คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 901 เสนาบดีลิ่นกล่าว สายตาเช่นนี้ ข้ารู้สึกหวั่นใจ
- Home
- คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า
- ตอนที่ 901 เสนาบดีลิ่นกล่าว สายตาเช่นนี้ ข้ารู้สึกหวั่นใจ
ตอนที่ 901 เสนาบดีลิ่นกล่าว สายตาเช่นนี้ ข้ารู้สึกหวั่นใจ
เสนาบดีลิ่นมาหาเพราะเรื่องมารดาของตนจริงๆ นับตั้งแต่ปีก่อนที่ฉินหลิวซีช่วยชีวิตมารดาตนจากโรคหลอดเลือดสมองอุดตันอย่างเฉียบพลันไว้ กระทั่งกล่าวเรื่องอายุขัยของท่านเป็นนัยๆ ปีที่ผ่านมานี้นางผู้เฒ่าจึงได้รับการดูแลเป็นอย่างดี แต่กระนั้นก็ไม่สามารถต้านทานกาลเวลาที่ล่วงเลยไปได้ ร่างกายเองก็ทรุดโทรมแก่ตัวลงเรื่อยๆ
ฮูหยินลิ่นผู้เฒ่าเริ่มมีอาการหลงลืม โดยเฉพาะในช่วงปลายฤดูหนาวปีก่อน จู่ๆ นางผู้เฒ่าก็เกิดอาการปวดหลังขึ้นมา บวกกับอากาศที่หนาวเหน็บจึงทำให้ล้มป่วย พลันนางก็ดูเซื่องซึมลงไม่น้อย ก่อนที่จะค่อยๆ หลงลืมและจำใครไม่ได้
บัดนี้มีหมอหลวงมาตรวจชีพจรให้ฮูหยินผู้เฒ่าที่จวนทุกวัน หมอประจำจวนเองก็ร่วมวินิจฉัยอาการด้วย แต่ก็ไม่มีใครสามารถรักษาอาการหลงลืมของนางผู้เฒ่าได้
สิ่งที่หมอหลวงบอกอย่างเป็นนัยๆ เสนาบดีลิ่นเองก็รู้อยู่แก่ใจดี ซึ่งก็หมายความว่าอายุมากแล้ว อีกทั้งยังจดจำคำพูดของฉินหลิวซีได้ กลัวก็แต่วันเวลาของมารดาจะเหลืออีกไม่มากแล้ว
แม้ว่าจะรู้เรื่องนี้ แต่ก็ยังอดปวดใจไม่ได้ เนื่องด้วยฉินหลิวซีอยู่ไกลถึงเมืองหลี แต่พอรู้ว่านางมาเยือนเซิ่งจิง เสนาบดีลิ่นย่อมไม่มีทางพลาดเจอนางแน่นอน หากมีความหวังริบหรี่ขึ้นมาเล่า
“หากเจ้าไม่อยู่ก็ว่าไปอย่าง คงถือว่าเป็นเรื่องของโชคชะตาไป แต่พอเจ้าเข้าเมืองหลวงมา อีกทั้งมีข่าวความเคลื่อนไหวแพร่งพรายออกมาอย่างต่อเนื่อง ข้าเลยสั่งให้คนไปตามสืบเลยรู้ว่าเจ้ามาที่นี่ ถึงกล้าหน้าด้านไปเชิญตัวเจ้าถึงจวนตระกูลจั่ว” เสนาบดีลิ่นเอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ที่จริงข้าก็แค่ทุ่มเทเพื่อความหวังอันริบหรี่เท่านั้น”
“ช่างเป็นเกียรตินักที่ท่านให้ความสำคัญต่อข้า แต่ข้าบอกไปตั้งแต่ปีก่อนแล้วว่าฮูหยินผู้เฒ่าเป็นโรคหลอดเลือดในสมอง บวกกับด้วยวัยนี้แล้ว…” ฉินหลิวซียังเอ่ยไม่ทันจบ
“ข้าเข้าใจ รู้ก็รู้อยู่หรอก แต่ในฐานะแม่ลูก ต่อให้มีเพียงความหวังอันริบหรี่ข้าก็ไม่อยากพลาดแม้แต่น้อย” เสนาบดีลิ่นเอ่ย “ยามนี้นางหลงลืมหนักขึ้นเรื่อยๆ บางครั้งจำข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ”
ครั้นพูดถึงเรื่องนี้ สีหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความเศร้าและเจ็บปวด น้ำเสียงเจือเสียงสั่นเครือเล็กน้อย
“หากเคยเป็นโรคหลอดเลือดในสมอง เรื่องอาการหลงลืมย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก ความจริงอาการหลงลืมก็คือการกลับไปอยู่ในวัยเด็ก นางจำคนหรือเรื่องราวใดไม่ได้ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร สิ่งสำคัญก็คือนางยังกินได้ ดื่มได้ นอนได้และไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ นั่นคือความสบายที่สุดแล้ว” ฉินหลิวซีถอนหายใจเสียงเบา “คนแก่เมื่อถึงวัยนี้ หากมีลูกหลานอย่างพวกท่านคอยกตัญญูอยู่รับใช้ ย่อมดีกว่ามีข้าทาสบริวารมากมายคอยรับใช้ อาการหลงลืมไม่ใช่เรื่องน่ากลัว เพราะนางได้ใช้วันเวลาสุดท้ายอย่างสมศักดิ์ศรีและมีความสุข ความจริงสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือการถูกโรคภัยเบียดเบียนจนทรมานต่างหาก ถึงจะเหมือนการใช้ชีวิตอย่างตายทั้งเป็น”
สติเลอะเลือนหลงลืมไม่ใช่เรื่องน่ากลัว น่ากลัวก็แต่ไม่มีใครสนใจ นั่นต่างหากที่น่าสงสาร
เสนาบดีลิ่นยิ้มเจื่อน “ข้าจะถือว่าเจ้าปลอบใจข้าแล้วกัน”
“ข้าเองก็พูดไปตามความจริง” ฉินหลิวซีขยิบตาอย่างเจ้าเล่ห์เอ่ย “ในเมื่อมาแล้ว เช่นนั้นก็ตรวจดูชีพจรให้ฮูหยินผู้เฒ่าหน่อยแล้วกัน”
เสนาบดีลิ่นเอ่ยขอบคุณที ก่อนจะพานางไปยังเรือนของฮูหยินผู้เฒ่าด้วยตนเอง
จวนตระกูลลิ่นมีกฎระเบียบที่เข้มงวด แม้ว่าฉินหลิวซีจะกลับมาหลังจากห่างหายไปนานหนึ่งปี แต่บ่าวรับใช้บางคนก็ยังจำนางได้ ในเมื่อนางเป็นหมอเทวดาที่ช่วยชีวิตฮูหยินผู้เฒ่าไว้ บัดนี้ยังมีนายท่านคอยประกบข้างกาย ดังนั้นบ่าวรับใช้ทุกคนจึงโค้งคำนับให้อย่างนอบน้อม ปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเหมาะสม
ลิ่นฮูหยินรู้ข่าวล่วงหน้าจึงพาลูกสะใภ้และบุตรสาวลิ่นชิงถังมารอในลาน พอเห็นฉินหลิวซี นางก็ฉีกยิ้มบนใบหน้าก่อนจะเดินเข้าไปต้อนรับ
“ท่านเจ้าอาวาสน้อย ไม่เจอกันนานเชียว”
ฉินหลิวซีคำนับกลับทีละคน ก่อนที่สายตาจะกวาดมองใบหน้าตั้งแต่ลิ่นฮูหยิน สะใภ้คนโตของนาง และลิ่นชิงถัง
“ไม่เจอกันหนึ่งปี นายหญิงใหญ่ลิ่นตั้งครรภ์อีกแล้ว ยินดีด้วย”
นายหญิงใหญ่ลิ่นอุทานด้วยความตกใจนิ่งงัน
ลิ่นฮูหยินผงะไป ก่อนจะรีบหันไปมองสะใภ้ใหญ่ “เจ้าตั้งครรภ์หรือ”
“เปล่า…” นายหญิงใหญ่ลิ่นพูดไม่ออกสักคำ แต่ไม่รู้ว่าคิดเรื่องใดออก พลันหัวใจก็เต้นตึกตัก ก่อนมองฉินหลิวซีพร้อมสองดวงตาเปล่งประกาย “ข้าท้องแล้วหรือ”
ฉินหลิวซียื่นมือออกไป นางเองก็ยื่นข้อมือส่งให้ตามสัญชาตญาณเช่นกัน รอกระทั่งสองเรียวนิ้วอันเย็นเยียบแตะลงบนข้อมือแล้ว พลันหัวใจก็ยิ่งเต้นเร็วขึ้น
“เส้นชีพจรดุจไข่มุกกลิ้งไปมา ชีพจรลื่นไหลอย่างแท้จริง เพียงแต่เดือนยังอ่อนนัก ยังไม่ครบหนึ่งเดือน รออีกไม่กี่วันคงเห็นได้ชัดขึ้น ช่วงนี้อย่าทำงานหนักเกินไปนัก”
ทันใดนั้นนายหญิงใหญ่ลิ่นก็ดีใจจนยิ้มไม่หุบ นางดึงปิ่นทองซึ่งสลักด้วยเม็ดทับทิมแดงจากบนศีรษะหมายเสียบลงบนมวยผมของฉินหลิวซี แต่พอเห็นบนหางม้าเกล้าสูงของนางมีปิ่นปักอยู่จึงยื่นปิ่นนั้นใส่มือของฉินหลิวซีแทน “ขอบคุณท่านเจ้าอาวาสน้อยที่ช่วยตรวจชีพจรให้ พอจะรู้หรือไม่ว่าเด็กในครรภ์นี้เป็นชายหรือหญิง”
นัยน์ตาของลิ่นฮูหยินก็แฝงไปด้วยรอยยิ้ม ความหวังแต่งแต้มเต็มใบหน้า
สะใภ้ใหญ่มีบุญไม่น้อย เพราะให้กำเนิดบุตรชายถึงสองคนแล้ว หลานคนโตยิ่งโดดเด่น ถูกท่านผู้เฒ่าบ่มเพาะพาติดตัวไปด้วยเสมอ เวลานี้พวกเขาทั้งสองอยากได้สาวน้อยตัวนุ่มนิ่มสักคนใจแทบขาด
เสนาบดีลิ่นเองก็มีความหวังเช่นกัน
ฉินหลิวซีกำปิ่นพลางเงียบไปครู่หนึ่ง เอ่ย “บำรุงร่างกายดีๆ รอลุ้นท้องหน้าดีกว่า!”
ทุกคนต่างทำหน้าหงิก “…”
ซึ่งก็หมายความว่าครั้งนี้ไม่มีหวัง แยกย้ายเถอะ!
นายหญิงใหญ่ลิ่นคลำท้องพลางทอดถอนหายใจ
ลิ่นชิงถังยิ้มยียวนตาหยี “พี่สะใภ้ พี่กับพี่ใหญ่รักใคร่กันดี ย่อมได้ดั่งใจหวังในไม่ช้าก็เร็วแน่นอน
นายหญิงใหญ่หน้าแดงระเรื่อ ค้อนใส่ “สมกับที่ใกล้ออกเรือนแล้วจริงๆ กล้าที่จะยียวนข้าด้วย”
ลิ่นชิงถังหน้าแดงขวยเขิน
ฉินหลิวซีมองนางแวบหนึ่ง ครั้นเห็นท่าทีขวยเขินของนาง บวกกับท่าทีรอคอยอยู่ลึกๆ แสงนัยน์ตาก็วูบไหวเล็กน้อย
เสนาบดีลิ่นเสมองมาโดยไม่ตั้งใจ พลันรอยยิ้มบนใบหน้าก็เก็บลงเล็กน้อย พร้อมหัวใจก็เต้นระรัว
จากสายตาเช่นนี้ ข้ารู้สึกหวั่นใจนัก!
“นายท่าน ฮูหยิน ฮูหยินผู้เฒ่าเตรียมตัวพร้อมแล้วเจ้าค่ะ” มีหมัวหมัวผู้เฒ่าคนหนึ่งเดินรุดหน้าเข้ามา ก่อนจะทำความเคารพต่อทุกคน
ทุกคนจึงเลิกถามไถ่พูดคุยกัน ก่อนจะเดินเข้าไปข้างในเป็นเพื่อนฉินหลิวซี
ฮูหยินลิ่นผู้เฒ่าเอนร่างพิงหมอนใหญ่อยู่บนตั่งไม้ในชุดอาภรณ์ผ้าแพรลายหงส์นก พร้อมทั้งผ้าคาดบนหน้าผากในลวดลายเดียวกัน สองดวงตาปิดลงเล็กน้อย สาวรับใช้คนหนึ่งถือไม่ทุบนวดขาให้นางอย่างเบามือ รวมถึงสาวรับใช้อีกคนก็กำลังยืนอ่านหนังสือให้ฟังเสียงเจื้อยแจ้วอยู่ข้างกาย
“ฮูหยินผู้เฒ่า พวกนายท่านมาแล้วเจ้าค่ะ” หมัวหมัวคนสำคัญเดินเข้ามาบอก ก่อนจะให้สาวรับใช้คนอื่นๆ ออกไป
“ท่านแม่ ลูกเชิญท่านเจ้าอาวาสน้อยมาช่วยตรวจดูชีพจรให้ท่าน” เสนาบดีลิ่นเอ่ยเสียงนุ่มนวลขณะเดินเข้าไปหา
ฮูหยินลิ่นผู้เฒ่าหรี่ตามองเขาครู่หนึ่ง เหมือนระลึกความทรงจำว่าอีกฝ่ายคือใคร แต่นางก็ยังจำไม่ได้ ทว่าพอเห็นฉินหลิวซี ดวงตาที่ขุ่นมัวก็สว่างวาบขึ้นมาราวแสงประกายของดวงดารา พลันนั่งตัวตรง ผลักร่างบุตรชายออก ก่อนจะกวักมือเรียกฉินหลิวซีเข้าไปหา “แม่หนู ข้าจำแม่หนูได้”
เสนาบดีลิ่นปวดใจอยู่บ้าง แต่ก็ถอยไปยืนด้านข้างอย่างเงียบๆ
มีบ่าวคนหนึ่งยกเก้าอี้ตัวเล็กมาวางไว้ข้างตั่งอย่างรู้งาน ฉินหลิวซีนั่งลงพร้อมจับมือที่ฮูหยินลิ่นผู้เฒ่ายื่นออกมา ใช้สองนิ้วแตะข้อมือพร้อมกับยิ้มร่า เอ่ยถามว่า “หากท่านรู้จักข้า แล้วข้าเป็นใครหรือ”
“เจ้าก็คือเจ้าอาวาสน้อย เมื่อครู่คนร่างโตนี่เพิ่งบอกเอง คิกๆ” ฮูหยินลิ่นผู้เฒ่าชี้ไปทางเสนาบดีลิ่น เอ่ยถามนาง “เหตุใดนานแล้วเจ้าถึงไม่มาหาเลย”
ฉินหลิวซีตอบกลับ “ย่อมเป็นเพราะท่านไม่ยอมเชื่อฟังและกินยาอย่างว่าง่าย ข้าเลยโกรธท่าน”
ทุกคนต่างยิ่งให้ความนับถือ เพราะหลังจากฮูหยินผู้เฒ่าหลงๆ ลืมๆ พฤติกรรมก็เริ่มเหมือนเด็กขึ้นทุกที ไม่ยอมให้ความร่วมมือเรื่องกินยา แถมมักทำยาหกบ่อยครั้ง
“อ๊า!” ฮูหยินลิ่นผู้เฒ่าเผยสีหน้าเหมือนกินปูนร้อนท้อง มองนางด้วยท่าทีระมัดระวังราวกับเด็กน้อย ตัดพ้ออย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “ช่างขมนัก”
“เช่นนั้นข้าจะเขียนใบสั่งยาที่ไม่ขมให้ แต่ต้องกินอย่างว่าง่าย มิเช่นนั้นข้าจะไม่มาหาอีก”
“ตกลง”
เสนาบดีลิ่นมองมาด้วยสายตาเชิงตั้งคำถาม แต่เมื่อเห็นฉินหลิวซีส่ายหน้าเบาๆ พลันแววตาของเขาก็หมองลง อีกทั้งมือข้างกายของเขาก็กำแน่น