คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 897 เอ่ยคำโป้ปดซึ่งหน้า
ตอนที่ 897 เอ่ยคำโป้ปดซึ่งหน้า
พวกจั่วจงเหนียนไม่เข้าใจสถานการณ์ แต่ฉินหลิวซีมองออกว่ามีใครบางคนพยายามดึงวิญญาณของจั่วจงจวิ้นกลับไปตั้งแต่แวบแรก ดังนั้นจึงเป็นผลให้เกิดท่วงท่าคล้ายถูกดึง
ฉินหลิวซีใช้สองมือแตะประสานกันอย่างรวดเร็ว ปล่อยคาถาไปที่ดวงวิญญาณของจั่วจงจวิ้น พร้อมพึมพำท่องบทสวดผ่านควันธูป “ข้าขอแสดงความซื่อตรงจริงใจผ่านควันธูป วิงวอนขอพรถึงทวยเทพเบื้องบน โปรดตรึงดวงวิญญาณของท่านจั่วไว้มิให้สลาย วิญญาณร้ายช่างกำแหงเสิบสาน จงทำตามบัญชา!”
ครั้นท่องบทสวดเสร็จ พลันก็เหมือนมีเชือกไร้รูปร่างพันธนาการดวงวิญญาณของจั่วจงจวิ้นไว้ ส่วนปลายเชือกอีกด้านก็พันรอบข้อมือของฉินหลิวซีอยู่หลายรอบ พอออกแรงก็ดึงร่างของเขากลับมาได้
ส่วนอีกฝั่งที่ดึงยื้อแย่งกับนางก็เหมือนการกระทำหยุดชะงักไป ก่อนจะแสดงอิทธิฤทธิ์มากกว่าเดิม ไอวิญญาณตกกระทบลงบนเชือก หมายตัดเชือกที่พันธนาการนั้นให้ขาด
ครั้นสัมผัสได้ถึงไอวิญญาณนั้น ฉินหลิวซีก็รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง นางใช้แรงกระชากอีกครั้งก่อนมือข้างหนึ่งจะทำท่าแตะนิ้วพลางร่ายคาถาท่องบทสวด เปล่งแสงสีทองพุ่งไปยังไอวิญญาณที่หมายตัดเชือกนั้นให้ขาด “บรรพบุรุษฟ้าดินแห่งเต๋า รวมมวลพลังเป็นหนึ่งเดียว กายเปี่ยมด้วยแสงสีทอง ปกป้องข้าจากภัยอันชั่วร้าย…ข้าวิงวอนขอท่านเทพผู้สูงส่งอย่างเร่งด่วน จงทำตามบัญชา!”
หลักๆ บทสวดแสงสีทองใช้พลังภายในแสงสีทองปกป้องร่าง ขจัดปีศาจและวิญญาณร้าย อีกทั้งใช้ประโยชน์ได้อย่างกว้างขวาง พลังอิทธิฤทธิ์แกร่งกล้า ไม่รู้ว่าเผชิญสิ่งใดอยู่ แต่จากบทสวดคุ้มกันแล้ว ทำให้พละกำลังแกร่งกล้า คู่ต่อสู้ย่อมต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างแน่นอน
และเป็นไปตามคาด ครั้นฉินหลิวซีตอบโต้ อีกฝ่ายก็ถูกอาคมแว้งกัด แรงดึงจึงหายวาบไปทันตา จั่วจงจวิ้นจึงยืนอยู่ที่เดิมอย่างมั่นคง
“นี่ มันเกิดอะไรขึ้นหรือ” บุรุษอกสามศอกอย่างจั่วจงเหนียนตกใจจนหน้าซีดเผือด
ฉินหลิวซีรุดหน้าเดินเข้าไปถาม “อย่าพูดให้มากความ ตอนนี้ท่านถูกกักขังอยู่ที่ใด พูดจบแล้วก็รีบกลับไปเสีย”
จั่วจงจวิ้นยังไม่ตาย แต่ถูกเรียกกลับมาด้วยดวงวิญญาณที่มีชีวิต ซึ่งไม่ควรอยู่ห่างจากร่างเป็นเวลานานเกินไป มิฉะนั้นหากอยู่ห่างนานเกินไป ร่างกายจะไม่มีใครคอยปกป้องจนทำให้ตายได้ง่าย พอถึงตอนนั้นดวงวิญญาณก็จะไร้ร่างพักพิงจนกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อน หลังจากความตายนั้นวิญญาณที่หลุดออกจากร่างจะไร้คนนำทาง แต่เพราะออกจากร่างมาเอง แล้วจะมีใครตามหาเจ้าเล่า
ดวงวิญญาณที่มีชีวิตก็เช่นกัน ยิ่งไม่รู้เรื่องราวใดด้วย เพราะยามที่คนเรายังไม่ถึงฆาตคงไม่มีใครตั้งใจนำทางเจ้าไปยังเส้นทางยมโลกอยู่แล้ว ดังนั้นย่อมเป็นดวงวิญญาณเร่ร่อนไปโดยปริยาย
จั่วจงจวิ้นตอบว่า “ปิ่นของข้า ศาลาแท่นหยกนั้น ข้าอยู่ที่เดียวกับปิ่นปักผมนั่น…อ๊าก…”
พลันก็มีร่างเลือนรางปรากฏ กระชากข้อมือของจั่วจงจวิ้นลอยขึ้นกลางอากาศ เอ่ยตัดพ้อ “ไปกับข้า นอกเสียจากเจ้าจะไม่ต้องการร่างนั้นของเจ้าแล้ว”
“เจ้าเป็นใคร” ฉินหลิวซีมองร่างนั้น
นางเป็นหญิงเอาแต่ใจคนหนึ่ง สวมเสื้อผ้าสีขาวนวล กลิ่นอายไม่เหมือนดวงวิญญาณร่างทะมึนทั่วไป แต่พลังดวงวิญญาณบริสุทธิ์บางเบา นางขึงตามองฉินหลิวซีด้วยความเคียดแค้น ราวกับโมโหที่เมื่อครู่นางแพ้ฉินหลิวซีก็มิปาน
“เจ้ามีความสามารถต่อกรกับข้าได้ เจ้าก็เดาเอาเองสิ!” ครั้นนางพูดจบก็คิดจะหนีไป
ฉินหลิวซียกสองมือทำท่าร่ายคาถาจับตัวนางและจั่วจงจวิ้นมัดรวบเข้าไว้ด้วยกัน
จะไปเช่นนี้ คิดว่านางยอมแล้วหรือ
“เจ้าปล่อยพวกเราไป เจ้าจะฆ่าพี่จวิ้นให้ตายหรือ” หญิงสาวดิ้นรนอย่างเกรี้ยวโกรธ
“เจ้าเป็นคนกักขังเขาไว้เอง เจ้าต้องการฆ่าเขามากกว่ากระมัง” ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเรียบ
หญิงสาวสะอึก “เปล่า พวกเราเป็นคู่แท้ที่ฟ้าสร้างขึ้นมา ย่อมมีความสุขอย่างแน่นอน”
จั่วจงจวิ้นใกล้ร้องไห้เต็มที “ข้ามีคู่หมั้นอยู่แล้ว ข้าไม่รู้จักเจ้า สิ่งที่เจ้าคิดมันไม่ใช่เรื่องจริง เป็นเพียงความคิดเพ้อฝันของเจ้าทั้งเพ”
“เจ้าหุบปากไปเลยนะ!” หญิงสาวขึงตาคำรามใส่เขา
ฉินหลิวซีกลับเอ่ยเสียงเย็นเชียบว่า “จวนทางฝั่งคู่หมั้นของเจ้าเพิ่งมาถอนหมั้นไป”
หะ?
สองดวงตาของหญิงสาวเป็นประกาย “ถอนหมั้นแล้วหรือ”
จั่วจงจวิ้นมีเพียงความมึนงง “เหตุใดถึงถอนหมั้นเล่า”
“เรื่องนี้ต้องถามท่านพ่อของเจ้าดู” ฉินหลิวซีเหลือบมองใต้เท้าจั่วที่ยืนแน่นิ่ง พลางเอ่ย “ข้าเดาว่าคงมีหญ้างอกขึ้นบนหัวเจ้าแล้วกระมัง”
ทุกคน “?”
ครั้นใต้เท้าจั่วดึงสติกลับมาแล้ว นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย
แปะๆ
จั่วจงจวิ้น “…”
เจ้าหุบปากไปดีกว่า!
“ตกลงเจ้าจะปล่อยเขากลับมาเมื่อไร เขาเป็นคน ไม่สามารถถูกกักขังอยู่ในจินตนาการของเจ้าไปได้ชั่วชีวิต” ฉินหลิวซีมองหญิงสาวแล้วเอ่ย “วิญญาณดวงหนึ่ง ต้องการพลังที่แข็งแกร่งและจิตใจที่ตั้งมั่นถึงจะรักษาภาพที่คิดปรุงแต่งนี้เอาไว้ได้ แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป เจ้าก็จะอ่อนแอลงเรื่อยๆ จนสุดท้ายจะสลายและตกอยู่ในห้วงนิทราอย่างแท้จริง”
ใช่แล้ว เป็นวิญญาณดวงหนึ่ง
หญิงสาวตรงหน้าไม่ใช่ผีร้ายลี้ลับหรือปีศาจร้าย แต่เป็นเพียงวิญญาณตนหนึ่ง ซึ่งอาจเป็นวิญญาณที่เกิดจากพลังธรรมชาติฟ้าดินรวมกัน หรืออาจเป็นวิญญาณที่อยู่ในวัตถุ
เมื่อฟังจากคำพูดของจั่วจงจวิ้นแล้ว ฉินหลิวซีคาดว่าน่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า นั่นก็คือวิญญาณในปิ่นนั่นเอง
หญิงสาวตกใจอยู่บ้าง “เจ้ารู้หรือว่าข้าเป็นสิ่งใด”
ทุกคน นี่กำลังว่าตัวเองแต่กลับไม่รู้ตัวบ้างเลยหรือ!
“ข้าพอจะรู้ เดาเอา”
“เจ้าช่างเก่งนัก” หญิงสาวมองด้วยดวงตากลมโตเปล่งประกาย “สมแล้วที่สามารถเอาชนะคนของข้าได้”
ฉินหลิวซีเงยหน้าพลางเอ่ย “หากเจ้ายังดื้อรั้น ข้าก็สามารถทำลายวิญญาณของเจ้าได้ แต่ในเมื่อเจ้าชอบพี่จวิ้นมาก คงไม่กักขังเขาไปชั่วชีวิตกระมัง มิเช่นนั้นหากถูกกักขังอยู่ในความฝันของเจ้านานวันเข้า สุดท้ายเจ้าก็จะทนไม่ไหว พอช่องมิตินั้นถล่มลง เขาก็จะสลายไปพร้อมกันด้วย เจ้าคงทำใจทำลายเขาไม่ลงกระมัง”
หญิงสาวตกหลุมพรางคำพูดของฉินหลิวซี เอียงศีรษะก่อนจะเอ่ย “ไม่อยู่แล้ว มิเช่นนั้นข้าจะยอมทุ่มสุดแรงเพื่อช่วยเขาหรือ”
“นั่นสิ เจ้าช่วยเขาอย่างยากลำบาก ไม่มีทางปรารถนาให้เขาตายแน่นอน มิเช่นนั้นคงเสียแรงเจ้าแย่”
หญิงสาวพยักหน้าไม่หยุด “แน่นอนอยู่แล้ว”
ทุกคนมองฉินหลิวซีที่หลอกล่อวิญญาณด้วยสายตาตะลึงงัน พลันพวกเขาก็นึกสงสารวิญญาณตนนี้ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก นี่มันหลอกล่อโป้ปดซึ่งๆ หน้าได้เนียนมากทีเดียว!
“ตอนนี้เจ้าควรปล่อยเขาไปได้แล้วกระมัง” ฉินหลิวซีเอ่ย “ต่อให้ใช้ช่องมิติของความคิดพลังวิญญาณเจ้า แม้ว่าเขาจะยังมีชีวิตอยู่ แต่หากไม่ใช่เรื่องจริงถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องจริง สุดท้ายเขาก็เป็นเพียงมนุษย์ทั่วไปที่กินข้าวเป็นอาหาร ระยะเวลาที่เขาหายตัวไปก็เกือบจะครึ่งปีแล้ว เจ้าไม่มีทางปล่อยให้เขากินอาหารทิพย์ที่สร้างขึ้นจากพลังฟ้าดินไปชั่วชีวิตได้หรอกกระมัง”
จั่วจงจวิ้นยืนตะลึงงัน พลังฟ้าดินหรือ สิ่งที่เขากินดื่มมาตลอดครึ่งปีล้วนเป็นอาหารทั้งสิ้น แต่ทั้งหมดล้วนเป็นของปลอมทุกอย่างเลยหรือ
หญิงสาวกระวนกระวายใจอยู่บ้าง เอ่ย “ข้า…”
“มนุษย์ไม่ใช่วิญญาณ และเขาก็ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญ ย่อมไม่สามารถงดอาหารได้ในระยะยาว เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าทันทีที่เจ้าปล่อยเขาไป เขาก็จะผอมแห้งเหมือนกระดาษรูปคน เฉกเช่นนี้” ฉินหลิวซีหยิบกระดาษรูปคนจากมือของใต้เท้าจั่วขึ้นมาก่อนยกให้ดู
จั่วจงจวิ้นมองแวบหนึ่ง แล้วมองมืออันซีดขาวของตนเอง พลันก็ร่างสั่นสะท้าน ไม่หรอกมั้ง
ทว่าหญิงสาวกลับกำลังพินิจตรึกตรอง
“มารดาของเขาล้มป่วยหนักเพราะเขาไม่อยู่ หากนางป่วยจนล้มตาย จั่วจงจวิ้นคงชิงชังเจ้าเข้ากระดูก เจ้าอยากให้เขาเกลียดเจ้าจริงๆ หรือ ในเมื่อเจ้ารักเขามากขนาดนั้น!”
พลันจั่วจงจวิ้นก็ใจหายวาบ “ท่านแม่ของข้าป่วยหนักหรือ เจ้า…”
หญิงสาวเงยหน้าขึ้น ครั้นเห็นดวงตาแดงก่ำแฝงไปด้วยความแค้น นางก็รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ เอ่ยขึ้นว่า “ข้าก็แค่อยากจะอยู่กับเขาให้นานกว่านี้…ช่างเถอะ ข้าจะปล่อยเขาไป เพียงแค่พวกเจ้าต้องหาปิ่นปักผมนั้นให้เจอ ข้าเป็นวิญญาณสิงอยู่ในนั้น ทันทีที่ช่องมิติถล่ม ข้าก็แค่กลับไปยังปิ่นปักผมชิ้นนั้น ส่วนเขาก็ทำได้แค่ตามข้าไป”
ซึ่งก็หมายความว่า ปิ่นนั้นอยู่ที่ไหนก็จะเห็นเขาปรากฏตัวอยู่ที่นั่น