คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 907 ขอเตือน อย่าหาเรื่องเดือดร้อนให้ข้า!
ตอนที่ 907 ขอเตือน อย่าหาเรื่องเดือดร้อนให้ข้า!
ที่ใดมีเฉิงเอินโหว ย่อมไม่มีช่วงเวลาที่เงียบสงบ ไม่นานก็มีผู้คนเข้ามาทักทาย
ฉินหลิวซีขอตัวได้ถูกเวลา อย่างไรเสียนางก็ไม่ได้กะว่าจะนั่งอยู่นาน เดิมทีมาเป็นผู้สนับสนุนให้ฉินหยวนซานที่หน้าร้านชาแห่งนี้ และได้หน้าแล้ว ซ้ำตอนนี้ยังนั่งดื่มชากับพวกเฉิงเอินโหว เมื่อเผยแพร่ออกไป คนในตระกูลฉินคงจะตัวสั่นในวันพรุ่งนี้!
นางยินดีที่จะออกหน้าให้ตาเฒ่า นั่นเป็นเพราะนางอารมณ์ดีและมีความเคารพผู้อาวุโส ไม่ได้หมายความว่านางต้องการดึงดูดเส้นสายเหล่านี้มาสู่ตระกูลฉิน ให้ทุกคนในตระกูลฉินได้รับผลประโยชน์ หรือใช้ชื่อของนางกระทำการต่างๆ หาเรื่องเดือดร้อนให้นาง จะต้องตักเตือนสักหน่อย
ฉินหยวนซานมองฉินหลิวซีนั่งขัดสมาธิในรถม้า หลังตั้งตรงพลางเอ่ย “เจ้ามาเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เมื่อสองวันก่อน”
ฉินหยวนซานร้อนใจ “แล้วเหตุใดไม่กลับมาพักที่จวน”
ฉินหลิวซีมองเขาพลางยิ้มใบหน้านิ่ง “ย่อมเป็นเพราะว่าข้าเลยวัยที่จะต้องการมีครอบครัวอยู่เคียงข้างอย่างมีความสุขแล้ว”
ฉินหยวนซานใบหน้าร้อนผ่าว เศร้าใจ งอหลังเล็กน้อย
นี่เป็นการตัดความสัมพันธ์ที่ชัดเจน!
ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเรียบว่า “ตระกูลฉินได้รับการพลิกคดีแล้ว แม้ว่าทรัพย์สินของตระกูลจะยังไม่ได้คืนทั้งหมด แต่ก็ไม่ถึงขั้นจ้างบ่าวรับใช้เพิ่มอีกสองคนไม่ได้ ท่านเป็นถึงขุนนางขั้นสี่ ซ้ำยังเป็นผู้อาวุโส ออกจากจวนมีผู้ติดตามเป็นคนขับรถแค่คนเดียว? ก็ไม่กลัวว่าหากเกิดเรื่องขึ้นมาจะไม่มีใครคอยช่วย! เมืองหลวงอยู่ภายใต้ฝ่าพระบาทของฮ่องเต้ มีผู้มีอำนาจกับผู้ที่ดูถูกคนมากมาย ท่านถ่อมตนนั้นไม่ผิด แต่หากได้พบกับผู้ที่ไม่ถ่อมตน ก็จะถูกรังแก!”
นางไม่เชื่อว่าตระกูลฉินใหญ่โตจะจ้างคนขับรถเพิ่มไม่ได้ และเขาที่เป็นหัวหน้าตระกูลออกไปข้างนอก กลับไม่สู้เด็กสาวคนหนึ่งที่ออกไปข้างนอก มีผู้ติดตามเพียงคนเดียว ไม่สมเหตุสมผลเกินไปแล้ว
ฉินหยวนซานจึงอธิบายว่า “เป็นข้าที่สะเพร่า เพียงแค่อยากจะมาร่วมฉลองรำลึกความหลัง จึงไม่ได้พาคนไปด้วย ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้” เขาก้มลงมองเครื่องแต่งกายที่ดูไม่ได้ของตัวเอง หัวเราะพลางเอ่ยว่า “คนงามเพราะแต่ง เป็นเช่นนั้นจริงๆ ไม่พูดถึงเรื่องนี้แล้ว จริงสิ แม่ใหญ่ของเจ้าก็พึ่งกลับเมืองหลีไปได้ไม่กี่วัน หากเจ้ามาเร็วกว่านี้สักสองสามวัน ก็คงจะได้พบแล้ว”
“อืม”
“เจ้ารู้จักกับพวกเฉิงเอินโหวได้อย่างไร ได้ยินมาว่ามู่ซื่อจื่อแปดอักษรอ่อนแอ ต้องพกยันต์ติดตัวอยู่ตลอด เป็นเพราะเหตุนี้หรือ” ฉินหยวนซานถามหยั่งเชิง
“ได้รู้จักกับมู่ซื่อจื่อที่เมืองหลีเมื่อนานมาแล้ว แต่ท่านพ่อของเขาพึ่งจะได้รู้จักเมื่อไม่นานมานี่” เมื่อฉินหลิวซีคิดได้ว่าเพราะเหตุใดจึงได้รู้จักกับเฉิงเอินโหว และด้วยเหตุนี้จึงได้พลาดและสูญเสียอะไรไปบ้าง ทันใดนั้นก็มีสีหน้าเย็นชา
ฉินหยวนซานก็ไม่รู้ว่าไปทำให้นางขุ่นเคืองได้อย่างไร ไม่กล้าเอ่ยปากอยู่พักหนึ่ง หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งก็กล่าวเสียงเบาว่า “เมื่อครู่นี้เฉิงเอินโหวกำลังหยั่งเชิงว่าเจ้าจะช่วยรักษาพระวรกายหงส์ของฮองเฮาได้หรือไม่อย่างนั้นหรือ”
ฉินหลิวซีมองไปที่เขา ยิ้มใบหน้านิ่ง “ทำไมหรือ อยากได้ผลงานนี้หรือ”
ฉินหยวนซานใบหน้าร้อนผ่าว รีบส่ายหน้าพลางเอ่ย “ไม่ใช่เช่นนั้น ข้าแค่อยากบอกว่าแม้ว่าเจ้าจะทำได้ก็อย่าทำ เกรงว่าหากจัดการไม่ดีจะเดือดร้อนไปถึงเจ้า”
ฉินหลิวซีเลิกคิ้ว “นี่เป็นผลงานชิ้นใหญ่ หากทำสำเร็จจริงๆ เกรงว่าตระกูลฉินจะโบยบินไปถึงจุดสูงสุดได้ เช่นนี้ก็จะเป็นโอกาสที่ดีที่จะร่ำรวยมั่งคั่ง แต่ท่านไม่ให้ข้าทำงั้นหรือ”
“ร่ำรวยมั่งคั่งก็ต้องรักษาไว้ให้ได้จึงจะดี” ฉินหยวนซานถอนหายใจพลางเอ่ย “แม้ว่าข้าจะพลิกคดีกลับคืนสู่ศูนย์กลางแห่งอำนาจเมืองหลวง แต่อย่างไรเสียก็เคยถูกฝ่าบาทเกลียดชัง ไม่สู้เมื่อก่อน มิเช่นนั้นคนเหล่านั้นจะพูดจาเย้ยหยันข้าได้อย่างไร เพียงแค่เห็นว่าข้าไม่ได้มีหน้ามีตาแล้วก็เท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้ ข้าอายุปูนนี้แล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะจากไปเหมือนกับท่านย่าของเจ้าเมื่อไหร่ การนั่งในตำแหน่งนี้เป็นการอดทน อดทนจนกว่าท่านพ่อของเจ้าจะมั่นคง ในตระกูลมีคนรับช่วงต่อได้ ไม่ถึงขั้นไม่มีขุนนางในตระกูลแม้แต่คนเดียว”
ฉินหยวนซานพิงผนังรถ เอ่ยว่า “ความสามารถของพ่อเจ้าจริงๆ แล้วอยู่ในระดับปานกลาง แม้ว่าในภายภาคหน้าเขาจะสามารถฟื้นตัว ได้เป็นขุนนางขั้นสี่ก็นับว่าเป็นจุดสูงสุดแล้ว ข้าไม่กล้าคาดหวังกับเขา และท่านอารองกับท่านอาสามของเจ้าก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ล้วนเป็นเพียงราษฎรธรรมดา ท่านอาสามของเจ้าพิการยิ่งไม่มีอนาคตให้พูดถึง ท่านอารองของเจ้า เมื่อถึงเวลาอย่างมากก็ทำได้เพียงหาตำแหน่งจากบุญบารมีเก่า ไม่สามารถทำการใหญ่ได้ อาศัยโอกาสที่พวกเขาไว้อาลัยสองสามปีนี้ ตั้งใจอบรมสั่งสอนเด็กๆ ตราบใดที่หนึ่งในนั้นมีความสามารถ ตระกูลฉินก็จะไม่ล้มลง”
ไม่สิ ตอนนี้มีความสามารถแล้วหนึ่ง ตระกูลฉินไม่มีทางล้มลง
แต่การคาดหวังกับฉินหลิวซีนั้นไม่เพียงพอ นางเป็นนักพรตหญิง ไม่มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับตระกูลฉิน การที่สามารถช่วยสนับสนุนเล็กน้อยอยู่ข้างหลังก็นับว่านางยังไม่ลืมแซ่ฉิน เติมเต็มความสัมพันธ์เครือญาตินี้ มากไปกว่านี้นั้นไม่มีแล้ว แล้วก็ไม่กล้าคาดหวัง หากกล้าคิดมากกว่านี้ ก็เป็นพวกเขาที่โลภมากแล้ว
ดังนั้นอนาคตของตระกูลฉินยังคงขึ้นอยู่กับบรรดาหลานชาย และขึ้นอยู่กับพวกเขาเพียงเท่านั้น บุตรชายก็ควรมีหน้าที่รับผิดชอบ เอาแต่พึ่งพาพี่หญิงที่ออกบวชเป็นนักพรตหญิงเพียงคนเดียว จะพึ่งพาได้นานแค่ไหนเชียว
“ชีวิตนี้ท่านพ่อของเจ้าทำได้เพียงรักษาสิ่งที่คนรุ่นก่อนทำไว้ และบรรดาพี่น้องของเจ้า อายุมากที่สุดก็เพียงสิบแปดปี ไม่ต้องพูดถึงบุตรชายอนุที่ยังเป็นเพียงราษฎรธรรมดา ที่เหลือก็ยิ่งอายุน้อยกว่า แม้ว่าจะร่ำรวยมั่งคั่ง แล้วจะรักษาไว้ได้อย่างไร”
ฉินหลิวซีเอ่ย “ยากนักที่ท่านจะมองเห็นได้ชัดเจนเช่นนี้”
ฉินหยวนซานสีหน้าขมขื่น “หลังจากถูกเนรเทศ ตระกูลฉินรับมือกับปัญหาไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว”
“แต่ก็ไม่ควรก้มหัวให้กับผู้อื่น เป็นถึงขุนนางขั้นสี่ที่ฮ่องเต้เป็นคนแต่งตั้ง ฮ่องเต้ยังไม่กล่าวอะไรเลย ผู้ที่ยศต่ำกว่าท่านกลับกล้ากดศีรษะท่าน นั่นเป็นเพราะท่านทำตัวของท่านเอง ระมัดระวังถ่อมตนนั้นไม่ผิด แต่หากมากเกินไปก็จะเงยหน้าขึ้นมาไม่ได้ ลูกหลานรุ่นหลังของท่านก็จะเงยหน้าขึ้นไม่ได้!” ฉินหลิวซีเอ่ยอย่างเย็นชา
ในความเห็นของนาง เมื่อฉินหยวนซานถูกเนรเทศกลับมา ความกล้าลดลง
คนดีย่อมถูกรังแก
แม้ว่านางจะไม่ได้อยู่ในแวดวงขุนนาง แต่ก็รู้ว่ามีขุนนางในต้าเฟิงจำนวนนับไม่ถ้วนที่ไม่สามารถไปถึงขั้นห้าได้ หรืออยู่ที่ขั้นห้าไม่ขยับไปไหน ขั้นสี่อย่างเขา ขดหัวอยู่ในกระดอง ใครจะไปเห็นค่า
ฉินหยวนซานเอ่ย “ที่เจ้ากล่าวมานั้นไม่ผิด เป็นปัญหาของข้าจริงๆ”
“หลังจากวันนี้ คาดว่าจะถูกเผยแพร่ออกไป อาจมีคนจำนวนไม่น้อยเข้าใกล้ท่าน ท่านต้องมั่นคง ไม่เย่อหยิ่งไม่ร้อนตัวจึงจะดี ท่านเข้าใจเรื่องในแวดวงขุนนางดีกว่าข้า ท่านก็ไม่มีอะไรที่ต้องรู้สึกผิด แล้วก็ไม่จำเป็นต้องใกล้ชิดกับใคร ในเมื่อหลายปีมานี้มีท่านคนเดียวที่อยู่ในแวดวงขุนนาง เช่นนั้นการเป็นข้าราชบริพารอย่างบริสุทธิ์ใจก็ใช่ว่าจะไม่ดี ความมั่นคงจึงจะเป็นกุญแจสำคัญ” ฉินหลิวซีกล่าวว่า “ข้าจะไม่อยู่ในเมืองหลวง ท่านแม่และคนอื่นๆ ก็เป็นเช่นนี้ ในตระกูลฉินบ้านรองเรื่องมากที่สุด และไม่น่าวางใจมากที่สุด ท่านต้องคอยตักเตือนอยู่เสมอ ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงไว้อาลัยไม่อาจออกไปข้างนอกได้ แต่อย่าให้พวกเขาเอาชื่อของข้าไปสร้างปัญหาอยู่ข้างนอก หากทำให้ข้ารำคาญ ข้าจะไม่นับญาติไม่ยอมรับสายเลือด”
ฉินหยวนซานสะดุ้ง
บ้านรองมีคนมาก เขารู้ว่ามีการทะเลาะกันเป็นครั้งคราว และมีความทะนงตน หากให้พวกเขารู้ว่าความจริงตระกูลฉินมีเฉิงเอินโหวคอยหนุนหลังขึ้นมาจริงๆ เกรงว่าจะทำตัวเย่อหยิ่ง ไม่รู้ว่าจะไปทำเรื่องอะไรเข้า
ฉินหลิวซีกำลังตักเตือน และเป็นคำขู่อีกด้วย!
“ข้ารู้”
ฉินหลิวซีสบถขึ้นมา “ในตระกูลไม่เป็นระเบียบ ก็อยู่ห่างจากหายนะไม่ไกล หากเรือนหลังของตระกูลไม่เงียบสงบ ยุ่งวุ่นวาย สตรีมากปัญหาก็มาก ก็จะทำให้คนใช้ประโยชน์จากช่องโหว่นี้ได้ง่าย รุ่นของฉินหมิงมู่ ควรสร้างกฎตระกูลใหม่ บุรุษเมื่ออายุสี่สิบปีแล้วยังไม่มีบุตรค่อยรับอนุ แต่งงานกับภรรยาที่มีคุณธรรม ในเมื่อทำได้เพียงคาดหวังกับรุ่นนี้ บางเรื่องก็ควรได้รับการปูรากฐานใหม่ ครอบครัวสงบสุข พี่น้องรักใคร่สามัคคีกัน เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน จึงจะเจริญรุ่งเรืองได้”
ฉินหยวนซานรู้สึกตื้นตัน การที่แนะนำเช่นนี้ หรือว่านางจะไม่เพิกเฉยต่อกันแล้ว