คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 911 ท่านถูกพิษแล้ว!
ตอนที่ 911 ท่านถูกพิษแล้ว!
ใต้เท้าจั่วเกลี้ยกล่อมฉินหลิวซีออกมาจากจวนด้วยความหน้าหนา มุ่งหน้าไปยังจวนของแม่ทัพใหญ่
ขณะที่นั่งอยู่บนรถม้า ฉินหลิวซีมองดูเขานั่งหลังตรงท่าทางจริงจัง ก็อดคันไม้คันมือไม่ได้ เอ่ยว่า “สถานการณ์เช่นนี้ไม่ได้พึ่งเกิดขึ้นเมื่อสองสามวันก่อน ตอนนั้นผู้เฒ่าอวี๋มาขอให้ข้าไปตรวจอาการฮูหยินผู้เฒ่าที่จวน เหมือนกันทุกประการ ซ้ำยังบอกว่าใต้เท้าเป็นคนปากร้าย ไม่เชื่อเรื่องอำนาจลี้ลับ พูดจาไม่น่าฟัง ให้ข้าอย่าไปถือสา…”
ใต้เท้าจั่วลืมตาขึ้น “ตาเฒ่าอวี๋ผู้นั้นเอ่ยเช่นนี้จริงๆ หรือ”
จู่ๆ ผู้เฒ่าอวี๋ที่กำลังเล่นหมากรุกกับสหายเก่าก็จามขึ้นมา ลูบที่กระดูกสันหลัง รู้สึกเย็นๆ เหตุใดจึงได้รู้สึกหนาวที่หลัง
ฉินหลิวซีเอ่ย “ข้าคิดว่าผู้เฒ่าอวี๋ไม่ได้หลอกข้า หากไม่ใช่เพราะมีประสบการณ์แล้ว ใต้เท้าจะเชื่อข้าได้อย่างไร”
มีประสบการณ์แล้ว…
ใต้เท้าจั่วนึกถึงประสบการณ์ที่เคยได้รับในทันที สีหน้ามีความอึดอัดเล็กน้อย กระแอมเบาๆ เอ่ยว่า “ตลอดชีวิตข้าล้วนข้องเกี่ยวกับปัญญาชน ตำราหนังสือ งานราชการ ทางด้านศาสนาพุทธและลัทธิเต๋าย่อมไม่ได้เข้าร่วม”
“ตอนนี้ได้เข้าร่วมแล้ว ท่านคิดว่าอย่างไร ซ้ำยังเชื่อด้วยไม่ใช่หรือ”
ใต้เท้าจั่ว “…”
นายท่าน ข้ายอมแล้วก็ได้!
ใต้เท้าจั่วเปลี่ยนหัวข้ออื่น “โลกนี้กว้างใหญ่ เต็มไปด้วยสิ่งมหัศจรรย์ เป็นข้าที่สายตาคับแคบไป”
ฉินหลิวซียอมรับคำพูดของเขาก่อนจะเอ่ย “คุณหนูเจิ้งหายตัวไปหลายปี คิดว่าแม่ทัพใหญ่คงจะส่งกำลังคนไปตามหา แล้วก็เคยได้ถามเทพเทวดาแล้วกระมัง”
ใต้เท้าจั่วถอนหายใจ “บุตรเป็นชีวิตของพ่อแม่ ซ้ำเขายังมีบุตรสาวเพียงคนเดียว ย่อมได้พยายามทุกวิถีทางแล้ว มีประกาศคนหายบนกระดานสาธารณะทุกเมืองตลอดทั้งปี ทุกครั้งที่เจอแม่หมอหรือนักต้มตุ๋นขณะที่เดินบนถนน ก็จะลองถามดู…แค่ก แน่นอนว่าพวกนั้นจอมลวงโลก หากไม่เจอ”
“จริงหรือ อารามจินหัวก็เป็นอารามใหญ่แห่งหนึ่ง ทำนายออกมาได้หรือไม่ว่าคนอยู่ที่ไหน” ฉินหลิวซีเอ่ยถาม
ใต้เท้าจั่วส่ายหน้า “ไม่รู้ แต่ข้าเห็นว่าทิศทางการค้นหาของแม่ทัพใหญ่ส่วนใหญ่จะอยู่ทางใต้”
ใต้เท้าจั่วตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ขมวดคิ้วพลางเอ่ย “คงจะใช่กระมัง มิเช่นนั้นจะหาทำไม”
ฉินหลิวซียื่นนิ้วออกมาแตะที่หัวเข่า หากเป็นเช่นนั้น เป็นทิศทางที่ทำนายตามแปดอักษรหรือ
มาถึงจวนแม่ทัพแล้ว มุมประตูตะวันออก แม่ทัพใหญ่ที่ได้รับข่าวล่วงหน้ากำลังรออยู่ที่หน้าประตูด้วยตัวเอง เมื่อเห็นรถม้าของตระกูลจั่วก็รีบเดินมาหาโดยมีบ่าวรับใช้คอยประคอง
ฉินหลิวซีกับใต้เท้าจั่วลงจากรถทีละคน เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นชายชราผู้หนึ่ง
ได้ยินมาว่าปีนี้แม่ทัพใหญ่อายุเพียงห้าสิบสองปีเท่านั้น เป็นเพราะได้รับบาดเจ็บมากมายจากการทำสงครามระยะยาว เมื่อหลายปีก่อนก็ได้รับบาดเจ็บอีกครั้ง ดังนั้นจึงได้มอบอำนาจทางทหารคืนไปแล้วกลับคืนสู่เมืองหลวงมาดูแลรักษาตัว แต่คนที่อยู่ตรงหน้านี้ ผมสีขาว ดูอายุแก่ชรามากกว่าความเป็นจริงสิบกว่าปี เดินโซเซการก้าวเท้าไม่มั่นคงเล็กน้อย สีหน้าซีดเขียวอยู่บ้าง
ฉินหลิวซีขมวดคิ้ว สีหน้าค่อนข้างแย่อยู่บ้าง แม้ว่าจะเป็นกังวลเรื่องการหายตัวไปของบุตรสาว แต่ก็ไม่ควรแย่เพียงนี้
“ผู้เฒ่าจั่ว” แม่ทัพใหญ่เหลือบมองใต้เท้าจั่ว จากนั้นก็มองไปยังฉินหลิวซีอย่างอดไม่ได้ เอ่ยว่า “ท่านนี้คือเจ้าอาวาสน้อยที่เจ้าเอ่ยถึงหรือ”
ฉินหลิวซีก้าวไปข้างหน้าพลางคำนับตามธรรมเนียมเต๋า “อาตมานามเต๋าว่าปู้ฉิว คำนับแม่ทัพใหญ่”
“เอาล่ะๆ เข้าไปดื่มชาในจวนแล้วค่อยว่ากัน” แม่ทัพใหญ่รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
กลุ่มคนเดินเข้าไปในจวน เข้ามานั่งที่ห้องโถงบุปผา ฉินหลิวซีมองดูผู้ดูแลนำคนยกน้ำชาเข้ามา จากนั้นก็ยืนปรนนิบัติอยู่ข้างกาย นึกบางอย่างในใจ
“เจ้าอาวาสน้อย ข้า…”
“แม่ทัพใหญ่ เวลาข้าตรวจอาการไม่ชอบให้มีคนอยู่ข้างๆ” ฉินหลิวซีตัดบทสนทนาของเขา
แม่ทัพใหญ่ตกตะลึงเล็กน้อย แม้แต่ใต้เท้าจั่วก็ประหลาดใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไร
“ถอยออกไปทั้งหมดเถิด” แม่ทัพใหญ่ให้บ่าวรับใช้ออกไปทั้งหมด
เมื่อฉินหลิวซีเห็นว่าคนออกไปแล้ว จึงได้มานั่งอีกข้างหนึ่งของเก้าอี้ไท่ซือ[1]แม่ทัพใหญ่ เอ่ยว่า “ผู้ดูแลเมื่อครู่นี้ติดตามแม่ทัพใหญ่มานานแล้วหรือ”
แม่ทัพใหญ่ขมวดคิ้ว เอ่ย “เจ้าหมายถึงเหล่าอู่หรือ เขาติดตามข้ามาได้สิบกว่าปีแล้ว เป็นทหารเก่าที่เกษียณอายุ มือได้รับบาดเจ็บ จึงติดตามเป็นผู้ดูแลอยู่ข้างกายข้า”
“คนผู้นี้ไม่ใช่บ่าวรับใช้ที่ซื่อสัตย์” ฉินหลิวซีเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา
แม่ทัพใหญ่ตกใจ “อะไรนะ”
ใต้เท้าจั่วก็มองไปยังฉินหลิวซีเช่นกัน ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงได้มีความรู้สึกไม่ดี
“สายตาของเขาไม่ซื่อตรง โหงวเฮ้งซ่อนความชั่วร้าย ตำแหน่งทาสบริเวณทั้งสองข้างของคางมีไฝชั่วร้าย คนผู้นี้ได้ทรยศเจ้านายของเขาแล้ว”
“อะไรนะ” แม่ทัพใหญ่ตกใจจนเสียงหาย เอ่ยโดยไม่คิดว่า “เป็นไปไม่ได้ เหล่าอู่ติดตามข้ามาสิบกว่าปีแล้ว กระทั่งยังเคยช่วยรับเคราะห์แทนข้า มิเช่นนั้น เอ็นข้อมือของเขาก็คงไม่ขาด แล้วเขาจะทรยศเจ้านายได้อย่างไร”
“ก่อนหน้านี้อาจจะจงรักภักดีต่อท่าน แต่ในช่วงไม่กี่ปีมานี้นั้นไม่ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้มีไฝนั่นกระมัง” ฉินหลิวซีเอ่ย
แม่ทัพใหญ่ตกใจอีกครั้ง คิดอยู่ครู่หนึ่ง สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ริมฝีปากหนาเอ่ยพึมพำว่า “พึ่งมีในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา”
“มีไฝร้ายเกิดที่ตำแหน่งทาส หรือมีแผลเป็นทำให้เสียหาย ก็จะทำให้กลายเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่ทรยศ นี่เป็นการเอ่ยตามหลักโหงวเฮ้ง ข้าก็เพียงแค่ทำนายตามโหงวเฮ้งเท่านั้น ความจริงเป็นอย่างไรต้องให้ท่านไปสืบดูเอง”
ฉินหลิวซีเอ่ยว่า “ตอนนี้ท่านยื่นมือมา ข้าจะจับชีพจรให้ท่าน”
แม่ทัพใหญ่เหม่อลอย มาช่วยเขาตามหาบุตรสาวที่หายไปไม่ใช่หรือ ทันทีที่มาเหตุใดจึงได้ช่วยเขาตรวจสอบความจงรักภักดีของบ่าวรับใช้ จากนั้นก็จะจับชีพจร
ทำเอาเขาไปไม่ถูก
แม่ทัพใหญ่มองไปยังใต้เท้าจั่ว ตามหาคนเขาตามหากันเช่นนี้หรือ หรือว่านี่ไม่ใช่นักพรต
ใต้เท้าจั่วเอ่ยว่า “ได้ยินมาว่าศาสตร์ทั้งห้าของเสวียนเหมินก็มีวิชาแพทย์ด้วย วิชาแพทย์ของเจ้าอาวาสน้อยไม่เลวเลย ช่วงนี้สีหน้าของเจ้าแย่ลงเรื่อยๆ จับชีพจรดูก็ดีเหมือนกัน”
แม่ทัพใหญ่ยื่นมือออกมา ถอนหายใจ เอ่ยว่า “หมอหลวงล้วนบอกแล้วว่าข้าเป็นโรคทางจิตใจ โรคหัวใจก็ต้องการยาใจรักษา ตราบใดที่เหยาเอ๋อร์ของข้ากลับมา โรคนี้ของข้าไม่ต้องใช้ยาก็หายได้”
เขากำลังพูดถึงเจิ้งหว่านเหยาบุตรสาวเพียงคนเดียวของเขา
ใต้เท้าจั่วไม่ได้โต้แย้ง ล้วนเป็นพ่อแม่คนเหมือนกัน ตัวเขาเองก็พึ่งได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับบุตรชายที่หายตัวไป เขาเข้าใจความรู้สึกนี้ดี เช่นเดียวกันกับภรรยา เมื่อเห็นเด็กโชคร้ายผู้นั้นตะโกนเรียกท่านแม่อยู่ต่อหน้า ภรรยาก็มีชีวิตชีวา กินอาหารเอร็ดอร่อย ไหนเลยจะหมดอาลัยตายอยากเหมือนก่อนหน้านี้
แม่ทัพใหญ่ก็เช่นเดียวกัน
นี่ก็เป็นความหวังอย่างหนึ่ง
ฉินหลิวซีจับชีพจรเป็นเวลานาน จากนั้นก็เปลี่ยนมายังมืออีกข้าง ขมวดคิ้ว สีหน้าไม่ผ่อนคลายอีกต่อไป ทำเอาผู้เฒ่าทั้งสองอยากรู้
ใต้เท้าจั่วก็ไม่ดื่มชาแล้ว สีหน้ามีความกังวล คงไม่ได้เป็นโรคอะไรที่รักษาไม่หายหรอกกระมัง
แม่ทัพใหญ่ก็กลัวเป็นอย่างมากเช่นกัน เขาจะตายไม่ได้ ยังตามหาบุตรสาวไม่พบเลย
“ช่วงนี้ร่างกายอ่อนล้า คอแห้งลิ้นแห้ง นอนไม่หลับในตอนกลางคืน และตกใจตื่นง่ายใช่หรือไม่” ฉินหลิวซีถามเขา
แม่ทัพใหญ่พยักหน้า “ใช่แล้ว แต่เนื่องจากบุตรสาวของข้าหายตัวไป หลายปีมานี้ข้าไม่เคยได้นอนหลับสบายเลยสักครั้ง ชินแล้ว แต่ช่วงนี้รู้สึกไม่มีเรี่ยวแรงเล็กน้อยอยู่บ้างจริงๆ ซ้ำยังฝันเห็นเหยาเอ๋อร์อยู่บ่อยๆ นาง…”
เขากระอึกกระอักเล็กน้อย ไม่กล้าเอ่ยภาพที่น่าสังเวชในความฝันของเขา
ฉินหลิวซีคิดอยู่ครู่หนึ่ง หยิบถุงเข็มเงินออกมาจากกระเป๋าใบใหญ่ เอ่ยว่า “ข้าขอเลือดท่านสักหยดได้หรือไม่”
“เอ่อ ได้สิ”
ฉินหลิวซีจึงได้ใช้เข็มแทงที่ปลายนิ้วของเขา บีบเลือดออกมาหนึ่งหยด ใช้นิ้วแตะ แล้วเอาใส่ปากเพื่อลิ้มรส
ใต้เท้าจั่วกับแม่ทัพใหญ่ต่างตกตะลึงทั้งคู่ พวกเขาไม่ได้โง่ มีที่ไหนกันตรวจอาการต้องชิมเลือด นอกเสียจาก…
เป็นเช่นนั้นจริง ฉินหลิวซีรีบบ้วนปากด้วยน้ำชาในทันที คายน้ำชากลับลงไปในถ้วย เอ่ยว่า “ไม่เพียงแต่ร่างกายอ่อนแอเพราะความเป็นกังวลใจ ซ้ำท่านยังถูกพิษด้วย!”
[1] เก้าอี้ไท่ซือ หมายถึง เก้าอี้ไม้ของจีน เป็นที่นั่งของคนปกครองจวนนั้น