คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 893 ไม่เชื่อหรือ เช่นนั้นก็ถางตาดูเถิด
ตอนที่ 893 ไม่เชื่อหรือ เช่นนั้นก็ถางตาดูเถิด
ยังไม่สูญเสียบุตร!
ครั้นคำพูดนี้ของฉินหลิวซีโพล่งขึ้นมาก็ทำเอาเหล่าบุรุษที่ยืนอยู่ในเรือนต่างนิ่งตะลึงงัน
จั่วจงเหนียนรู้สึกงงงัน นี่หมายความว่าอย่างไร ความหมายเดียวกับที่เขาคิดไว้อย่างนั้นหรือ
ผู้เฒ่าอวี๋กลับยิ้มร่าดีใจ เอ่ยว่า “ยังไม่สูญเสีย เจ้าหมายความว่าจงจวิ้นยังมีชีวิตอยู่จริงๆ หรือ”
พลันใต้เท้าจั่วและจั่วจงเหนียนก็ใจเต้นโครมครามพุ่งขึ้นมาถึงลำคอ
ยังมีชีวิตอยู่หรือ
นี่ นี่จะเป็นไปได้อย่างไร!
“จากโหงวเฮ้งแล้วท่านยังไม่มีการเสียบุตร ในเมื่อไม่มี เช่นนั้นลูกของท่านย่อมยังมีชีวิตอยู่” ฉินหลิวซีจับจ้องใบหน้าของใต้เท้าจั่วพลางเอ่ยขึ้นมาหนึ่งประโยค
ดูจากโหงวเฮ้งบนใบหน้าเองหรือนี่
จั่วจงเหนียนประหลาดใจอยู่บ้าง แต่ใต้เท้าจั่วกลับนิ่งขรึมลง พร้อมแสดงท่าทีดูถูกคำพูดของนางอย่างเห็นได้ชัดเจน
“ดูจากโหงวเฮ้งหรือ อวี๋เหมี่ยว เวลาผ่านมาก็หลายปี ข้ากับชุนเหนียงเองก็มีลูกกันตั้งหลายคน ต่างเป็นปู่ย่าตายายกันหมดแล้ว เจ้าขุ่นเคืองในใจย่อมได้ แต่อย่าเอาเรื่องพวกนี้มาสร้างความอับอายให้ข้า”
ผู้เฒ่าอวี๋หัวเราะเยาะ “ข้าสร้างความอับอายให้เจ้าหรือ ข้าก็แค่ไม่อยากให้ชุนเหนียงจากไปพร้อมกับความเกลียดชังและความไม่พอใจ ข้ารู้ว่าเจ้าไม่เชื่อในเรื่องขององค์เทพพระพุทธเจ้า แต่ต่อให้เจ้าไม่เชื่อก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีอยู่จริง”
“เจ้า!”
“จงจวิ้นหายตัวไป จะเป็นหรือตายก็ยังหาร่างของเขาไม่พบ เหตุใดเจ้าถึงปักใจเชื่อว่าเขาตายแล้ว!”
หัวใจของใต้เท้าจั่วเจ็บแปล๊บ “เขาตกลงไปในรอยปริแตกของธารน้ำแข็ง ในสภาพอากาศหนาวเหน็บขนาดนั้น ในสภาพแวดล้อมเลวร้ายเช่นนั้น แต่เจ้ากลับบอกข้าว่าเขายังมีชีวิตอยู่ ช่างเหลวไหลสิ้นดี!”
“พูดไปพูดมา เจ้าหวังอยากให้เขาตายแล้วมากกว่า!”
“อวี๋เหมี่ยว เจ้ารังแกกันเกินไปแล้ว!” ใต้เท้าจั่วไฟโทสะพลุ่งพล่านจนถลกแขนเสื้อขึ้นหมายจะใช้กำลัง
จั่วจงเหนียนปวดศีรษะแทบระเบิด รีบเข้าไปขวางระหว่างพวกเขาทั้งสองก่อนมองไปที่ตัวต้นเรื่อง เลิกกินเมล็ดสนแล้วมาช่วยดับไฟก่อนเถิด!
“เอ่อ เจ้าอาวาสน้อย ท่านรีบพูดอะไรสักอย่างเถิด” ใกล้จะลงไม้ลงมือกันเต็มทีแล้ว
“จะให้พูดสิ่งใดเล่า ข้าก็บอกแล้วว่าเขายังไม่ตาย!” ฉินหลิวซีโยนเมล็ดสนเข้าปาก ปัดมือก่อนมองใต้เท้าจั่วที่กำลังขึงตาใส่นางด้วยความโมโห “ผู้เฒ่าอวี๋พูดถูก ท่านไม่เชื่อในเรื่องผีสางนางไม้ก็ย่อมได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีอยู่จริง”
นางกวาดตามองไปรอบๆ แล้วหันไปทางมุมมืดมุมหนึ่งของโถงซงเฮ้อพร้อมกวักมือเรียก “เจ้ามานี่ มาแสดงตัวให้ใต้เท้าจั่วเห็นหน่อยสิ”
พวกเขามองตามสายตานางไป ทว่ากลับเห็นเพียงความว่างเปล่า
ทำอะไรของนาง
ฉินหลิวซีดีดพลังบางอย่างออกไป เพื่อช่วยกระตุ้นวิญญาณโง่เขลา ก่อนวิญญาณตนนั้นจะเดินเข้ามาโค้งคำนับให้นางอย่างกล้าๆ กลัวๆ
ทุกคน “…”
แม้ว่าจะมองไม่เห็น แต่สัมผัสได้ถึงความเย็นในอากาศที่ลดลงฮวบ
ฉินหลิวซีถามวิญญาณว่านางเป็นใคร เหตุใดถึงยังไม่ไปเกิดใหม่ หลังจากฟังคำอธิบายก็พยักหน้า ก่อนมองไปที่จั่วจงเหนียนแล้วเอ่ย “นางคือจ้าวหมัวหมัวของฮูหยินผู้เฒ่า นางมีทองแท่งสะสมฝังไว้อยู่ใต้ต้นสน ช่วยขุดมันออกมาแล้วมอบให้บุตรชายของนางที รวมถึงแบ่งครึ่งหนึ่งให้กับบุตรสาวที่แต่งออกเรือนไปด้วย นี่เป็นความปรารถนาของนาง”
จั่วจงเหนียนตกตะลึง
จ้าวหมัวหมัวเป็นคนงานในเรือนของมารดา ตายไปเพราะล้มป่วยเมื่อปีก่อน ตอนนี้ฉินหลิวซีกำลังพูดเรื่องใดหรือ
ไม่สิ นางรู้จักจ้าวหมัวหมัวได้อย่างไร
ใต้เท้าจั่วโมโหจนหน้าเขียว “กำเริบเสิบสาน เห็นจวนตระกูลจั่วเป็นสถานที่แบบใดถึงบังอาจกุเรื่องต้มตุ๋น!”
ทว่าผู้เฒ่าอวี๋กลับเรียกบ่าวรับใช้ในเรือนมาแล้วเอ่ย “ลองไปขุดใต้ต้นสน ดูว่าขุดเจอสิ่งใดหรือไม่!”
“ตาแก่อวี๋เหมี่ยว เจ้าพาคนนอกมาเหยียบย่ำข้าหรือ!” ใต้เท้าจั่วโมโหยกใหญ่
ผู้เฒ่าอวี๋แค่นเสียงเย้ย “เป็นเรื่องจริงหรือไม่ แค่ขุดดูก็รู้แล้ว ข้าย่อมไม่มีทางรู้ว่ามีทองคำซ่อนอยู่ใต้ต้นไม้จริงๆ กระมัง ข้าไม่เคยมาด้วยซ้ำ”
ฮูหยินจั่วผู้เฒ่าเติบโตมาด้วยกันกับเขาก็จริง แต่ก็เป็นเรื่องสมัยเด็กแล้ว นับตั้งแต่นางแต่งงานกับจั่วซื่อหลิน ทุกคนต่างก็เป็นเหมือนพี่น้องกัน ธรรมเนียมพึงปฏิบัติเขาก็ยังคงรักษาปฏิบัติตาม
ใต้เท้าจั่วรู้แก่ใจดี แต่เขาเป็นคนหัวรั้นและไม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ ผู้เฒ่าอวี๋บอกว่ามาเยี่ยมเยียนภรรยา แต่ดันพาคนแปลกหน้านิสัยประหลาดมากุเรื่องต้มตุ๋น แล้วจะไม่ให้เขาโมโหได้อย่างไร
ขณะที่พวกเขาทั้งสองประจัญหน้ากัน จั่วจงเหนียนก็ขยิบส่งสายตาให้สาวรับใช้ สาวรับใช้หยิบพลั่วขุดดินทรงกลีบดอกสนขึ้นมาก่อนจะวิ่งไปขุด ไม่นานนางก็อุทานขึ้นอย่างตกใจ
ผู้เฒ่าอวี๋เหลือบมองแวบหนึ่งพร้อมเผยสีหน้าราวกับยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม สายตาท้าทาย ข้ากำลังรอเวลาที่เจ้าถูกตบหน้าเสียงดังเพียะ
“มันคือสิ่งใดหรือ” เสียงของจั่วจงเหนียนสั่นเครือ
สาวรับใช้ถือวัตถุที่ห่อด้วยผ้าเช็ดหน้าเดินเข้ามา ทว่านางไม่ได้คลี่เปิดออก ฉินหลิวซีจึงเอ่ย “เงินสิบตำลึงทอง เป็นเงินหยวนเป่า[1]”
มือของสาวรับใช้เปิดออกด้วยความสั่นเทา จากนั้นก็ปรากฏเงินหยวนเป่าจำนวนห้าตำลึงสองแท่ง อีกทั้งผ้าเช็ดหน้ายังปักตัวอักษรคำว่าโชคดีมีสุขไว้ด้วย
“นี่ นี่เป็นผ้าเช็ดหน้าของจ้าวหมัวหมัว เพราะผ้าเช็ดหน้าของนางมักปักคำว่าโชคดีมีสุข นี่เป็นผลงานของนาง” สาวรับใช้เอ่ยพร้อมน้ำตาแดงก่ำ
ทุกคนต่างเดินเซถอยหลังหลายก้าว
เพราะทิศทางที่ฉินหลิวซีกวักมือเรียกมาเมื่อครู่แผ่ไอเย็นข้างกาย
ผู้เฒ่าอวี๋มองไปทางใต้เท้าจั่วที่ตกตะลึงอย่างลำพองใจ พลางแค่นเสียงใส่หนึ่งครั้ง
ใต้เท้าจั่วจับจ้องเงินหยวนเป่าสองแท่งด้วยแววตาดุดัน “พวกเจ้า พวกเจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่” วางแผนกันตั้งแต่เมื่อไร!
รอยยิ้มย่ามใจของผู้เฒ่าอวี๋แข็งทื่อ แม่เจ้าโว้ย คนหัวแข็งดื้อรั้นเช่นนี้ ซัดสักทีดีกว่า!
“รำคาญ!”
ฉินหลิวซีเองก็รำคาญใจเช่นกัน หยิบยันต์ออกมาก่อนวาดขีดเขียนอย่างรวดเร็ว หลังจากทำสัญลักษณ์นิ้ว เมื่อแตะนิ้วก็เกิดไฟลุกไหม้ขึ้น “เปิดทางยมโลก!”
ซู๊ด
ทุกคนยังไม่ทันตั้งตัว พลันก็รู้สึกเจ็บแปล๊บที่ดวงตาเล็กน้อย รอกระทั่งยามเปิดตาก็หมายจะก่นด่า พวกเขากลับเห็นร่างเงาของหญิงชราหลังโก่งสวมชุดปิดคอรางๆ ร่างหนึ่ง
จั่วจงเหนียนก้นเบ้ากระแทกลงกับพื้น เอ่ยเสียงตะกุกตะกัก “จ้าว จ้าวหมัวหมัว”
จ้าวหมัวหมัวยกยิ้ม เผยให้เห็นฟันหน้าหลอว่างเปล่า ใบหน้าเขียวขาวฉีกยิ้มเย็นยะเยือก ก่อนจะก้าวขึ้นมาสองก้าว “คุณชายใหญ่”
อย่า เจ้าอย่าเข้ามาเชียว!
จั่วจงเหนียนเดินถอยหลังไปหลายก้าว
จ้าวหมัวหมัวแสดงความเคารพต่อใต้เท้าจั่ว “นายท่าน”
ใต้เท้าจั่ว “!”
จ้าวหมัวหมัวตายแล้วเขารู้ แต่ร่างเลือนรางตรงหน้าในเวลานี้ หากไม่ใช่จ้าวหมัวหมัวแล้วจะเป็นใครเล่า
ผู้เฒ่าอวี๋กลับนิ่งขรึมอย่างมาก เหลือบมองใต้เท้าจั่วแวบหนึ่งเอ่ย “มองให้ชัดเต็มตา นี่เป็นบ่าวในจวนเจ้า เจ้าคงรู้จักกระมัง!”
“จ้าวหมัวหมัว เจ้า…”
“นายท่าน บ่าวยังมีใจยึดติด กลัวว่าเงินทองที่สะสมไว้จะไม่ถึงมือลูกหลาน ขอความกรุณาจากคุณชายใหญ่และนายท่านช่วยข้าที เอาเงินนี้ไปส่งถึงมือลูกหลานบ่าว บ่าวจะขอบคุณยิ่งนัก”
จั่วจงเหนียนเอ่ยด้วยสีหน้าขาวซีด “ได้ แน่นอน เอาไปให้แน่นอน”
จ้าวหมัวหมัวฉีกยิ้มอีกครั้ง ปาดชาดบนริมฝีปากที่อ้ากว้าง จนสร้างความตกใจให้จั่วจงเหนียนจนแทบเป็นลมสลบไป
ฉินหลิวซีเปิดประตูวิญญาณ ก่อนจะส่งร่างจ้าวหมัวหมัวไป
ทุกคนต่างนิ่งตะลึงงัน คน ไม่สิ ผีล่ะ
“คนตายย่อมต้องไปเกิดใหม่ นางแค่มีใจยึดติดจึงยังวนเวียนไม่ไปเกิดใหม่ ในเมื่อตอนนี้ทุกอย่างคลี่คลายแล้ว ไม่มีใจที่ยึดติด นางย่อมต้องไป” ฉินหลิวซีอธิบายอีกประโยคหนึ่งว่า “เอาเงินหยวนเป่าสองก้อนนี้ไปให้ครอบครัวนาง ทำตามความตั้งใจของนาง บุตรชายบุตรสาวคนละครึ่ง”
“ได้ๆ” จั่วจงเหนียนกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนมองไปทางสาวรับใช้ผู้นั้นแล้วเปิดปากเอ่ย “เจ้า…”
พอสาวรับใช้ดึงสติกลับมาได้ มือไม้ก็สั่น กรีดร้องขึ้นว่า “ผี!”
จากนั้นสองดวงตาก็กลอกขึ้นบนแล้วเป็นลมหมดสติไป
จั่วจงเหนียน “…”
ไม่รู้ควรกล่าวเช่นไร เขาแอบอิจฉาอยู่บ้าง เพราะเขาเองก็อยากเป็นลมเหมือนกัน!
[1]เงินหยวนเป่า เรียกอีกชื่อว่าเงินตำลึงจีน มีลักษณะเป็นแท่งปลายโค้งสูงทั้งสองข้างคล้ายเรือ