คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 917 เก็บความลับไว้ไม่ได้แล้ว
ตอนที่ 917 เก็บความลับไว้ไม่ได้แล้ว
……….
แม่ทัพใหญ่อยากถามฉินหลิวซีว่า เข้าใจผิดไปหรือไม่ เขามีบุตรสาวเพียงคนเดียว และได้หมั้นหมายนางให้กับหลวนไป่หลิงแล้ว หลังจากนี้ร้อยปี ทุกอย่างที่เป็นของเขาล้วนเป็นของบุตรของพวกเขา แล้วเหตุใดหลวนไป่หลิงจึงต้องทำขนาดนี้
เขาไม่กล้าถาม
ใต้เท้าจั่วจึงถามขึ้นมาว่า “ไม่ได้จะแก้ตัวให้หลวนไป่หลิง แต่เหล่าเจิ้งมีแม่หนูเหยาเป็นบุตรเพียงคนเดียว หลวนไป่หลิงก็แต่งเข้ามา หลังจากที่เหล่าเจิ้งจากไป ทุกอย่างของตระกูลเจิ้งก็จะเป็นของพวกเขาไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงต้องเดินทางเสี่ยงเช่นนี้ด้วย”
“ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น” ฉินหลิวซีถอนหายใจ “แต่ดวงชะตาของคุณหนูเจิ้งเป็นสิ่งล่อใจอันใหญ่หลวง พวกเขาต้องการสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ไม่มีทางที่ตระกูลเจิ้งเพียงอย่างเดียวจะสามารถตอบสนองความต้องการได้”
ทั้งสองท่าทางห่อเหี่ยว
“เช่นนั้นจะปล่อยให้เขาไปหรือ จับตัวเขากลับมา ข้าจะสอบสวนด้วยตัวเอง” ดวงตานกอินทรีย์ของแม่ทัพใหญ่ระเบิดความชังและความโกรธออกมาอย่างท่วมท้น
“ไม่รีบ ด้วยลูกประคำบนข้อมือเขาเส้นนั้น แล้วยังมีดวงวิญญาณของคุณหนูเจิ้งที่ไม่สามารถอัญเชิญมาได้ จะต้องมีผู้บำเพ็ญสายมารที่เชี่ยวชาญในด้านนี้ช่วยเขาอยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นปัญญาชนธรรมดาๆ อย่างเขา จะสามารถวางหมากใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไร” ฉินหลิวซีเอ่ยว่า “หลังจากเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ หากเขารู้สึกผิดพลาด จะต้องไปหาคนที่ช่วยเขาอย่างแน่นอน ข้าได้ส่งคนติดตามเขาไปแล้ว”
ทั้งสองคนสับสนเล็กน้อย ส่งคนไปแล้ว พวกเขาอยู่ด้วยกันตลอดเวลา นางลงมือตั้งแต่เมื่อไหร่
ฉินหลิวซีเกาจมูก ‘ตุ๊กตากระดาษที่มีพลังวิญญาณก็เป็นคนเช่นกันไม่ใช่หรือ’
“แล้วเหยาเอ๋อร์ล่ะ เจ้าบอกว่าจะช่วยข้าตามหาเหยาเอ๋อร์ไม่ใช่หรือ”
สิ่งที่แม่ทัพใหญ่กังวลยังคงเป็นบุตรสาว แม้ว่าจะเป็นศพ เขาก็ต้องรับนางกลับบ้าน
“ไม่รีบ แค่รอก็พอแล้ว หากเป็นฝีมือเขา เขาจะพาพวกเราไปเจอ เข้าใจเรื่องเหยื่อล่อปลาหรือไม่” ฉินหลิวซียกริมฝีปาก
ความจริงแล้วนางได้คาดเดาไว้แล้ว ตอนนี้ดูเพียงว่าหลวนไป่หลิงจะรักษาความสงบได้หรือไม่ เมื่อเขารักษาความสงบไว้ไม่ได้ ปลาก็จะติดเบ็ด
การรอคอยนี้ ได้รอไปจนถึงช่วงเวลาที่ดวงจันทร์ลอยอยู่กลางท้องฟ้า
ฉินหลิวซีมองท้องฟ้าอันมืดมิด หรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง ท้องฟ้ามืดมิดลมแรง เป็นคืนที่เหมาะสมที่จะทำอะไรบางอย่าง
นางมองไปยังแม่ทัพใหญ่ที่เหี่ยวเฉาตลอดเวลา ยื่นยาไปให้อีกหนึ่งเม็ด “กินก่อนเถิด อย่าล้มลงตอนนี้ เดี๋ยวจะไม่มีใครทวงความยุติธรรมให้บุตรสาวของท่าน”
แม่ทัพใหญ่รับมากลืนลงไป น้ำตาไหลพราก
ใต้เท้าจั่วเห็นดังนั้นก็รู้สึกเศร้า เอ่ยปลอบโยนสองสามประโยค แต่กลับพบว่าไม่ว่าจะปลอบโยนอย่างไรก็ไร้ผล
เขายกผ้าม่านรถขึ้น มองออกไป สายตาแหลมคม เอ่ยว่า “นี่เป็นทางไปตรอกซื่อฟาง”
ฉินหลิวซี “พูดให้ถูกก็คือข้าจะไปเรือนของเขา”
ใต้เท้าจั่วยังไม่ได้มีการตอบสนองใดๆ แม่ทัพใหญ่ก็รู้สึกราวกับว่ามีหมัดหนักกระแทกเข้าที่หัวของเขา เวียนหัวเล็กน้อย
ฉินหลิวซีไม่ได้เอ่ยอะไรอีก เพียงแค่เรียกผีน้อยมาหนึ่งตน ให้เขาไปส่งสารแก่เฟิงซิว
ไม่ใช่เป็นเพราะว่านางกลัวว่าจะแก้ไขปัญหานี้ไม่ได้ แต่เป็นเรือนที่ติดอยู่กับตระกูลหลวน เดิมทีเป็นเขาที่พบความผิดปกติเป็นคนแรก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็มาต่อสู้ด้วยกันเถิด!
เมื่อเฟิงซิวได้รับสารก็แสยะยิ้ม นายท่านน้อยผู้นี้ต้องการให้เขาไปทำงานโดยไร้ผลตอบแทน
แต่ไม่ไปได้งั้นหรือ ไม่ได้ ตอนนี้ก็น่าเบื่อมากจริงๆ เขาก็อยากจะดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับเรือนหลังนั้น
ในขณะเดียวกัน หลวนไป่หลิงได้ลงบันไดทางเดินลับจากห้องตำราในจวนไปที่เรือนข้างๆ แล้ว
ว่ากันว่าเรือนที่อยู่ติดกับตระกูลหลวนถูกซื้อโดยพ่อค้าผู้มั่งคั่งแซ่มู่ในเจียงหนานผู้หนึ่ง ได้ยินว่าหลังจากที่ซื้อมาก็ทุบทิ้งไปหลายห้องแล้วสร้างขึ้นมาใหม่ มีสวนและทะเลสาบ ศาลาและหอคอย ตกแต่งได้มีความเป็นเอกลักษณ์ของสายน้ำในเจียงหนานเป็นอย่างมาก
พ่อค้าผู้มั่งคั่งรายนี้ไม่ได้ซื้อเรือนหลังนี้ให้ตัวเอง แต่เพื่อบุตรชายที่กำลังศึกษาอยู่ เขาวางแผนว่าเมื่อบุตรชายสอบติดจวี่เหริน[1] เมื่อมาสอบราชสำนักที่เมืองหลวงก็จะได้มีที่พักอาศัย โดยเฉพาะเรือนที่อยู่ใกล้กับนักปราชญ์อันดับหนึ่ง เพื่อความเป็นมงคล
หลวนไป่หลิงเดินผ่านเส้นทางลับ เปิดกลไก ออกมาจากประตูลับ ก็เป็นห้องตำราอีกห้องหนึ่ง แต่กลับมีกลิ่นอายของหนังสือและหรูหรากว่าห้องตำราของตระกูลหลวน ตกแต่งข้าวของเครื่องใช้ได้อย่างประณีต มีสี่สมบัติล้ำค่าในห้องตำรา[2]วางอยู่บนโต๊ะ ล้วนมีราคาแพง
อย่างไรก็ตาม หลวนไป่หลิงกลับไม่มีกะจิตกะใจมาเชยชม เร่งฝีเท้าเดินออกไปจากห้องตำรา มาที่เรือนติดกับทะเลสาปแห่งหนึ่ง ได้กลิ่นหอมของไม้กฤษณามาจากในเรือน รู้สึกจิตใจสงบขึ้นมาเล็กน้อย
ห้องไม้ไผ่ในเรือน มีนักพรตหนุ่มสวมชุดทำพิธีกำลังนั่งขัดสมาธิ เมื่อได้ยินเสียงดังมาจากข้างนอกก็ขมวดคิ้ว ลืมตาขึ้น ในสายตามีแสงสีแดงผ่านเข้ามา
“เข้ามา”
หลวนไป่หลิงเดินเข้าไป ขณะที่กำลังจะเอ่ยทักทาย “นายท่านผู้เฒ่าชิงเฟิง…”
นักพรตนามว่าชิงเฟิงสายตาแหลมคม “คนไม่เอาไหน เจ้าไปเอาอะไรมาด้วย”
หลวนไป่หลิงตกตะลึง
นักพรตชิงเฟิงเสกคาถาไปที่บนตัวของเขา ให้กระโดดลงมาจากฟูก
หลวนไป่หลิงรู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าอก ลำคอกระอักกระอ่วนเล็กน้อย รู้สึกฝ่าเท้ามีบางอย่างแปลกๆ เมื่อก้มลงมองก็เห็นตุ๊กตากระดาษสีเหลืองฉีกขาดตกลงมาจากชายเสื้อคลุมของเขา ไฟลุกไหม้ขึ้นเอง
หลวนไป่หลิงสีหน้าตกใจกลัว
วันนี้เขาไปที่ตระกูลเจิ้ง ถูกฉินหลิวซีถามหยั่งเชิงจนเสียสมาธิ ไม่ได้สังเกตเห็นว่ามีอะไรเพิ่มขึ้นมาบนร่างกาย นี่มันอะไรกัน
“นายท่าน…”
“ไร้ประโยชน์!” นักพรตชิงเฟิงจ้องมองเขา จากนั้นก็พุ่งตัวออกไป ตะโกนใส่ความมืด “ใครมาซ่อนตัวอยู่ที่นี่”
ฉินหลิวซีผลักเฟิงซิวออกไป
เฟิงซิว “…”
ไม่ใช่เพียงงานที่ไร้ค่าตอบแทนธรรมดา ซ้ำยังเป็นไม้กันหมาอีกด้วย!
“ข้าเอง บรรพบุรุษของเจ้า!” เฟิงซิวเดินออกมาจากความมืด ก่อนจะเริ่มต่อสู้
หลวนไป่หลิงรีบวิ่งไปที่ประตู ได้เห็นนายท่านผู้ทรงพลังของเขาถูกโจมตีกระเด็นมาพอดี หล่นตุบลงแทบเท้า กระอักเลือดออกมา เดิมทีเส้นผมที่เป็นสีดำได้เปลี่ยนเป็นสีขาวทันที ใบหน้าที่อ่อนเยาว์เริ่มดูแก่ขึ้นทีละนิด จากบุรุษวัยยี่สิบสามสิบปีกลายเป็นชายชราที่อายุมากกว่าร้อยปีอย่างรวดเร็ว
นักพรตชิงเฟิงกุมหน้าอก จ้องมองเฟิงซิว “เจ้าเป็นปีศาจอะไรกัน”
“ฟังไม่รู้เรื่องหรือ ก็บอกแล้วไงเป็นบรรพบุรุษของเจ้า”
นักพรตชิงเฟิงกระอักเลือดออกมาอีกหนึ่งครั้ง มือที่อยู่ข้างกายร่ายคาถา ควันพวยพุ่งขึ้นมาจากพื้น ต้องการจะหลบหนี
ฉินหลิวซีนั่งอยู่บนกำแพง เตะเขาลงไป ใช้ยันต์ผูกมัดจับตัวเขาไว้ เขาหล่นลงบนพื้น ลมหายใจรวยริน
“กระบี่สองเล่มร่วมแรงกัน ข้าล่ะชอบจริงๆ!” เฟิงซิวขยิบตาให้นาง
“อย่ามาไร้สาระ” ฉินหลิวซีจ้องเขาอย่างไม่สบอารมณ์ “พาท่านผู้เฒ่าทั้งสองเข้ามา”
เฟิงซิวเบะปาก หายตัวออกไปอย่างเชื่อฟัง ไม่นานก็หิ้วชายชราทั้งสองด้วยมือคนละข้างลงมาอยู่บนพื้น
แม่ทัพใหญ่กับใต้เท้าจั่วที่ถูกบังคับให้บินมากลางอากาศอยู่ครู่หนึ่งสีหน้าซีดเซียว ล้มลงบนพื้น อ้วกออกมา
ตกใจจนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว
แม่ทัพใหญ่ยืนตัวตรง เมื่อเห็นหลวนไป่หลิงเหม่อลอยใบหน้าซีดเซียว ฉับพลันสีหน้าก็เปลี่ยนไป
เจ้านี่เป็นคนทำจริงๆ!
หลวนไป่หลิงแข็งทื่อไปทั้งตัว เดิมทีเขาคิดจะหากำลังเสริม แต่นายท่านที่มีวิชาอาคมไร้ขีดจำกัด กลับอยู่รอดได้ไม่ถึงร้อยกระบวนท่าภายใต้การประมือกับผู้ที่สวมชุดสีแดงที่งดงามยิ่งกว่าสตรีผู้นั้น
และเมื่อเห็นฉินหลิวซีกับแม่ทัพใหญ่ เขาก็รู้ว่าความลับที่เขาเก็บมาหลายปี เก็บไม่อยู่อีกต่อไปแล้ว!
ฉินหลิวซีเดินมา จับมือของเขา เอ่ยว่า “ขอข้าดูหน่อยว่าลูกประคำนี้ของเจ้าซ่อนอะไรไว้”
นางยังไม่ทันได้ถอดลูกประคำของเขา ก็ได้ยินเสียงเด็กน้อยที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวดังขึ้น “ท่านพ่อ”
ฉินหลิวซีหันกลับมา เมื่อเห็นเด็กคนนั้นก็บีบกระดูกข้อมือของหลวนไป่หลิงแน่น ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!
[1] จวี่เหริน บุคคลที่สอบได้ตำแหน่งบัณฑิตระดับท้องถิ่น
[2] สี่สมบัติล้ำค่าในห้องตำรา หมายถึง สิ่งสำคัญสี่อย่างที่เป็นอุปกรณ์สำคัญในห้องหนังสือ ได้แก่ พู่กัน หมึก กระดาษ จานหมึก