คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 918 ความจริงปรากฏ ฝังเสาเอก
ตอนที่ 918 ความจริงปรากฏ ฝังเสาเอก
ฉินหลิวซีมองไปยังเด็กน้อยที่ดูเหมือนกับหลวนไป่หลิง ดวงตาแตกสลาย
เฟิงซิวก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน สายตาพุ่งไปยังหลวนไป่หลิงราวกับมีดน้ำแข็ง จิตใจคนช่างน่ากลัวยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานเสียอีก
ไม่แปลกใจเลยที่บนร่างกายของคนผู้นี้สะอาดสะอ้านไม่แปดเปื้อนบาปกรรมแม้แต่นิด ที่แท้เลือดเนื้อเชื้อไขของเขาเป็นคนแบกรับบาปกรรมทั้งหมดของเขาแล้ว ดูบาปเลือดบนร่างกายของเด็กคนนี้ แดงจนแสบตา
สัตว์เดรัจฉาน!
“อ้าก” กระดูกมือของหลวนไป่หลิงแตก ถูกบดขยี้
ฉินหลิวซีถอดลูกประคำออกจากมือที่อ่อนแรงของเขา ดึงมือของเขาแล้วออกแรงขว้างเขาราวกับเศษผ้าขี้ริ้วลงบนพื้น
นางมองดูลูกประคำที่สลักอักขระ จ้องมองไป ในไม่ช้าก็พบเม็ดหนึ่งในนั้น ทันทีที่จับลูกประคำก็ระเบิดออก เผยให้เห็นสิ่งของที่อยู่ข้างใน แปดอักษรเวลาตกฟากที่เปื้อนไปด้วยเลือด เล็บเล็กๆ และเส้นผมของทารก ห่อด้วยกระดาษยันต์เล็กๆ เป็นก้อนขนาดเท่านิ้วก้อย
“สัตว์เดรัจฉาน คนเลวอย่างเจ้าเป็นพ่อคน ให้บุตรชายแท้ๆ มารับบาปเลือดแทนเจ้าอย่างนั้นหรือ” เฟิงซิวก้าวไปข้างหน้า เตะไปที่ส่วนล่างของหลวนไป่หลิง “คนอย่างเจ้า ไม่สมควรที่จะเป็นพ่อ”
โอ๊ย
หลวนไป่หลิงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด
“ท่านพ่อ” เด็กน้อยถูกทำให้ตกใจ ก้าวไปข้างหน้าสองก้าว ทรงตัวได้ไม่ดี ล้มลงกับพื้นอย่างแรง ร้องไห้เสียงดัง
ใต้โคมไฟสีส้มที่หน้าประตูเรือน เมื่อท่านแม่ทัพใหญ่เห็นใบหน้าของเด็กคนนั้นอย่างชัดเจนก็แข็งทื่อไปทั้งตัวราวกับถูกฟ้าผ่า ร่างกายสั่นไหวเล็กน้อย
โดยรวมแล้วเด็กคนนี้เหมือนหลวนไป่หลิงเป็นอย่างมาก แต่ด้านล่างจมูกลงไปกลับเหมือนเหยาเอ๋อร์ของเขาเล็กน้อย
แม่ทัพใหญ่มองดูเด็กน้อยอย่างเหม่อลอย สั่นเป็นเจ้าเข้า
ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้
ไฟบนมือของฉินหลิวซีลุกขึ้นมา เผาก้อนนั้นทิ้ง
เด็กน้อยส่งเสียงกรีดร้อง เป็นลมไป
และชิงเฟิงที่เดิมทีนอนหายใจรวยรินอยู่บนพื้นได้กระอักเลือดออกมาอีกครั้ง มีลมออกมากมีลมเข้าน้อย
ส่วนหลวนไป่หลิง ลูกประคำที่ขัดขวางวิญญาณชั่วร้ายและบาปกรรมไม่ได้อยู่กับเขาแล้ว ซ้ำยังถูกแผดเผา ผลแห่งกรรมเริ่มตกลงบนตัวเขาทันที ความเย็นของหยินแทงเข้าไปในกระดูก ราวกับงูยักษ์ร่างเย็นตัวหนึ่งพันล้อมรอบเขาไว้แน่น แทบจะหายใจไม่ออกอยู่แล้ว
แม่ทัพใหญ่ไปอุ้มเด็กมาก่อนเฟิงซิว กอดเด็กที่ผอมและอ่อนแอราวกับมีกระดูกเพียงชิ้นเดียวไว้ในอ้อมแขน เบาและไร้น้ำหนัก เขารู้สึกเจ็บปวดที่หน้าอก
ฉินหลิวซีมองมา ตกตะลึงอีกครั้ง ผลกรรมทางสายเลือด
สองคนนี้เชื่อมโยงกันด้วยผลกรรมทางสายเลือด กล่าวได้ว่านี่เป็นบุตรของเจิ้งเหยา
“เจ้าอาวาสน้อย เขา…” แม่ทัพใหญ่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร หัวใจรู้สึกทรมาน มองไปยังฉินหลิวซี
ฉินหลิวซีเอ่ย “พวกท่านมีผลกรรมทางสายเลือด เขาคงจะเป็นบุตรที่เจิ้งเหยาให้กำเนิด”
“อะไรนะ” ใต้เท้าจั่วอุทานด้วยความตกใจ “ไม่ใช่บุตรนอกสมรสที่น้องสาวลูกพี่ลูกน้องคลอดออกมาหรือ”
เฟิงซิวเย้ยหยัน “แม้แต่บุตรชายแท้ๆ ของตัวเองเขาก็ยังเอามาใช้สกัดกั้นวิญญาณและรับบาปกรรม ยังจะมีเรื่องอะไรที่ไม่กล้าแต่งขึ้นมาอีก”
แม่ทัพใหญ่และคนอื่นๆ สับสนอีกครั้ง นึกถึงคำพูดของฉินหลิวซีในทันที บนตัวของหลวนไป่หลิงสะอาดสะอ้าน ไม่มีบาปกรรมติดตัว แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาบริสุทธิ์ มีอะไรบางอย่างแบกรับแทนเขาแล้ว
ตอนนี้เฟิงซิวก็ได้เอ่ยเช่นนี้ ผู้ที่แบกรับผลกรรมแทนหลวนไป่หลิง คือเด็กคนนี้หรือ
เด็กคนนี้เป็นบุตรของเขากับเจิ้งเหยา?
ดวงตาของแม่ทัพใหญ่แตกสลาย เวียนศีรษะ ความเย็นทะลุเข้าไปในอวัยวะภายใน ร่างกายหนาวสั่น
โหดร้ายเกินไปแล้ว!
“ใช่ ใช่บุตรของเจ้ากับเจิ้งเหยาหรือไม่ เจ้าตอบมาสิ” ใต้เท้าจั่วดึงคอเสื้อของหลวนไป่หลิงที่สภาพสะบักสะบอม ซักถามด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
นี่มันสัตว์เดรัจฉานแบบใดกัน เขายังเป็นคนอยู่หรือไม่
หลวนไป่หลิงไม่ตอบ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว พูดไม่พูดก็เหมือนกัน
เขาตายแน่แล้ว
เมื่อทุกคนเห็นเช่นนี้ จะมีอะไรที่ยังไม่เข้าใจอีกหรือ
แม่ทัพใหญ่มอบเด็กให้เฟิงซิว หยิบกริชออกมาจากที่เอว เอ่ยกับหลวนไป่หลิงอย่างเกรี้ยวกราดว่า “บอกมา เหยาเอ๋อร์อยู่ที่ไหน หากไม่บอก ข้าจะฆ่าเจ้า”
หลวนไป่หลิงส่งเสียงในลำคอ เอ่ย “ท่านฆ่าข้าก็จะไม่มีวันรู้…เอื้อ”
กริชของแม่ทัพใหญ่แทงเข้าไปที่ดวงตาข้างซ้ายของเขา ทำเอาเขากลิ้งบนพื้นด้วยความเจ็บปวด ร้องเสียงดังอย่างน่าสังเวช
“เหล่าเจิ้ง…” ใต้เท้าจั่วตัวสั่น
แม่ทัพใหญ่เอ่ย “เหยาเอ๋อร์บอกว่าดวงตาของเจ้างดงามมาก บอกว่าในนั้นเต็มไปด้วยความรักที่มีต่อนาง เจ้าเด็กคนนี้มองผิดไปแล้ว ในนี้ล้วนเต็มไปด้วยความจอมปลอม ในเมื่อปลอมก็ไม่ต้องมีแล้ว”
หลวนไป่หลิงกุมตาข้างซ้ายที่พิการ ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือด อยากจะตายให้รู้แล้วรู้รอด
แม่ทัพใหญ่อยากจะก้าวเข้าไปแทงอีกครั้ง คนจิตใจโหดเหี้ยมเช่นนี้ไม่สมควรมีชีวิตอยู่
“เหล่าเจิ้ง” ใต้เท้าจั่วดึงมือของเขาไว้ เอ่ยเกลี้ยกล่อมว่า “ยังหานางหนูเหยาไม่พบเลย จับโจรต้องมีหลักฐาน อีกอย่างจบชีวิตเขาด้วยกริชของเจ้านั้นง่ายเกินไป”
มือของแม่ทัพใหญ่ชะงัก คุกเข่าลงแล้วร้องไห้เสียงดัง
เฟิงซิวมองไปยังฉินหลิวซี เอาอย่างไรดี
ฉินหลิวซีจึงเอ่ย “หยุดร้องเถิด เรียกคนของท่านมา ยังมีเรื่องที่ต้องทำ”
เสียงร้องไห้ของแม่ทัพใหญ่หยุดลงในทันที หยิบพลุมาจากเอวแล้วปล่อยออกไป ไม่นานก็มีคนมาเพื่อรับคำสั่ง
“ให้คนกุมตัวคนในจวนนี้ จากนั้นล้อมเอาไว้ รวมถึงตระกูลหลวนข้างๆ ด้วย” แม่ทัพใหญ่ออกคำสั่งอย่างเย็นชา
“ขอรับ”
“ไปเถอะ” ฉินหลิวซีลากหลวนไป่หลิงด้วยมือข้างหนึ่ง มืออีกข้างหนึ่งลากนักพรตชิงเฟิงที่แทบจะหมดลมแล้ว ไปยังตำแหน่งที่พวกเขารู้สึกถึงความผิดปกติตั้งแต่ก่อนหน้านี้
ตำแหน่งทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ติดกับทะเลสาบ มีศาลาหกเหลี่ยมอันงดงาม แต่ละมุมมีหอคอยเล็กๆ แขวนด้วยกระดิ่ง เมื่อลมพัดเสียงกระดิ่งก็ดังก้อง
นางโยนทั้งสองคนทิ้ง เขย่งปลายเท้ากระโดดขึ้นไปบนหลังคาศาลา ดวงตาทั้งสองข้างมองไปรอบๆ นิ้วมือข้างซ้ายคำนวณอย่างรวดเร็ว ก้มลงมองศาลาแห่งนี้
พลังงานมงคลสีทองแผ่กระจายไปทั่วทั้งจวน ซึ่งเริ่มจากจุดนี้ ศาลาแห่งนี้ก็คือใจกลางค่ายอาคมฝังเสาเอก
และตอนนี้ ศาลาหลังนี้มีพลังขุ่นเคืองจางๆ ผสมกับพลังมงคลสีทอง
“เป็นที่นี่หรือ” เฟิงซิวเอ่ยถาม
ฉินหลิวซีกระโดดลงจากศาลา เจาะเลือดแม่ทัพใหญ่หนึ่งหยด ปลายนิ้วดีดหยดเลือดไปที่ศาลา มือทั้งสองข้างร่ายอาคมเสกไปที่หยดเลือด เส้นสายสัมพันธ์เลือดจากหยดเลือดเชื่อมโยงไปที่ด้านล่างของศาลา
“อยู่ที่นี่” ฉินหลิวซีมองไปยังแม่ทัพใหญ่ “ให้คนมารื้อศาลาเถิด”
แม่ทัพใหญ่โซเซ ความเย็นพุ่งมาจากสันหลัง มองดูศาลาหกเหลี่ยมนี้ด้วยสีหน้าซีด
และหลวนไป่หลิงที่พึ่งฟื้นจากอาการหมดสติเมื่อครู่นี้ เมื่อได้ยินคำว่ารื้อศาลาก็ตัวแข็งทื่อ ร้องตะโกนด้วยความกลัวโดยไม่รู้ตัว “ไม่…”
เพียะ
ฉินหลิวซีตีลมพุ่งไปที่หน้าของเขา หลวนไป่หลิงเจ็บปวด หน้าหันไป สลบไปอีกครั้ง
“หนวกหูจริงๆ!” ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความรังเกียจ
แม่ทัพใหญ่เรียกคนมา ไม่นานสถานที่แห่งนี้ก็เต็มไปด้วยโคมไฟสว่างไสว ลงมือรื้อศาลารับลม ด้วยความเคลื่อนไหวที่มหาศาลได้ส่งเสียงดังกึกก้องไปสามบ้านแปดบ้าน ล้วนพากันชะโงกหน้าออกมามอง เกิดเรื่องอะไรขึ้น
ใต้เท้าจั่วรู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัว กลืนน้ำลายพลางเอ่ย “เหตุใดจึงฝังไว้ที่นี่”
น่าสงสารเหล่าเจิ้งผู้เป็นพ่อ เพื่อตามหาบุตรสาวผู้นี้ ต้องทุกข์ทรมานตามหามาสามปี แต่กลับไม่รู้ว่านางอยู่ในเมืองนี้มาตลอด ซึ่งเป็นสถานที่ที่นั่งรถจากจวนเจิ้งมาเพียงครึ่งชั่วยาม
ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ข้าบอกแล้วว่าพวกเขามีความต้องการที่ยิ่งใหญ่ เพียงแค่ตระกูลเจิ้งนั้นไม่พอ สิ่งที่ต้องการคือโบยบินไปถึงจุดสูงสุด ประสบความสำเร็จมีเกียรติ และแปดอักษรของคุณหนูเจิ้งก็สูงส่งอย่างยิ่ง ใช้นางมาฝังเสาเอก สามารถทำให้พลังมงคลสีทองยืนยาว การงานรุ่งเรือง ราบรื่น และกลายเป็นชนชั้นสูงในไม่ช้า”
ใต้เท้าจั่วอ้าปากค้าง เอ่ย “ฝังเสาเอกคืออะไร”
“หรือที่เรียกกันว่าตอกเสาเอก จริงๆ แล้วหมายถึงการใช้คนเป็นเครื่องบูชายันต์เพื่อสร้างอาคารใหม่ เช่นการตอกเสาเอกบนสะพาน ซึ่งสามารถทำให้กลายเป็นเทพผู้พิทักษ์ได้ อย่างการก่อสร้าง เช่นบ้านหลังนี้สามารถส่งเสริมพลังมงคลเร่งโชคลาภได้ แน่นอนว่าบางคนใช้ชายหรือหญิงพรหมจรรย์ ในขณะที่บางคนใช้เครื่องบูชายันต์เป็นผู้ที่มีชะตาชีวิตสูงส่ง ไม่ว่าจะเลือกแบบใด ก็ล้วนเป็นวิชามารที่โหดร้ายอย่างหนึ่ง” ฉินหลิวซีอธิบายอย่างรังเกียจ
“ชะตาชีวิตสูงส่งของชายหรือหญิงพรหมจรรย์ ต้องหาที่เหมาะสมกัน ใช่ว่าจะไม่มี แต่หาได้ยากลำบาก อย่างไรเสียก็ใช่ว่าใครๆ จะบอกแปดอักษรเวลาตกฟากออกมาง่ายๆ หากมีชายหรือหญิงพรหมจรรย์ที่มีชะตาชีวิตสูงส่งอยู่ตรงหน้า จะเลือกอย่างไร แค่ดูเขาก็รู้แล้ว”
ทุกคนพากันมองไปที่หลวนไป่หลิงซึ่งหมดสติอยู่บนพื้น
ดวงตาของแม่ทัพใหญ่เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม แทบอยากจะเชือดเขาด้วยมีดนับพันเล่ม
“ไร้สาระสิ้นดี วิชามารเช่นนี้ได้ผลหรือ” ใต้เท้าจั่วเป็นคนตรงไปตรงมา เมื่อได้ยินเรื่องสกปรกเช่นนี้ก็โกรธจนหน้าเขียว
แต่ไม่ว่าเขาจะโกรธแค่ไหน ความจริงกลับปรากฏอยู่ตรงหน้า มีคนทำเรื่องเช่นนี้จริงๆ
ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเบาเป็นอย่างมาก ไม่ได้ตอบอย่างตรงไปตรงมา “หลวนไป่หลิงได้รับการเลื่อนขั้นติดต่อกันสามปี เส้นทางราบรื่น ภูมิหลังของเขาเป็นเพียงปัญญาชนที่มาจากครอบครัวชาวนา ตระกูลใหญ่ที่มีทรัพยากรยอดเยี่ยมอยู่ในมือมากมายแค่ไหนก็ไม่สามารถเลื่อนขั้นติดต่อกันได้ภายในเวลาไม่กี่ปี แต่เขาล่ะ?”
ทันใดนั้นใต้เท้าจั่วก็รู้สึกอึดอัดใจเป็นอย่างมาก มองไปยังหลวนไป่หลิง กัดฟันพลางเอ่ย “ข้าจะเขียนฎีกาฟ้องเขาสิบเล่ม”
“ข้าว่าท่านอย่าเลย หากมีวิชามารแปลกๆ เช่นนี้เผยแพร่ออกไป ไม่รู้ว่าจะมีคนมากมายเท่าไหร่คิดที่จะเลียนแบบ”
เฟิงซิวเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ในบรรดาผู้มีอำนาจเหล่านี้ ใครบ้างไม่อยากมีอำนาจใหญ่อยู่ในมือ โบยบินขึ้นสู่จุดสูงสุด โดยเฉพาะผู้ที่มีอำนาจบารมี เมื่อถึงเวลานั้น ผู้ที่ต้องทนทุกข์ก็จะมีเพียงราษฎรที่ไม่มีกำลังต่อต้าน ไม่รู้ว่าจะมีคนสูญหายไปอย่างเงียบๆ มากน้อยแค่ไหน”
ใช่ว่าเขาอยากจะปิดบังเพื่อสมรู้ร่วมคิด แต่เป็นเพราะจิตใจคนสมัยนี้ไม่เหมือนคนสมัยก่อน ล้วนมีแต่คนที่เห็นแก่ตัว หากรู้ว่าทำเช่นนี้ได้ จะไม่หวั่นไหวหรือ
ใต้เท้าจั่วตัวแข็งทื่อ รู้สึกใจหาย
หลวนไป่หลิงซึ่งมาจากครอบครัวชาวนายังกล้าทำเช่นนี้ แล้วบุคคลสูงส่งที่มีอำนาจระดับสูงเหล่านั้นล่ะ
ใครบ้างที่จะไม่อยากร่ำรวยรุ่งเรืองไปอีกร้อยปี เป็นตระกูลที่มั่งคั่ง
หากวิชามารเช่นนี้เผยแพร่ออกไปจริงๆ เกรงว่าจะทำให้เกิดความโกลาหล ปัญญาชนกล่าวว่าขงจื้อไม่สอนเรื่องอำนาจลี้ลับ? ไม่ ในโลกนี้ ผู้ที่เชื่อมีมากกว่าผู้ที่ไม่เชื่อด้วยซ้ำไป มิเช่นนั้นเหตุใดจึงได้นับถือพระพุทธศาสนาและลัทธิเต๋า
ดังนั้นนี่ไม่เพียงแต่ไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยว ซ้ำยังต้องปิดบังไม่ให้เผยแพร่ออกไป มิเช่นนั้น หากปล่อยให้ผู้ที่คิดแผนการชั่วร้ายเหล่านั้นรู้เข้า ไม่รู้ว่าใต้หล้านี้จะวุ่นวายแค่ไหน และจะมีผู้บริสุทธิ์ตกตายไปสักเท่าไหร่
ใต้เท้าจั่วกับแม่ทัพใหญ่มองหน้ากัน จากนั้นก็เงยหน้ามองท้องฟ้าอันมืดมิดยามค่ำคืน ยังมีเวลาอีกสองสามชั่วยามก่อนจะประชุมราชสำนักเช้า ก่อเรื่องสับสนอลม่านครั้งใหญ่ขนาดนี้ พวกเขาจะต้องวางแผนสักหน่อยว่าจะอธิบายกับฮ่องเต้อย่างไร
แม่ทัพใหญ่มองดูศาลาหกเหลี่ยมถูกรื้อถอนทีละน้อย อดน้ำตาไหลออกมาไม่ได้ หัวใจราวกับถูกมีดแทง
ใต้เท้าจั่วกลัวว่าเขาจะทนไม่ไหว จึงดึงดูดความสนใจเขาด้วยหัวข้อนี้ ถามฉินหลิวซีว่า “การฝังคนไว้ใต้ศาลามีพิธีรีตองอย่างไรหรือ”
“ศาลาหกเหลี่ยมแสดงถึงความโชคดีและความสงบสุขในด้านของความรู้ นอกจากนี้ตามหลักฮวงจุ้ย ยังสามารถปัดเป่าวิญญาณชั่วร้ายปราบปีศาจได้ ทำให้ภูตผีปีศาจไม่กล้ากล้ำกราย การตอกเสาเอกนั้นเป็นการทำลายวิถีของสวรรค์ นั่นเป็นการฝังทั้งเป็นเพื่อบูชายันต์…” เสียงของฉินหลิวซีชะงักไป มองไปยังแม่ทัพใหญ่ ทนไม่ได้เล็กน้อย
“เจ้าพูดมา ข้าก็อยากจะรู้ว่าบุตรสาวของข้าประสบกับอะไรมาบ้าง” แม่ทัพใหญ่กัดปลายลิ้นอย่างแรง ลิ้มรสคาวเลือด น้ำเสียงสั่นเครือ
ฉินหลิวซีจึงเอ่ยต่อ “ในเมื่อเป็นการบูชายันต์ทั้งเป็น เช่นนั้นพลังความขุ่นเคืองย่อมใหญ่หลวง ความขุ่นเคืองมหาศาลกลายเป็นความชั่วร้าย เมื่อพลังความชั่วร้ายก่อตัวขึ้นก็จะไม่สามารถปราบปรามได้ จึงเป็นอันตรายต่อเจ้าของเรือนแห่งนี้ และที่นี่ได้สร้างศาลาหกเหลี่ยนเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ปราบสิ่งชั่วร้าย ซ้ำยังมีความหมายของความสงบสุขและส่งเสริมโชคลาภอีกด้วย อย่างไรเสียก็อยู่ที่ริมน้ำ ตกแต่งเล็กน้อย ธาตุทั้งห้าไม่มอดดับ ซ้ำยังมีเสาเอกบูชายันต์ พลังมงคลสีทองจึงเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นเรื่อยๆ สำหรับการปราบวิญญาณร้าย พวกท่านมองดูหอคอยเล็กๆ บนศาลาเหล่านั้นสิ นั่นเป็นหอคอยปราบวิญญาณร้าย นางถูกปราบปรามทั้งคนและดวงวิญญาณอยู่ใต้สิ่งนี้ จะสามารถไปทำอะไรได้”
นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่นางไม่สามารถอัญเชิญดวงวิญญาณของเจิ้งเหยามาได้ ถูกปราบปรามไว้แล้ว จะมาได้อย่างไร
หัวใจของแม่ทัพใหญ่รู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงอีกครั้ง
ใต้เท้าจั่วก็ปวดใจเช่นกัน เมื่อมองไปยังหลวนไป่หลิงที่นอนอยู่บนพื้นไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร คนผู้นี้โหดร้ายเลวทรามเป็นที่สุด ภายนอกดูเป็นคุณชายผู้สง่างาม ในใจไม่ต่างอะไรกับปีศาจร้าย
พวกเขาตาบอดไปแล้วจริงๆ เข้าใจผิดว่าหมาป่าโหดเหี้ยมเป็นคน!
“บูชายันต์ทั้งเป็นนั่นโหดร้าย ความจริงแล้วนางได้กำเนิดพลังชั่วร้ายแล้ว” ฉินหลิวซีถอนหายใจเบาๆ
ไม่ว่าใครก็ตามที่ถูกฝังทั้งเป็นรอความตาย ความทรมานเช่นนั้น ไม่ว่าใครล้วนมีความขุ่นเคืองและความเกลียดชัง และเจิ้งเหยา เป็นเวลาสองปีกว่าแล้ว พลังชั่วร้ายนี้พึ่งจะซึมซาบออกมา และขุ่นเคืองเป็นอย่างยิ่ง
“เหยาเอ๋อร์” แม่ทัพใหญ่เจ็บปวดใจเป็นที่สุด คุกเข่าลงบนพื้น
ใต้เท้าจั่วถอนหายใจ สายตาเหลือบมองไปที่เด็กน้อยผู้นั้นซึ่งอยู่ในอ้อมแขนของเฟิงซิว กล่าวว่า “เด็กคนนี้…”
ฉินหลิวซีเหลือบมอง ก้าวเข้าไปจับมือของเขาขึ้นมาสัมผัสอายุกระดูก แล้วจับชีพจร เอ่ยว่า “เป็นเด็กที่คลอดก่อนกำหนด เดิมทีก็อ่อนแอเพราะคลอดก่อนกำหนด ซ้ำยังต้องมาแบกรับบาปเลือดแทนสุนัขหลวน ยิ่งอ่อนแอมากกว่าเดิม หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ก็จะตายก่อนวัยอันควรในไม่ช้าก็เร็ว”
“เวรกรรมจริงๆ สัตว์เดรัจฉานก็ไม่ปาน” ใต้เท้าจั่วก็ระงับความโกรธไว้ไม่ได้ เตะหลวนไป่หลิงไปหนึ่งที เขามีชีวิตมาจนอายุปูนนี้ ก็ไม่เคยเห็นบิดาเลวทรามที่เทียบกับหมูหมาไม่ได้เช่นนี้
พยัคฆ์ร้ายไม่กินลูกของมัน ถุย นี่ยังรังเกียจว่าเนื้อน้อยไปกระมัง!
“อ้า”
ในเวลานี้มีคนทุบด้านล่างของศาลาออก เผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน ส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ
หาเจอแล้ว
แม่ทัพใหญ่เดินโซเซไปที่ถังกลมซึ่งสลักด้วยอักขระ มีศพของสตรีผู้หนึ่งนั่งก้มหน้าอยู่ ถักผมเปียพันไว้บนศีรษะ บนผมเปียได้ห้อยกระดิ่งสีม่วงเล็กๆ ไว้ ใบหน้าไม่รู้ว่าใช้วิธีจัดการอย่างไร ไม่ได้เน่าเปื่อยเลยแม้แต่นิด เพียงแต่ซีดเซียวเป็นอย่างมาก ดวงตาไม่ปิด กระทั่งโปนออกมาเล็กน้อย
ตายตาไม่หลับ!
“เหยาเอ๋อร์” แม่ทัพใหญ่ร้องอย่างน่าสังเวช กระอักเลือดออกมา หงายหลังล้มลงไป เส้นผมที่เดิมทีสีเทาเงินกลายเป็นสีขาวทีละนิดภายใต้สายตาของทุกคน ทำเอาคนน้ำตาไหล
ทุกคนในจวนเจิ้งต่างพากันทิ้งพลั่ว คุกเข่าลงกับพื้นแล้วร้องไห้
หาตัวคุณหนูพบแล้ว แต่ว่านางไม่อยู่แล้ว!
ฉินหลิวซีก้าวไปข้างหน้า ทำลายถังปราบสิ่งชั่วร้ายนั่น เมื่อสลักอันสุดท้ายถูกปลดออก นักพรตชิงเฟิงที่อยู่บนพื้นก็ตายลงเนื่องจากผลสะท้อนกลับในทันที วิญญาณลอยออกจากร่าง และวิญญาณร้ายตนหนึ่งพุ่งออกมาจากร่างของเจิ้งเหยา กลืนกินเขาก่อน จากนั้นก็พุ่งไปยังหลวนไป่หลิงที่อยู่บนพื้น
“หลวนไป่หลิง ข้าจะฆ่าเจ้า”
นั่นคือเจิ้งเหยา วิญญาณแค้นที่ได้รับการปลดปล่อยออกมาชำระแค้น