนทาง ในเมื่อพวกเขาเขียนใบสั่งยาใจไม่เป็น
เห็นได้ชัดว่ายาใจของฮูหยินจั่วผู้เฒ่าอยู่ที่ร่างของบุตรวัยเยาว์อย่างจั่วจงจวิ้น แต่ใครจะชุบชีวิตเด็กคนหนึ่งให้กลับมาหานางได้เล่า
ผู้เฒ่าอวี๋เชิญฉินหลิวซีมาด้วยตนเอง เหตุเพราะสถานะของฉินหลิวซี นางไม่ใช่หมอธรรมดาแต่นางเป็นหมอนักพรต ในเมื่อฮูหยินจั่วผู้เฒ่ารั้นบอกแต่ว่าบุตรชายของนางยังไม่ตาย ความจริงใช่หรือไม่ เขาเชื่อว่าฉินหลิวซีต้องคลายปมปริศนานี้ได้แน่นอน
ความจริงเขาก็แค่อยากลองดู ลองครั้งสุดท้ายอีกสักตั้ง
หากยังไม่ตายจริงๆ เช่นนั้นหายไปอยู่ที่ไหนคงต้องลองออกตามหาดู แต่หากตายแล้ว นางก็จะได้ตัดใจเสียที
ฉินหลิวซีรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย โพล่งถามขึ้นว่า “ตายโดยไม่เห็นศพ เช่นนี้ตระกูลจั่วมั่นใจได้อย่างไรว่าเขาตายแล้ว”
ผู้เฒ่าอวี๋ถอนหายใจเฮือกหนึ่งถึงเอ่ย “ตอนเกิดเรื่อง เขาตกลงไปในช่องธารน้ำแข็งที่ปริแตก เมื่อฤดูหนาวปีก่อน เขาไปชมธารหิมะที่เขาฉานเฉิงหลีกับเหล่าสหาย แต่บังเอิญร่วงตกลงไปในช่องธารน้ำแข็ง เจ้าก็รู้ว่าหากตกลงไปแล้วมีชีวิตรอดอยู่ได้คงงมหาร่างเจอนานแล้ว แต่ด้วยฤดูหนาวเมื่อปีที่แล้วมีพายุหิมะถล่ม อากาศหนาวเหน็บ แถมตกลงไปในที่แบบนั้น หากมีชีวิตรอดจริงๆ เช่นนั้นคงสร้างบุญในชาติก่อนมาดีจริงๆ”
“ตระกูลจั่วไม่ได้ตามหาหรือ”
“จะไม่ตามหาได้อย่างไร ตามหามาสามเดือนเต็ม แต่อับจนหนทางจริงๆ ถึงได้จัดงานศพ”
ฉินหลิวซีเคาะโต๊ะเสียงเบาพลางเอ่ย “ในเมื่อฮูหยินผู้เฒ่าสัมผัสได้เช่นนั้น ต่อให้ตระกูลจั่วไม่เชื่อก็คงต้องถามพระท่านบ้างกระมัง อารามจินหัวเองก็เป็นอารามชื่อดัง ตายหรือไม่แค่ไปหาภิกษุสักองค์ถามท่านดูก็น่าจะรู้แล้ว”
ผู้เฒ่าอวี๋ลูบจมูกป้อยๆ ด้วยท่าทีกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย สีหน้าทำทีเหมือนอยากจะพูดแต่ก็เงียบไป
“ทำไมหรือ”
ผู้เฒ่าอวี๋เอ่ย “คือตาเฒ่าตระกูลจั่ว เฮ้อ ข้าหมายถึงใต้เท้าผู้ตรวจการนั่นแหละ เขาไม่เชื่อเรื่ององค์เทพพลังลี้ลับแถมยังหัวแข็งอีกต่างหาก เขาไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ หากเจ้าเจอเขาแล้วพูดจาไม่ดีใส่ เจ้าเองก็อย่าเก็บมาใส่ใจเชียวล่ะ”
ฉินหลิวซียิ้มพลางเอ่ย “ไม่เป็นไร ข้าเป็นพวกรักษาความดื้อด้านได้ทุกประเภท!”
ระหว่างสนทนาก็เดินทางมาถึงจวนตระกูลจั่ว
ผู้เฒ่าอวี๋ให้มู่เหนียนไปส่งเทียบเยี่ยมเยียน รอเพียงเวลาจิบชาถ้วยเดียว บุรุษอายุราวสามสิบกว่าๆ ก็เดินมาที่หน้ารถม้าก่อนจะยกมือคำนับให้
“จงเหนียนขอคารวะท่านอา”
ผู้เฒ่าอวี๋เลิกผ้าม่านรถขึ้น ก่อนคลี่ยิ้มพลางเรียกชื่อเขา “จื่ออันเองหรือ”
จั่วจงเหนียนเป็นคนประคองมือของเขาแล้วพาเหยียบเก้าอี้ลงมาจากรถม้าด้วยตนเอง ก่อนมองฉินหลิวซีที่อยู่ด้านในรถ
ฉินหลิวซีลงจากรถม้าด้วยท่าทีคล่องแคล่ว ก่อนหันไปพยักหน้าให้จั่วจงเหนียน
ผู้เฒ่าอวี๋เอ่ย “ข้ามาเยี่ยมท่านแม่ของเจ้า นี่เป็นเจ้าอาวาสน้อยของอารามชิงผิงแห่งเมืองหลี มีสมญานามว่าปู้ฉิว นางยังเป็นหมอนักพรตที่มีฝีมือในการรักษาเก่งกาจ นางเป็นนักพรตสายบำเพ็ญ ข้าอยากให้นางมาช่วยตรวจดูอาการให้ท่านแม่ของเจ้า”
จั่วจงเหนียนเหนือคาดเล็กน้อย แต่ยังคงคำนับให้ฉินหลิวซี “ยินดีที่ได้พบท่านอาจารย์”
“ไม่ต้องเรียกข้าว่าอาจารย์หรอก เรียกข้าว่านักพรตหรือเจ้าอาวาสน้อยก็ได้แล้ว” ฉินหลิวซีฉีกยิ้มบาง
ผู้เฒ่าอวี๋ถามขึ้นว่า “บิดาเจ้าอยู่หรือไม่”
ทันใดนั้นหนังศีรษะของจั่วจงเหนียนก็ตึงเปรี๊ยะขึ้นมาทันที “ท่านพ่อกลับมาถึงจวนเมื่อครู่ขอรับ”
สองคนนี้อายุรวมกันก็หลักร้อยปีแล้ว อย่าทะเลาะกันอีกเลย เขาปวดเศียรเวียนเกล้าเหลือเกิน!
ฉินหลิวซีมองสีหน้าเหมือนท้องผูกของจั่วจงเหนียนก่อนจะหันไปมองสีหน้าห่อเหี่ยวของผู้เฒ่าอวี๋ พลันเรียวคิ้วก็เลิกขึ้น นี่มีเรื่องลับลมคมในใดกันนะ
คล้อยหลังก็ตามจั่วจงเหนียนเข้าจวนไป พวกเขานั่งรอที่เรือนด้านหน้าก่อน หลังจากดื่มชาเพียงหนึ่งแก้ว ผู้เฒ่าอวี๋ก็เอ่ยขึ้นว่าจะไปเยี่ยมฮูหยินผู้เฒ่า
จั่วจงเหนียนเองก็จนใจ ทำได้แค่ส่งคนไปแจ้งท่านพ่อของเขาอีกครั้ง ในเมื่อพาเข้าจวนมาแล้วก็อย่ามีเรื่องให้วุ่นวายเลย พวกเขาเองก็มาเยี่ยมท่านแม่ด้วยเจตนาดี อย่าทำให้เสียเรื่องเลยจะดีกว่า
ครั้นฉินหลิวซีเห็นฝีเท้าเนิบนาบของจั่วจงเหนียน นางก็ยิ่งรู้สึกสงสัย จึงหันไปมองผู้เฒ่าอวี๋โดยไม่รู้ตัว
เหตุใดนางถึงยิ่งรู้สึกว่าจั่วจงเหนียนกำลังเผชิญกับศัตรูตัวฉกาจอยู่ก็มิปาน
ครั้นมาถึงโถงซงเฮ้อของฮูหยินจั่วผู้เฒ่า ฉินหลิวซีก็เห็นผู้เฒ่าในชุดอาภรณ์สีกรมท่า หน้าตาไม่ได้เกรี้ยวโกรธแต่น่าเกรงขามผู้หนึ่ง ดูทรงอายุไล่เลี่ยกับผู้เฒ่าอวี๋ แต่โหนกแก้มทั้งสองข้างสูงเล็กน้อย ริมฝีปากเรียวบาง ดวงตาลุ่มลึก ดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนที่จะกำราบได้ง่ายๆ
ฉินหลิวซีเลื่อนสายตามองโหนกแก้มของเขาอย่างละเอียด ลักษณะดูอวบอิ่มเปล่งประกาย ไร้ซึ่งรอยยุบเว้า ตรงหางตาข้างซ้ายมีไฝสีค่อนข้างเข้มเล็กๆ พร้อมเส้นขนขึ้นปกคลุม
ไฝบริเวณหางตาตรงโหนกแก้มเป็นสัญลักษณ์ของบุตรคนเล็ก ข้างซ้ายหมายถึงบุตรชาย ส่วนข้างขวาหมายถึงบุตรสาว ระดับความเข้มอ่อนของสีไฝบ่งบอกถึงความรักและความกังวลของบุพการีที่มีต่อบุตร เวลานี้ไฝที่หางตาข้างซ้ายไร้รอยแผล ทว่ามีสีเข้มอยู่บ้าง
ใต้เท้าไม่มีโหงวเฮ้งของการสูญเสียบุตร แต่บุตรจากบ้านจากเรือนไปไกลเท่านั้น
บางทีอาจเพราะคลื่นสายตาของฉินหลิวซีแฝงอารมณ์พลุ่งพล่านเกินไป ใต้เท้าจั่วจึงเหลือบมองนางแวบหนึ่ง ก่อนจะหันไปมองผู้เฒ่าอวี๋ พร้อมแค่นเสียงหึผ่านลำคอ เอ่ย “มาแล้วหรือ”
จมูกดูไม่ใช่จมูก ดวงตาดูไม่ใช่ดวงตา เขาแสดงท่าทีไม่พอใจอย่างมาก
ครั้นผู้เฒ่าอวี๋เห็นท่าทีเช่นนั้นก็หน้าขรึมลง เอ่ยขึ้นว่า “ข้ารู้จักหมอนักพรตเก่งๆ คนหนึ่งเลยอยากให้นางช่วยตรวจดูชีพจรให้ชุนเหนียงสักหน่อย”
เส้นเลือดตรงขมับของใต้เท้าจั่วเต้นตุบๆ สีหน้าดำถมึงทึงมากกว่าเดิม
เมื่อฉินหลิวซีได้ยินคำเรียกเช่นนั้นก็อดมองไปทางผู้เฒ่าอวี๋ไม่ได้ ก่อนจะมองใต้เท้าจั่วที่เผยสีหน้าถมึงทึง อ้อ เหมือนนางจะระแคะระคายความจริงบ้างแล้ว!
ผู้เฒ่าสองคนนี้อายุรวมกันได้หลักร้อยปี เห็นได้ชัดว่านอกจากเป็นเพื่อนร่วมงานกันแล้ว ยังเป็นศัตรูหัวใจกันด้วย!
“เจ้าควรเรียกว่าพี่สะใภ้” ใต้เท้าจั่วเอ่ยพร้อมสีหน้าเคร่งขรึม
“พวกเราอายุเท่ากัน แถมเติบโตมาด้วยกัน เหตุใดต้องเรียกว่าพี่สะใภ้ด้วยเล่า” ผู้เฒ่าอวี๋โต้กลับด้วยท่าทีเย็นชา
ว้าว โต้กลับแรงเสียด้วย!
ฉินหลิวซีล้วงมือคลำในแขนเสื้อก่อนหยิบถุงเมล็ดสนออกมา จับจ้องสองผู้เฒ่าต่อล้อต่อเถียงกัน พลันละครรักสามเส้าก็ผุดขึ้นมาในสมองของนางอย่างเงียบๆ
ครั้นจั่วจงเหนียนเห็นสองผู้เฒ่ามีปากเสียงกันสมองก็เริ่มปวดตุบๆ ทว่าจู่ๆ ก็ได้กลิ่นคั่วหอมลอยมาจึงหันไปมอง จากนั้นก็เห็นเจ้าอาวาสน้อยกำลังทานเมล็ดสนอย่างเอร็ดอร่อย ดวงตาสีดำขลับเต็มไปด้วยความสนใจใคร่รู้
พลันเขาก็ยิ่งปวดศีรษะหนักกว่าเดิม!
“ท่านพ่อ ท่านอามาด้วยเจตนาดี ให้เข้าไปเยี่ยมท่านแม่ก่อนดีกว่า” จั่วจงเหนียนเกลี้ยกล่อมบิดาผู้มีสีหน้าขึงขังแล้วเอ่ย “สองสามวันมานี้ท่านแม่ไม่กินกระทั่งข้าวต้มสักถ้วยด้วยซ้ำ”
สายตาของใต้เท้าจั่วหม่นลง “นางรั้นยืนกรานจะทำเช่นนั้น ต่อให้เชิญหมอมาหลายร้อยคนแล้วจะมีประโยชน์อะไร”
จั่วจงเหนียนปวดใจอยู่บ้าง
ผู้เฒ่าอวี๋โกรธเคืองเล็กน้อย “เช่นนั้นจะปล่อยนางไปทั้งแบบนี้หรือ เจ้าบอกว่านางดื้อรั้น แต่เจ้าลองแสวงหายาใจตามที่นางต้องการแล้วหรือไม่ ในเมื่อมีสิ่งที่เรียกว่าแม่ลูกจิตผูกกัน นางบอกว่าลูกยังไม่ตายแต่ก็หาร่างไม่เจอ เจ้าก็ไม่คิดจะลองหาวิธีอื่นดูเลยหรือ แม้ว่าอยากจะให้นางตัดใจก็ตาม!”
ใต้เท้าจั่วมุ่นคิ้ว
“เจ้าเป็นคนหัวแข็ง เอาแต่บอกว่าห้ามพูดเรื่องลี้ลับ ไม่เชื่อเรื่องผีสางนางไม้ แต่กลับไม่รู้เลยว่ายามที่คนสิ้นหวังและอ่อนแอมักเสาะแสวงหาบางอย่างเพื่อปลอบประโลมใจโดยไม่รู้ตัว แม้เป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง แต่ก็อยากมีความเชื่อ ความเชื่อที่จะทำให้มีชีวิตต่อไป ชุนเหนียงเองก็เช่นกัน แต่เจ้าเคยยอมนางบ้างหรือไม่” ผู้เฒ่าอวี๋กล่าวด้วยเสียงเย็นชา
“อวี๋เหมี่ยว!” ใต้เท้าจั่วโมโหจนตัวสั่น “เจ้ามาจวนข้าเพื่อหาเรื่องสะสางบัญชีหรืออย่างไร”
“ข้ามาก็เพื่อช่วยชุนเหนียง” ผู้เฒ่าอวี๋มองฉินหลิวซีพลางเอ่ย “เจ้าอาวาสน้อย เจ้า…”
“ฮูหยินผู้เฒ่าน่าจะพูดถูก” ฉินหลิวซีเคี้ยวเมล็ดสนก่อนกลืนลงคอ มองใต้เท้าจั่วพลางเอ่ยขึ้นว่า “ท่านยังไม่สูญเสียบุตร”
พอประโยคนี้โพล่งขึ้นมา ทุกคนต่างก็พากันตกตะลึง