คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 900 เสนาบดีลิ่นมาหา
ตอนที่ 900 เสนาบดีลิ่นมาหา
คุณชายรองที่ตระกูลจั่วเพิ่งจัดงานศพไปไม่ถึงสองเดือนฟื้นคืนจากความตาย กลับมาแล้ว!
พอถึงรุ่งเช้าข่าวนี้ก็แพร่งพรายในแวดวงสังคมชั้นสูงของเมืองเซิ่งจิง บรรดาคุณชายที่สนิทสนมกับจั่วจงจวิ้นต่างทยอยพากันมาเยี่ยมเยียนถึงจวน เมื่อเห็นสหายยังไม่ตาย แม้จะผอมแห้งเพราะเผชิญกับวิบากกรรมอันใหญ่หลวงนั้นมา แต่เขาก็ยังเป็นคนเดิมและมีสติครบถ้วนดี
ตระกูลจั่วจึงแจกลูกอมมากมายต่อคนภายนอกไปทั่ว พร้อมกับส่งคนให้เอาซาลาเปาและหมั่นโถวไปแจกจ่ายค่ายผู้ลี้ภัยและเหล่าขอทานเพื่อแสดงความเมตตาธรรม
ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดคุณชายรองแห่งตระกูลจั่วถึงฟื้นคืนชีพโดยกะทันหัน ตระกูลจั่วปล่อยข่าวไปตามที่ฉินหลิวซีบอก เขาถูกกระแสใต้น้ำตรงรอยแยกของธารน้ำแข็งพัดพาไป แต่ได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะจึงสูญเสียความทรงจำ ต่อมาพอจำความได้แล้วถึงถูกส่งตัวกลับมา
ใช่แล้ว ท่านจั่วไม่ยอมปล่อยให้เรื่องเหลวไหลเกี่ยวกับผีสางเทวดาแพร่สะพัดออกไปเด็ดขาด!
แต่ก็มีคนเล่าลือว่าคุณชายรองแห่งตระกูลจั่วถูกภูตผีปีศาจกักขังไว้ เพราะหายตัวไปหลายเดือนราวกับอยู่ในห้วงฝันจินตนาการ พอตื่นจากห้วงฝัน เขาก็ถูกปล่อยตัวออกมาเลย
ไม่ว่าอย่างไร แค่คุณชายรองตระกูลจั่วยังมีชีวิตอยู่ก็พอแล้ว
แต่เรื่องที่แพร่งพรายตามมาติดๆ ก็คือข่าวการถอนหมั้นระหว่างคุณหนูบุตรสาวของใต้เท้าจังที่ปรึกษาบัณฑิตสำนักฮั่นหลินและตระกูลจั่ว ซึ่งตกเป็นประเด็นให้คนพูดถึงต่างๆ นานา
หากเขาตายแล้วยกเลิกการแต่งงานย่อมเป็นเรื่องปกติ ทว่าเวลานี้เขากลับมาแล้วแต่ดันถอนหมั้น เหตุใดถึงรู้สึกว่ามีเรื่องบางอย่างไม่ชอบมาพากลซ่อนอยู่กันนะ
ยังมีคนวงในบอกว่าตระกูลจังคิดเกาะจวนฉังผิงปั๋วเป็นบันไดไต่เต้า ดังนั้นจึงรังเกียจคนตายอย่างจั่วจงจวิ้นที่ขัดขวางทางเลยถอนหมั้นไป
ความจริงเป็นอย่างไรยังคงตกเป็นข้อถกเถียงกันในหมู่ผู้คน
แต่เพราะตระกูลจั่วดีใจที่จั่วจงจวิ้นกลับมา กระทั่งอยากจุดประทัดฉลองกันใจแทบขาดโดยไม่สนใจข่าวลือที่แพร่สะพัดภายนอกเลยสักนิด
ฉินหลิวซีตรวจดูชีพจรให้จั่วจงจวิ้น ก่อนบอกวิธีการบำรุงร่างกายและมอบยันต์ชโลมจิตใจ จากนั้นก็ถือว่าเรื่องเลวร้ายในตระกูลจั่วเป็นอันสิ้นสุดลง
จั่วจงจวิ้นถาม “แล้วนางเล่า”
ใต้เท้าจั่วและจั่วจงเหนียนมองไปทางฉินหลิวซี
ฉินหลิวซีหยิบปิ่นปักผมชิ้นนั้นออกมา ยามมองผ่านแสงแดดตอนกลางวัน ปิ่นหยกโบราณชิ้นนี้ช่างสง่างดงาม เพียงแต่รอยร้าวที่หัวปิ่นกลับเด่นหราอย่างชัดเจน
“วิญญาณหยกหรือ” ฉินหลิวซีใช้ยันต์อักขระแห่งเต๋าพันรอบปิ่นหยก ถือว่าให้อักขระช่วยวิงวอนอธิษฐานให้นางมีพลังเพิ่มขึ้น
ปิ่นหยกแผ่ความร้อนเล็กน้อยก่อนมีร่างหนึ่งปรากฏออกมา ซึ่งร่างเลือนรางกว่าก่อนหน้านี้มาก พลังวิญญาณกระจัดกระจายเล็กน้อย
“เจ้าเป็นอะไรไปหรือ” จั่วจงจวิ้นเห็นเช่นนั้นก็ตกใจไปชั่วขณะ ตั้งแต่อยู่กับนางมาครึ่งปี เขาไม่เคยเห็นวิญญาณหยกอ่อนแอขนาดนี้มาก่อน
วิญญาณหยกเอ่ยด้วยรอยยิ้มกว้าง “เดิมทีตอนช่วยเจ้า ข้าก็ใช้พลังวิญญาณเพื่อปกป้องเจ้าไปมากแล้ว เจ้าถึงไม่ได้รับบาดเจ็บ ตลอดครึ่งปีที่ผ่านมาเรามีชีวิตเหมือนอยู่ในโลกมนุษย์ ภาพลวงตาที่สมจริงเหล่านั้น ล้วนต้องใช้พลังวิญญาณมหาศาลสร้างขึ้น แต่น่าเสียดายที่เจ้ารู้ตัวมาตลอด ไม่เคยเห็นภาพลวงตานั้นเป็นของจริงเลยสักครั้ง”
จั่วจงจวิ้นเม้มริมฝีปาก
“เจ้าผลาญพลังวิญญาณของตนเองจนเกลี้ยงแล้ว” ฉินหลิวซีเอ่ย
“ผลาญพลังวิญญาณหมดยังไม่เท่าไร แต่ดันมีพลังตีกลับตอนสู้กับเจ้าอีก ดังนั้นข้าถึงทนไม่ไหว ก่อนหน้านี้เจ้าพูดถูก ข้าคงยืนหยัดสร้างภาพลวงตานั้นไม่ไหวในไม่ช้าก็เร็ว แต่สิ่งที่คาดคิดไม่ถึงก็คือปิ่นปักผมชิ้นนี้มีรอยร้าว เดิมทีข้าเป็นวิญญาณในวัตถุ พอบัดนี้มีรอยร้าว พลังวิญญาณกระจัดกระจาย ต่อให้ข้าจำศีลบำเพ็ญก็คงลำบาก” วิญญาณหยกทำหน้ามุ่ยมองรอยร้าวบนปิ่นก่อนหันไปมองจั่วจงจวิ้นแล้วเอ่ย “แต่ไม่เป็นไร ข้าไม่โทษเจ้า ครึ่งปีมานี้ข้าช่างมีความสุขนัก!”
จั่วจงจวิ้นรู้สึกขมขื่นในใจอยู่บ้าง ลำคอแห้งผากพูดไม่ออก อยากพูดอะไรบ้างแต่สุดท้ายก็พูดไม่ออกสักคำ
“แม้ข้าจะกักขังเจ้ามาครึ่งปี แต่ข้าก็เป็นคนช่วยชีวิตของเจ้าไว้ วันหน้าเจ้าต้องใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ห้ามทรยศต่อพลังวิญญาณที่ข้ายอมสูญเสียไปเด็ดขาด!”
จั่วจงจวิ้นได้ยินเช่นนั้นก็ปวดหัวใจ “ข้าทำสิ่งใดเพื่อเจ้าได้บ้าง”
“ลำพังแค่มนุษย์อย่างเจ้าจะทำสิ่งใดได้ แก้วที่แตกแล้วย่อมกลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ได้ ปิ่นหยกก็เช่นกัน ในเมื่อมีรอยร้าวเกิดขึ้นแล้วย่อมต่อไม่ติด” วิญญาณหยกยิ้มหวานซึ่งเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ บนใบหน้าไร้ซึ่งความขุ่นเคืองใด นางไม่เคยเสียใจในสิ่งที่ตนเองทำ
จั่วจงจวิ้นดวงตาแดงก่ำก่อนมองไปทางฉินหลิวซี เขาแค่อยากกลับบ้านมาอยู่กันพร้อมหน้าทั้งครอบครัว แต่ไม่เคยคิดทำร้ายวิญญาณหยกแม้แต่น้อย เพราะนางเองก็ไม่เคยทำร้ายเขาเช่นกัน
ทว่าพอได้ฟังคำพูดของวิญญาณหยก ซึ่งหมายความว่านางต้องแตกสลายหายไป พลันก็รู้สึกว่าตนกลายเป็นบุรุษโฉดเลวทรามขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น!
ฉินหลิวซีเห็นว่าวิญญาณหยกใกล้สลายหายไปเต็มที จึงเอ่ย “เจ้ากลับเข้าไปในปิ่น ข้าจะพาเจ้ากลับอารามเต๋า ข้าจะใช้ยันต์พันรอบปิ่นแล้ววางไว้ใต้ที่นั่งของเจ้าลัทธิเพื่อรับธูปเทียนบูชา เจ้าเองก็ฝึกบำเพ็ญตนไปเรื่อยๆ หากวันใดมีกายหยาบขึ้นมาก็อย่าลืมสร้างความสุขให้ปวงประชาแล้วกัน”
วิญญาณหยกกะพริบตาปริบๆ “ข้าทำได้หรือ”
“เจ้าเป็นจิตวิญญาณ ขอแค่ยืนหยัดมีใจปฏิบัติฝึกบำเพ็ญ ย่อมฝึกฝนบำเพ็ญในทางของตนได้”
“เจ้าเป็นคนดีที่ทั้งหลักแหลมและเก่งมากจริง ๆ ข้าตอบตกลง” วิญญาณหยกคำนับให้ฉินหลิวซี จากนั้นก็หันไปหาจั่วจงจวิ้น เอ่ยว่า “เดิมทีเจ้าเป็นคนซื้อปิ่นชิ้นนี้มา บัดนี้ข้าได้ช่วยชีวิตเจ้า ปิ่นหยกชิ้นนี้ก็ถือว่าให้ข้าเพื่อตอบแทนคุณที่ช่วยชีวิตเจ้าไว้แล้วกัน ให้นางเอาไป เจ้าจะเก็บไว้ไม่ได้”
จั่วจงจวิ้นย่อมตอบตกลง เพราะเดิมทีเขาซื้อปิ่นชิ้นนี้มาจากร้านขายของเก่า
วิญญาณหยกทนไม่ไหวอีกต่อไป ไม่นานก็กลับเข้าไปในปิ่น ฉินหลิวซีจึงใช้ยันต์พันรอบปิ่นไว้อีกครั้ง หลังจากครุ่นคิดดูแล้วถึงปล่อยแสงสีทองแห่งบุญกุศลบางส่วนไปให้
ปิ่นหยกแผ่ความร้อนเล็กน้อย ก่อนจะเงียบกริบไร้สุ้มเสียงอย่างแท้จริง
“ไปแล้วหรือ” จั่วจงจวิ้นเผยใบหน้าเศร้าหมอง “ข้าทำสิ่งใดเพื่อนางไม่ได้เลยหรือ”
ฉินหลิวซีเอ่ย “สร้างแผ่นบูชาแล้วเรียกให้ความเคารพว่าวิญญาณปิ่นหยกแล้วกัน หากบูชาด้วยความเลื่อมใสศรัทธา นางก็จะได้รับพลังจากความศรัทธานั้น แต่ต้องมาจากความจริงใจด้วยนะ”
“ได้เลย วันหน้าข้าอาจจะไปเยี่ยมนางที่อารามเต๋าของพวกท่าน ข้าขอบริจาคทำบุญด้วยได้หรือไม่”
ฉินหลิวซียิ้มเอ่ย “นั่นย่อมดีเข้าไปใหญ่เลย”
จั่วจงเหนียนรู้สึกโล่งอกไม่น้อย แต่ก็ยังรู้สึกเศร้าใจที่ไม่เป็นอย่างหวัง
ใต้เท้าจั่วมองปิ่นหยกในมือของฉินหลิวซี พลันก็ยิ่งรู้สึกว่าความเชื่อเดิมถูกท้าทาย หากข่าวรั่วไหลออกไปว่าวิญญาณสิงปิ่นหยกได้ช่วยชีวิตบุตรชายของเขาไว้ละก็ คนอื่นๆ คงคิดว่าเขาเสียสติไปแล้วกระมัง
ฉินหลิวซีเก็บปิ่นหยกก่อนจะเอ่ย “เรื่องที่นี่เสร็จสิ้นแล้ว เช่นนั้นข้าขอตัวกลับล่ะ ส่วนฮูหยินผู้เฒ่ากับคุณชายรองก็ปฏิบัติตามคำแนะนำตามแผนการรักษาของข้า ที่เหลือก็เชิญหมอหลวงมาตรวจดูอาการได้เลย”
“ขอบคุณมาก” ใต้เท้าจั่วลุกขึ้น แล้วทำความเคารพต่อนางด้วยท่าทีจริงจัง ในเมื่อช่วยไว้ตั้งสองชีวิต นางควรรับไว้
ทว่าฉินหลิวซีกลับเบี่ยงตัวหลบแล้วเอ่ย “ไม่ต้องขอบคุณ แค่อย่าลืมให้เงินค่ารักษาก็พอ”
จั่วจงเหนียนรีบโพล่งถาม “ไม่รู้ว่าจ่ายเท่าไหร่ถึงจะแสดงความจริงใจให้เห็นได้หรือ”
ฉินหลิวซียิ้มตาหยีพลางเอ่ย “ให้ตามกำลังศรัทธาแล้วกัน”
“นายท่าน” ผู้ดูแลจวนโค้งตัวแล้วเดินเข้ามายืนข้างกายใต้เท้าจั่ว
“มีเรื่องใดหรือ”
ผู้ดูแลจวนมองฉินหลิวซีแวบหนึ่งด้วยความยำเกรง เอ่ย “เสนาบดีลิ่นมาหาถึงจวน พอทราบว่า เจ้าอาวาสน้อยอยู่ที่นี่ ท่านเลยมารับตัวนางเพื่อพบปะพูดคุยด้วยขอรับ”
ใต้เท้าจั่วตกใจยกใหญ่ “เขามาด้วยตัวเองเลยหรือ”
ผู้ดูแลจวนพยักหน้า “ขอรับ ตอนนี้รออยู่ในโถงดอกไม้”
ไม่ได้ส่งบ่าวมารับตัว แต่กลับมารับด้วยตนเอง แสดงว่าให้ความสำคัญกับฉินหลิวซีผู้นี้มาก
“เหตุใดถึงไม่รีบมารายงานให้เร็วๆ” ขณะที่ใต้เท้าจั่วกำลังเดินไป พลันก็หยุดชะงักไป ก่อนจะหันไปถามฉินหลิวซีว่า “เจ้าอาวาสน้อย เจ้ารู้จักกับเสนาบดีลิ่นมาก่อนด้วยหรือ เขาอยากมาเชิญตัวพบปะพูดคุยกับเจ้า เจ้าคิดเห็นเช่นไร”
ฉินหลิวซีหน้านิ่วคิ้วขมวด คงไม่ได้มาเพราะฮูหยินผู้เฒ่าของจวนเขากระมัง