คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 903 มีวันที่ต้องถูกคลำกระดูกตรวจดูดวงชะตาด้วย
- Home
- คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า
- ตอนที่ 903 มีวันที่ต้องถูกคลำกระดูกตรวจดูดวงชะตาด้วย
ตอนที่ 903 มีวันที่ต้องถูกคลำกระดูกตรวจดูดวงชะตาด้วย
หลังจากฉินหลิวซีออกจากบ้านตระกูลลิ่น เสนาบดีลิ่นก็เดินไปเรือนหลักพลางเม้มริมฝีปาก ขณะที่ฮูหยินลิ่นหมายหลับสักงีบ แต่พอเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของเขาก็ทำเอาใจเต้นตึกตัก ก่อนจะรีบรุดหน้าเดินเข้าไปหา
สาวรับใช้ยกชาและขนมมาให้ ฮูหยินลิ่นขยิบตาส่งสัญญาณ ก่อนที่หมัวหมัวคนสนิทจะพาสาวรับใช้ออกไป ส่วนหมัวหมัวก็ยืนเฝ้าอยู่ตรงข้างประตู
“ดูจากสีหน้าของท่านพี่แล้ว เจ้าอาวาสน้อยบอกว่าอาการป่วยของท่านแม่ไม่ค่อยดีหรือ” ฮูหยินลิ่นเอ่ยถามด้วยความเป็นกังวล
เสนาบดีลิ่นยกแก้วชาขึ้นก่อนจะวางลงแล้วเอ่ย “อาการป่วยของท่านแม่ส่งสัญญาณมาตั้งแต่ปีก่อนแล้ว เพียงแค่รอเวลาเท่านั้น…”
ฮูหยินลิ่นรู้สึกจุกอยู่ในอก ในฐานะนายหญิงดูแลเรือน หากฮูหยินผู้เฒ่าเหลือเวลาไม่มาก อีกทั้งมีหลายเรื่องที่ต้องเตรียมการล่วงหน้า รวมถึงการแต่งงานของบุตรด้วย ดังนั้นเสนาบดีลิ่นจึงไม่คิดปิดบังนาง ควรทำอะไรก็ทำ เพื่อเลี่ยงไม่ให้ฮูหยินผู้เฒ่าจากไปแล้วทำให้ทุกอย่างล่าช้า
ในใจของเสนาบดีลิ่นเต็มไปด้วยความขมขื่น ยกชาขึ้นมาจิบแล้วเอ่ย “ไม่ใช่เรื่องของท่านแม่ แต่เป็นเรื่องของถังเอ๋อร์”
ฮูหยินลิ่นตกใจ “ถังเอ๋อร์หรือ ถังเอ๋อร์ทำไมหรือ”
เสนาบดีลิ่นเอ่ยด้วยใบหน้าถมึงทึง “การแต่งงานของลูกจะเกิดการเปลี่ยนแปลง”
“อะไรนะ” เสียงของฮูหยินลิ่นแหวเสียงสูง
ลิ่นชิงถังจะออกเรือนเดือนแปดนี้แล้ว จากตอนนี้ก็เหลือเวลาไม่ถึงครึ่งปี ซึ่งก็คือสามสี่เดือน แต่ตอนนี้กลับบอกนางว่าเรื่องแต่งงานอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างนั้นหรือ
“นี่ นี่มันเกิดอะไรขึ้น จะแต่งเดือนแปดนี้แล้ว นี่มัน…” ฮูหยินลิ่นเดินไปมาในห้องอย่างร้อนใจ
“อย่าเพิ่งร้อนใจไป” เสนาบดีลิ่นดึงนางนั่งลงบนตั่งไม้ ก่อนจะเล่าคำพูดของฉินหลิวซีให้ฟังอีกรอบ
ฮูหยินลิ่นตาค้างพูดไม่ออก
ใช่ว่านางไม่เชื่อในคำทำนายของฉินหลิวซี แม้ว่าจะอายุยังน้อย แต่ความสามารถของฉินหลิวซีกลับเป็นเลิศ วันนี้แค่แวบแรกที่เจอกันก็เดาได้ทันทีว่าลูกสะใภ้ตั้งครรภ์ ตอนหลังพอหมอประจำจวนก็มาตรวจดูชีพจรก็ยืนยันว่าตั้งครรภ์แล้วจริงๆ เพียงแต่ยังอยู่ในช่วงแรกจึงอ่อนมาก แต่ฉินหลิวซีกลับรู้ได้เพียงแวบแรก นางจึงยิ่งเลื่อมใสเป็นธรรมดา
แต่สิ่งที่ทำให้นางตกใจก็คือเจิ้งรุ่ยซงจะเปลี่ยนใจ ใครกล้าชิงตัวว่าที่บุตรเขยของจวนเสนาบดีเชียวหรือ
เสนาบดีลิ่นส่ายหน้า เอ่ยเสียงขรึม “หากเขายอมถูกยื้อแย่งไปได้ เช่นนั้นก็ไม่คู่ควรที่จะเป็นบุตรเขยของข้า อีกอย่างหากเลื่อนวันแต่งงานเร็วขึ้น คนอื่นจะมองถังเอ๋อร์อย่างไร ต่อให้เลื่อนกำหนดเร็วขึ้นแล้วจะไม่เกิดเรื่องพรรค์นี้ขึ้นหรือ”
งานแต่งงานกำหนดไว้แล้ว จู่ๆ เลื่อนให้เร็วขึ้น คนนอกต้องคาดเดากันไปต่างๆ นานา ไม่แน่อาจคิดว่าพวกเขาสองคนชิงสุกก่อนห่ามจนต้องเลื่อนการแต่งงานเร็วขึ้นก็ได้
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือฉินหลิวซีบอกว่าต่อให้แต่งงานล่าช้ากว่านี้สักสองปีก็ไม่มีปัญหา กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือเจิ้งรุ่ยซงไม่ใช่คู่แท้ของบุตรสาวอย่างนั้นหรือ
“แต่หากถูกทำลายงานแต่งตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่ม ถังเอ๋อร์จะทำอย่างไร” ลำพังแค่ฮูหยินลิ่นคิดถึงฉากเหตุการณ์นั้นก็หงุดหงิดใจเต็มทีแล้ว
“เป็นถึงบุตรสาวของจวนเสนาบดี อีกทั้งไม่ใช่ความผิดของลูกเลยสักนิด ยังจะกลุ้มใจกลัวไม่มีบุตรเขยดีๆ ไปใย” เสนาบดีลิ่นเอ่ย “ด้วยนิสัยของลูกเป็นคนอ่อนโยนนุ่มนวล หากประสบกับเรื่องนี้ขึ้นมาจริงๆ ก็ถือว่าเป็นบทเรียน อย่างน้อยก็ดีกว่าแต่งออกเรือนไปแต่ใช้ชีวิตอย่างไม่เป็นสุข”
ฮูหยินลิ่นสับสน “ซงเอ๋อร์คงไม่ใช่คนเช่นนั้นกระมัง เราคัดสรรมาอย่างดีถึงได้เลือกเขา อีกอย่างท่านพี่ก็เป็นคนให้เขาผ่านด่านเองด้วย”
เสนาบดีลิ่นยิ้มขมขื่น “ฮูหยิน ใจมนุษย์เปลี่ยนแปลงง่าย ต่อให้ข้าปล่อยให้เขาผ่านด่าน แต่ก็ต้องมีวันที่ข้าตาบอดพร่าเลือนกันบ้าง”
“เช่นนั้นพวกเราจะเพิกเฉยไม่ทำสิ่งใดเลย มองดูอยู่เฉยๆ เช่นนี้หรือ”
“ไม่มีทาง อีกเดี๋ยวข้าจะให้คนไปเรียกเขามาถามไถ่เรื่องงาน แล้วลองหยั่งเชิงถามเขาด้วย หากเขาฉลาดพอคงรู้ว่าควรหลบหลีกคนภายนอก แต่หาก…”
เขายังเอ่ยไม่ทันจบ หมัวหมัวด้านนอกก็รีบเดินเข้ามาด้วยท่าทีร้อนใจ เอ่ยเสียงตื่นตระหนก “นายท่าน ฮูหยิน เกิดเรื่องใหญ่แล้ว หัวหน้าผู้ดูแลเจียงมาส่งข่าวเจ้าค่ะ”
พวกเขาทั้งสองใจเต้นตึกตักพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ก่อนจะสบตากัน
“เข้ามาคุยด้านใน”
หมัวหมัวเลิกม่านขึ้น หัวหน้าผู้ดูแลเจียงที่เพิ่งไปส่งฉินหลิวซีเมื่อครู่เดินเข้ามาพร้อมเหงื่อเย็นอาบชุ่ม แล้วคุกเข่าทำความเคารพ
เสนาบดีลิ่นเอ่ยถามเสียงต่ำ “มีเรื่องตื่นตระหนกอะไรหรือ ลุกขึ้นมาคุยกันดีกว่า”
หัวหน้าผู้ดูแลเจียงลุกขึ้น เอ่ยเสียงสั่นเครือ “วันนี้คุณชายสามของใต้เท้าเฉียน เสนาบดีของกรมพิธีการฉลองวันคล้ายวันเกิด คุณชายเจิ้งไปร่วมงานสังสรรค์ด้วย จากนั้นก็มีคนเห็นเขาอยู่กับท่านหญิงซูผิงในห้องเพียงลำพัง พร้อมเสื้อผ้าที่ยับยู่ยี่…”
ใต้เท้าเฉียนไม่ใช่คนน่าเกรงกลัวอะไร แต่ภรรยาของเขาคือองค์หญิงเหอฮุ่ย ถึงแม้จะไม่ใช่คนโปรดปราน แต่ก็เป็นองค์หญิงในเชื้อพระวงศ์ อีกทั้งบุตรสาวของนางยังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นท่านหญิงซูผิง ซึ่งเวลานี้กำลังพัวพันอยู่กับว่าที่บุตรเขยของจวนตระกูลลิ่น
ฮูหยินลิ่นร้องเสียงหลง พลางเอามือกุมหน้าอกแล้วล้มนั่งลงบนตั่งไม้
เสนาบดีลิ่น คนที่เอาน้ำเต้าทองร้อยสุขของข้าไป กลับมาเดี๋ยวนี้ พวกเราต้องคุยกันใหม่!
ไหนบอกให้ข้าจับตาดูดีๆ ข้ายังไม่ทันจับตาดูเลยก็ทำเอาตาบอดก่อนแล้ว นี่มันเรื่องอะไรกัน
ฉินหลิวซีที่กำลังเดินอยู่บนถนนจามสองที นางขยี้จมูกก่อนหยิบน้ำเต้าทองอันงดงามขึ้นมาส่องท่ามกลางแสงอาทิตย์ ภายใต้แสงตะวันที่สาดส่อง ที่แท้อักขระที่สลักตรงส่วนโค้งเว้ายามแสงสีทองสาดกระทบเจิดจ้าก็ประกายจนเห็นตัวอักษรคำว่าอยู่ดีมีสุข สุดยอดมากจริงๆ ไม่แปลกใจเลยที่ถูกเสนาบดีลิ่นวางไว้บนชั้นเก็บของโบราณในห้องหนังสือ
ประจวบกับข้างทางมีแผงขายของชำเล็กๆ ฉินหลิวซีจึงเลือกสายสีแดงเส้นหนึ่งมาผูกกับน้ำเต้า ก่อนห้อยไว้ตรงเอว ก่อนจะได้รับแสงประกายวิบวับแกมอิจฉาส่งมาจากสองดวงตาของคนขาย นางก็ตบตรงช่วงเอวด้วยท่าทีย่ามใจ “สวยหรือไม่”
คนขายพยักหน้า น้ำเต้าทองเชียวนะ ต้องสวยอยู่แล้ว ห้อยตรงเอวเช่นนั้นไม่กลัวถูกขโมยหรืออย่างไร
คนขายเอ่ยเตือน “แถวนี้มีขโมยไม่น้อย เจ้าระวังตัวหน่อยดีกว่า” ไม่รู้ว่าเป็นคุณชายจากจวนใด ถึงกล้าเอาน้ำเต้าทองมาห้อยเอวอย่างเปิดเผยเพียงเพื่อความสวยงาม หากถูกขโมยขึ้นมาได้ร้องไห้แน่
ฉินหลิวซีหัวเราะเบาๆ “ใครจะกล้าขโมยข้า แต่เห็นแก่ที่เจตนาดีเตือนข้า ข้าจะตอบแทนเจ้าสักเรื่อง หากออกไปเปิดแผงขายของนอกประตูเมือง เจ้าจะมีโชคลาภอย่างแน่นอน จะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่เจ้า”
“ฮะ?”
ฉินหลิวซีเดินจากไปแล้ว คนขายนั่งยองครู่หนึ่ง เลียมุมปากก่อนเก็บของเดินมุ่งหน้าออกประตูเมืองไป
“โอ๊ย”
มีคนล้มลงตรงหน้าฉินหลิวซี เป็นชายตาบอดที่สวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ไม้เท้าตกมาอยู่ข้างเท้านาง
ฉินหลิวซีเก็บขึ้นมาแล้วประคองร่างเขาขึ้น ก่อนจะยัดไม้เท้าใส่มือเขา เอ่ย “ระวังหน่อย”
“ขอบคุณมากๆ” ชายตาบอดกล่าวขอบคุณพลางคลำจับมือนางเอ่ย “แม่นาง ข้าช่วยทำนายดวงชะตาให้แล้วกัน ข้ามาจากสำนักกุ่ยกู่จื่อ พอจะมีฝีมือตรวจดูดวงชะตาผ่านการคลำกระดูกอยู่บ้าง”
“ไม่ต้องหรอก” ฉินหลิวซียิ้มบาง คิดไม่ถึงว่าจะมีวันที่นางถูกคนอื่นทำนายดวงชะตาด้วย
ทว่าชายตาบอดผู้นั้นกลับยืนกรานพลางดึงจับมือของนางไว้แน่น สองดวงตามืดบอดหรี่ลงเอ่ย “ข้าทำนายแม่นนะ เอ๊ะ…อยากดูแลบุพการีแต่บุพการีไม่รอถึงวันนั้น เจ้าต้องรู้จักหวงแหนวันเวลาในตอนนี้นะ”
คิ้วของฉินหลิวซีขมวดเข้าหากัน ขณะที่นางอยากจะเอ่ยอะไรบางอย่าง พลันสายตาก็เหลือบเห็นชายชราในชุดลำลองถูกกลุ่มเด็กวัยรุ่นจงใจผลักล้มลงพื้นพร้อมหัวเราะเย้ยหยันตรงหน้าโรงน้ำชา
สีหน้าของนางขรึมลง ก่อนจะล้วงหยิบเศษเหรียญจากช่วงเอวยัดใส่มือชายตาบอดพร้อมพูดว่า “เอาไปซื้ออะไรกิน ข้าไปก่อนล่ะ”
ชายตาบอดอุทานร้องเรียกขึ้นมาที จากนั้นก็หันหน้าไล่ตามทิศทางเสียงเดินของนางพลางขมวดคิ้วมุ่น เอ่ยพึมพำ “เกิดมามีกระดูกกิเลนผู้สูงศักดิ์ ปลุกพายุเรียกลมได้ดั่งใจหวัง นี่เป็น…เฮือก”
ชายตาบอดรู้สึกเจ็บที่หน้าอก ก่อนเลือดสีแดงเข้มจะไหลออกจากมุมปาก ใบหน้าขาวซีดมองไปตามทิศทางของฉินหลิวซี ฝ่ามือกำเศษเงินที่ฉินหลิวซีให้ไว้แน่นพร้อมเผยสีหน้ากังวล