คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 902 ทำเรื่องที่สอดคล้องกับสถานะดีกว่า
ตอนที่ 902 ทำเรื่องที่สอดคล้องกับสถานะดีกว่า
ตามที่ฉินหลิวซีเคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ ฮูหยินลิ่นผู้เฒ่าใกล้หมดอายุขัยแล้ว อาการป่วยของนางในยามนี้เรียกว่าโรคชรา ฉินหลิวซีไม่ได้เขียนใบสั่งยาอะไรมากนัก นางเพียงปรับยาที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายในเวลานี้ให้ดื่ม อีกทั้งฝังเข็มเพื่อปรับสมดุลลมปราณหยินหยางในร่างกาย ทำให้ร่างกายรู้สึกเบาสบายและนอนหลับได้ดีขึ้น
พูดง่ายๆ ก็คือดูแลรักษาสภาพร่างกายนั่นเอง
เสนาบดีลิ่นเองก็ไม่ได้รบเร้า ตั้งแต่ฉินหลิวซีบอกเขาหนก่อน เขาก็เริ่มวางแผนปูทางเพื่อตระกูล รวมถึงเตรียมพร้อมรับมือกับการสูญเสียมารดาแล้ว
รอกระทั่งฮูหยินลิ่นผู้เฒ่าพักผ่อน ฉินหลิวซีถึงขอตัวกลับ โดยปฏิเสธคำร้องขอเขียนใบสั่งยารักษาครรภ์ของนายหญิงใหญ่ลิ่น แต่กลับให้ยันต์คุ้มกันครรภ์แก่นางแทน
“สุขภาพของท่านดีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องกินยาบำรุงครรภ์ เพียงแค่ต้องจับคู่เลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ไปตามปกติ ไม่ต้องบำรุงมากนักและพยายามหลีกเลี่ยงความเย็น บวกกับนำยันต์คุ้มกันครรภ์ใบนี้พกติดตัวไว้จะช่วยให้ปลอดภัยได้”
นายหญิงใหญ่ลิ่นรับมาด้วยมือสองข้าง ก่อนจะใส่ลงในถุงหูรูดอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็หยิบถุงหูรูดที่สาวรับใช้ยื่นมาให้ยัดใส่มือของฉินหลิวซี เรื่องนี้เป็นเรื่องของนาง แน่นอนว่านางย่อมต้องเป็นคนจ่ายเงินค่ารักษาเอง
ฉินหลิวซีรับมาโดยไม่พินิจใคร่ครวญสักนิด ครั้นเห็นว่าเที่ยงแล้ว นางจึงตอบรับคำเชิญชวนของเสนาบดีลิ่นเพื่อร่วมกินมื้อเที่ยงด้วย
หลังจากกินมื้อเที่ยงเสร็จ ผู้ดูแลจวนก็นำบ่าวรับใช้มายกสำรับอาหารออกไป ก่อนจะจัดแจงวางกาน้ำชาแทนที่ ครั้นตอนออกจากห้องเห็นเด็กผู้ใหญ่สองคนยกถ้วยชานั่งเผชิญหน้าสนทนากัน อายุห่างกันมากพอที่จะเป็นปู่หลานกันได้ แต่ปฏิสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองกลับดูเท่าเทียมและเป็นธรรมชาติอย่างมาก
แม้แต่คุณชายใหญ่ยังไม่กล้าวางตัวสบายๆ เช่นนี้ต่อหน้าเสนาบดีลิ่นเลยกระมัง
ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเหล่าขุนนางคนอื่นๆ ยามเผชิญหน้ากับเสนาบดีลิ่น หากไม่เผยท่าทีหวาดกลัวยำเกรงก็เผยท่าทีเคารพนอบน้อม
เสนาบดีลิ่นมองไปทางฉินหลิวซี เอ่ยว่า “หลังจากปู่เจ้ากลับมาดำรงตำแหน่ง เขาก็สามารถดำเนินการได้อย่างมั่นคง เรื่องเซ่นไหว้บูชาเป็นเรื่องใหญ่ ถึงแม้จะถูกใส่ร้ายป้ายสี แต่เพราะเกิดความผิดพลาดในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่ง ถือว่าละเลยต่อหน้าที่ ฝ่าบาทจึงทรงไม่พอพระทัย ด้วยวัยนี้ยิ่งเกรงกลัวเสื่อมเสียชื่อเสียง กลัวถูกประณามว่าไร้ความกตัญญูหรือไร้ความเป็นธรรมในฐานะผู้นำ ดังนั้นการปล่อยให้ปู่เจ้าอยู่ในตำแหน่งนี้ได้ก็นับว่าเป็นบุญคุณอันใหญ่หลวงแล้ว”
ฉินหลิวซีเพียงยิ้มบางเอ่ย “ท่านไม่จำเป็นต้องอธิบายให้ข้าฟัง ข้าไม่สนใจเรื่องราชสำนัก ทางโลกตระกูลฉินจะรุ่งเรืองหรือไม่ก็ใช่ว่าจะขึ้นอยู่กับเขา แต่ขึ้นอยู่กับคนรุ่นใหม่ในตระกูลมากกว่า”
“พอจะมองออก” เสนาบดีลิ่นรู้สึกเฉยๆ ต่อรุ่นของฉินหยวนซาน กระทั่งฉินปั๋วหงด้วย สองรุ่นก่อนหน้านี้อาจจะรักษาความสำเร็จไว้ได้ แต่ไม่ได้สร้างความเจริญรุ่งเรืองที่ยิ่งใหญ่มากนัก เดาว่าคงผงาดขึ้นได้ในรุ่นที่อายุน้อยที่สุด ในเมื่อมีฉินหลิวซีอยู่ด้วย
“แต่เจ้าวางใจได้เลย เพียงปฏิบัติไปตามกฎ เมื่อถึงเวลาปลดเกษียณ บางทีอาจจะได้เลื่อนขั้นอีกก็ได้” เขาเอ่ยเสริมขึ้นอีกประโยค
ทว่าฉินหลิวซีกลับไม่ใส่ใจ
ครั้นเสนาบดีลิ่นเห็นท่าทีเพิกเฉยของนางในเรื่องนี้ ในใจก็รู้ทันทีว่านางไม่ได้สนิทสนมกับคนในตระกูลฉินเท่าไรนัก พลันอดเสียดายแทนฉินหยวนซานไม่ได้
คนที่นางมีพระคุณด้วยในเมืองหลวงนี้ หากใช้สิบนิ้วนับก็คงไม่พอ เพียงนางเต็มใจกวักมือร้องเรียก ไม่รู้ว่าการตอบแทนบุญคุณจะถาโถมเข้ามามากมายเพียงไหน
น่าเสียดายที่หลานสาวคนนี้ไม่ค่อยสนิทสนมกับคนในตระกูลฉินนัก!
เขาจิบชาอึกหนึ่งแล้วเอ่ย “ใช่แล้ว กำหนดการแต่งงานของชิงถัง บุตรสาวคนเล็กของข้าจะจัดขึ้นเดือนแปด เจ้าจะให้เกียรติมาร่วมดื่มเหล้ามงคลด้วยหรือไม่”
ฉินหลิวซีมองมาด้วยใบหน้าที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม
พออยู่ในตำแหน่งสูงๆ ซึ่งมีอำนาจในมือมานาน ทักษะการหยั่งเชิงย่อมแตกต่างกันออกไป อ้อมค้อมและมีเล่ห์เลี่ยมมากกว่า
ครั้นเสนาบดีลิ่นเห็นแววตาเช่นนั้น ใจก็เต้นระรัว ก่อนจะจิบชาอึกหนึ่งแล้วโพล่งออกไปหมดเปลือก
“เจ้ามีเรื่องใดก็ว่ามาตามตรงเถิด สายตาที่เหมือนมีอะไรอย่างเห็นได้ชัดทำเอาข้ากระวนกระวายไปหมดแล้ว” เสนาบดีลิ่นเอ่ยถามอย่างอ้อมๆ “หรือเรื่องแต่งงานของบุตรสาวคนเล็กของข้ามีตรงไหนไม่เหมาะสมอย่างนั้นหรือ”
“หมั้นหมายกับตระกูลมีอำนาจคนใดไว้หรือ”
“ก็ไม่เชิงเป็นตระกูลผู้มีอำนาจหรอก เขามาจากตระกูลเจิ้งที่มีชื่อเสียงมาจากซานตง ท่านพ่อของเขาเคยทำงานร่วมกับข้า ตอนรัชศกคังอู่ที่สิบแปด เขาถูกริบทรัพย์สินโทษฐานพัวพันกับคดีทุจริตในการสอบคัดเลือกขุนนาง แต่ภายหลังคดีพลิกได้รับความเป็นธรรมคืนมา ทว่าในครอบครัวกลับเหลือเพียงเขากับพี่สาวคนเดียวเท่านั้น ซึ่งพี่สาวเองก็ออกเรือนไปแล้ว” เสนาบดีลิ่นอธิบายต่อ “เด็กคนนี้มีความรู้ความสามารถ มุ่งมั่นอยากก้าวหน้า ปีก่อนเขาสอบผ่านการคัดเลือกในฤดูใบไม้ผลิได้เป็นจิ้นซื่อ นิสัยโอบอ้อมอารี ดวงชะตาเข้ากับชิงถังได้ดี นับว่าเป็นคู่ที่ฟ้าประทานมาทีเดียว”
เสนาบดีลิ่นตอบเสียงต่ำเล็กน้อย “บัดนี้ตำแหน่งองค์รัชทายาทยังไม่ได้รับการแต่งตั้ง ด้วยตำแหน่งของข้าหากแต่งงานกับตระกูลผู้มีอำนาจอาจจะดึงความสนใจจากฝ่าบาทไม่น้อย ตระกูลเจิ้งเองก็เป็นตระกูลที่มีชื่อเสียง บุตรสาวกับเจิ้งรุ่ยซง ว่าที่สามีของนางรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก รู้ไส้รู้พุงกันหมดแล้ว อีกอย่างพอแต่งงานกันไปก็ไม่มีแม่สามีมาคอยกดดัน ออกเรือนไปก็ขึ้นเป็นนายหญิงดูแลเรือนเอง แถมยังมีตระกูลตนคอยหนุนหลัง สามีเองก็มีความสามารถ เส้นทางในวันข้างหน้าคงไม่เลวร้ายอะไร เป็นคู่ครองที่ลงตัวเป็นอย่างดี ซึ่งนับว่าเป็นความปรารถนาของคนเป็นพ่อเป็นแม่มากที่สุดแล้ว”
ฉินหลิวซีเอ่ย “จริงๆ แล้วบางครั้งการแต่งงานกับตระกูลที่สถานะต้อยต่ำกว่าก็ใช่ว่าจะมีความสุขเสมอไป การไม่มีแม่สามีมาคอยกดดันก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดีเสมอไป อย่างที่เขาว่ากันว่า ‘ในจวนมีคนแก่ก็เหมือนมีสมบัติล้ำค่า’ ก่อนคุณหนูลิ่นออกเรือน ถือว่านางเป็นบุตรสาวที่มีเกียรติของตระกูลลิ่น ไปที่ใดมีแต่คนยกย่อง ทว่าหลังแต่งงาน อย่างแรกภรรยาเป็นถึงบุตรสาวของตระกูลลิ่น หากครอบครัวสามีไม่ได้มีอำนาจ อีกทั้งไม่สามารถมอบสถานะอำนาจเฉกเช่นอดีตให้แก่นางได้ ปฏิสัมพันธ์ในสังคมหลังแต่งงานอาจจะมีความแตกต่างเกิดขึ้น หากสามีวุ่นๆ อยู่แต่กับงานจนละเลยความรู้สึกที่เปลี่ยนแปลงไปของนาง ครั้งสองครั้งย่อมไม่เป็นไร แต่นานวันเข้าเกรงว่าจะเกิดความคับแค้นขึ้นในใจได้”
เสนาบดีลิ่นผงะ มุ่นหัวคิ้วแน่น เช่นนี้ก็หมายความว่าเจิ้งรุ่ยซงไม่ใช่คู่ครองที่ดีงั้นหรือ
“แน่นอน ครอบครัวฝ่ายหญิงคือแรงหนุน ด้วยตัวนางเองและแรงหนุนก็แข็งแกร่งเพียงพอแล้ว เช่นนั้นคงไม่มีปัญหาอะไร ในเมื่อเสนาบดีลิ่นแสวงหาบุตรเขยที่ดีเจอ ก็คงต้องจับตาดูดีๆ หน่อยแล้ว”
เสนาบดีลิ่นเริ่มไม่เข้าใจว่าตกลงดีหรือไม่ดีกันแน่ ทำเอาเขาร้อนใจจะตายอยู่แล้ว
เขาลุกขึ้นแล้วหยิบน้ำเต้าร้อยสุขที่เป็นเนื้อทองคำบริสุทธิ์ขนาดเท่าฝ่ามือบนชั้นวางสมบัติของตนมาชิ้นหนึ่ง บนน้ำเต้าสลักคำว่าอยู่ดีมีสุข ตรงจุกมีน้ำเต้าขนาดจิ๋วห้อยคล้ายเป็นใบ วิจิตรงดงามอย่างมาก
“ก่อนหน้านี้ข้าได้เครื่องประดับตกแต่งน้ำเต้าร้อยสุขทองนี้มา เจ้าช่วยข้าดูหน่อยได้หรือไม่” เสนาบดีลิ่นยื่นน้ำเต้าทองขนาดเล็กชิ้นนั้นไปตรงหน้าฉินหลิวซี “ข้าว่ามันธรรมดาเกินไป เจ้าคิดเห็นเช่นใดหรือ”
ฉินหลิวซี “…”
เป็นถึงท่านเสนาบดี แต่ช่วยทำเรื่องที่สอดคล้องกับสถานะหน่อยดีกว่ากระมัง!
นางรับน้ำเต้ามาวางดูบนมือ “มันธรรมดาไปจริงๆ แต่ฝีมือเป็นเอกลักษณ์มีความละเอียดลออ
“ของธรรมดาแบบนี้คงมีแค่เด็กๆ อย่างพวกเจ้าที่ชอบ เจ้าเอาไปเล่นเถอะ” เสนาบดีลิ่นเอ่ยพลางทำทีรังเกียจ
ฉินหลิวซีเอ่ย “คงไม่ดีกระมัง”
“ผู้ใหญ่ให้ของจะปฏิเสธได้อย่างไร แค่ของธรรมดาๆ เท่านั้นเอง!”
ฉินหลิวซีขบคิดในใจ ท่านเก็บของธรรมดาแบบนี้ไว้ในตู้วางของโบราณในห้องทำงานอย่างนั้นหรือ
“เช่นนั้นก็ต้องขอบคุณของกำนัลจากท่านด้วย”
เสนาบดีลิ่นยกชาขึ้นจิบ เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “แล้วเรื่องงานแต่งงาน…”
ฉินหลิวซีกะพริบตาปริบๆ เอ่ย “ข้าพูดนิดหน่อยแล้วกัน เป็นอย่างไรคงขึ้นอยู่กับโชคชะตา คุณหนูลิ่นเป็นคนจิตใจดีมีเมตตา เกิดในตระกูลสูงศักดิ์ นางย่อมมีดวงชะตาชีวิตที่ดี แต่พอข้าทำนายดวงจากสองสามีภรรยาแล้วเห็นว่ามีดาวหกแฉกแทรกเข้ามาเป็นกาลี ซึ่งดาวหกแฉกนี้บ่งบอกถึงการไม่ปรองดองพลัดพราก ก่อนแต่งงานจะมีอุปสรรคมากมาย แต่งงานล่าช้าสักหน่อยย่อมดีกว่า กาลียังบ่งบอกถึงการนอกใจของสามีด้วย จึงมีโอกาสที่ความรักจะถูกช่วงชิงก่อนแต่งงาน ดังนั้นหากเสนาลิ่นรั้นจะเอาบุตรเขยผู้นี้ก็คงต้องจับตามองให้ดี แต่คุณหนูลิ่นอายุยังน้อย หากรออีกสองปีก็ใช่ว่าจะไม่ได้”
เสนาบดีลิ่นหน้าเขียวปั๊ด
ความหมายเช่นนี้ก็คือเรื่องแต่งงานของชิงถังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างนั้นหรือ!
ฉินหลิวซีเหลือบมองสีหน้าเขาก่อนเล่นน้ำเต้าทองในมือ จิ๊ ก่อนหน้านี้ตระกูลจั่วก็ประสบปัญหาเรื่องแต่งงานไปแล้ว ตอนนี้ตระกูลลิ่นก็ไม่น้อยหน้า ปีนี้ฮวงจุ้ยของเมืองเซิ่งจิงคงมีพิษกระมัง!